ตอนที่ 466-1 การมาถึงของชีวิตน้อยๆ (1)
ฟู่เสวี่ยเยียนถึงขั้นคิดอยากตีเขาให้ตายแล้ว ดวงตาที่อ่อนแรงและแดงระเรื่อของนางส่งสายตาดุดันไปให้เขา แทบอยากจะมองศีรษะเขาให้ทะลุเป็นรูเสียให้ได้
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกมองจนขนหัวลุกไปหมด ทำคอแข็งพึมพำว่า “ก็ได้ ข้าไม่พูดแล้ว…”
ซิ่วฉินก็พูดไม่ออกกับท่านเขยของตนเหมือนกัน นางกุมหน้าผากถอนหายใจบอกว่า “คุณหนูไม่ได้ฉี่ราด แต่คุณหนูจะคลอดแล้ว!”
ความงุนงงในหัวใต้เท้าเจ้าสำนักระเบิดออกอีกครั้งหนึ่ง “คลอด คลอด คลอดอะไรน่ะ”
ซิ่วฉิน “…”
จะคลอดอะไรได้อีก คลอดลูกน่ะสิ!
ของเจ้าด้วย!
ฟู่เสวี่ยเยียนรู้สึกปวดหนึบขึ้นมา ตรงท้องน้อยกับก้นกบเหมือนถูกใครเอามีดมากรีด ไม่เหมือนกับบาดแผลตอนฝึกวรยุทธ์ ความเจ็บแบบนี้ต่างหากที่ทรมาน
นางจับแขนซิ่วฉินเอาไว้ ฝืนทนความเจ็บปวดขณะเอ่ยว่า “รีบไปหาที่สงบๆ…”
ซิ่วฉินมองไปรอบๆ แล้วโบกมือชี้ไปทางเหนือ “ตรงนั้นดูเหมือนจะมีถ้ำอยู่! ข้าจะไปดู!”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า
ซิ่วฉินดึงมือของฟู่เสวี่ยเยียนออกเบาๆ แล้วส่งให้ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ดูแลคุณหนูให้ดีนะ! หากคุณหนูเป็นอะไรไป ข้าจะถามหาความรับผิดชอบจากเจ้า!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงเชอะ จับมือฟู่เสวี่ยเยียนเอาไว้ “ต้องให้เจ้าบอกหรือ”
ซิ่วฉินไม่กล้าใช้กำลังภายใน นางกลัวว่าหากนางกระโดดไปกระโดดมา เดี๋ยวนักรบมรณะที่ไล่ตามไม่ลดละพวกนั้นจะพบเห็นเข้า จึงจำต้องพยายามซ่อนไอตัวให้มากที่สุด พุ่งตัวเข้าไปในป่าเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่เท่าไรซิ่วฉินก็กลับมา “ข้างหน้ามีถ้ำอยู่จริงๆ พวกเราไปตรงนั้นกันเถิด!”
ฟู่เสวี่ยเยียนก้าวขาจะออกเดินไปทางถ้ำแห่งนั้น แต่ขายังไม่ทันแตะพื้นก็ถูกแขนที่แข็งแรงอุ้มตัวขึ้น
ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้มือข้างหนึ่งประคองตรงข้อพับ อีกข้างรองหลัง อุ้มนางขึ้นมาอย่างมั่นคง
ฟู่เสวี่ยเยียนพอได้มาอยู่กับแผงอกที่อุ่นร้อนและแข็งแกร่ง สองตาก็พลันม่อยลง
ตัวของเขามีกลิ่นที่น่าหลงใหล เมื่อรวมกับกลิ่นไอบุรุษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา ทำให้คนรู้สึกอยากกระชับลมหายใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นางยกมือขึ้นช้าๆ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ก็ยกมือขึ้นโอบรอบคอเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระตุกมุมปาก “ถึงแม้ตัวเจ้าจะเปียกไปหมด แต่ข้าก็ไม่ถือสาหรอกนะ… แต่ทำไมเจ้าถึงยังฉี่ไม่เสร็จอีกเนี่ย”
ความรู้สึกมึนงงในหัวของฟู่เสวี่ยเยียนพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น “หุบปาก!”
ซิ่วฉินนำทั้งสองคนไปยังถ้ำที่อยู่หลังพุ่มไม้
ถ้ำแห่งนี้อยู่ในจุดที่หลบสายตาอย่างมาก ข้างหน้ามีต้นไม้สูงเสียดฟ้าบังอยู่ ลำต้นสูงเป็นร้อยฉื่อ แผ่กิ่งก้านราวกับหลังคา ใบไม้ดกหนารกชัด ทิ้งตัวลงมาน้อยๆ ช่างดูคล้ายปราการตามธรรมชาติ
ที่ซิ่วฉินเห็นก่อนหน้านี้อันที่จริงไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นก้อนหินที่ดูเหมือนถ้ำแต่ไม่ใช่ถ้ำ นางคลำตามหินตรงนั้นไปพักหนึ่งถึงได้เจอถ้ำแห่งนี้
พวกเขาเดินผ่านต้นไม้รกชัดเข้าไปในถ้ำ
ตอนแรกในถ้ำมีแต่ค้างคาวกับหนูไม่กี่ตัว ซึ่งถูกซิ่วฉินไล่ไปหมดแล้ว
ถ้ำขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่นับว่าเล็ก ความกว้างทั้งหมดประมาณเจ็ดแปดฉื่อ ประมาณห้องเล็กๆ ของบ่าวไพร่เห็นจะได้ เพียงแต่หลังคาออกจะเตี้ยไปสักหน่อย ประมาณหกฉื่อ ฟู่เสวี่ยเยียนกับซิ่วฉินเข้าไปไม่เป็นปัญหา แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับต้องค้อมตัวลงเล็กน้อย
ใต้เท้าเจ้าสำนักดูไม่ติดขัดแต่อย่างไร เพราะถึงอย่างไรห้องที่เขาเคยอยู่ก็ยังสูงไม่ถึงครึ่งของถ้ำแห่งนี้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ยืนเลย นั่งยังหัวจะชนเอาได้ง่ายๆ
ฟู่เสวี่ยเยียนกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก “น้ำ…”
ซิ่วฉินลูบไปข้างเอว เมื่อครู่ตอนเฉียวเวยแต่งตัวให้ นางลืมถุงน้ำไว้บนรถม้าเสียแล้ว
นางมองฟู่เสวี่ยเยียนที่เหงื่อไหลเป็นน้ำแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “ต้นไม้นี้สูงได้ขนาดนี้ แถวนี้ต้องมีแหล่งน้ำแน่ ข้าจะไปเอาน้ำมา!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกว่า “ข้าไปก็แล้วกัน เจ้าเป็นสตรี อันตรายจะแย่!”
ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลงเอ่ยว่า “ให้ซิ่วฉินไป เจ้าอยู่นี่”
ซิ่วฉินคิดว่าคุณชายรองวรยุทธ์อ่อนด้อยเพียงนี้ หากเกิดไปเจอกับนักรบมรณะเข้าคงหนีออกมาไม่ได้แน่ วรยุทธ์ของนางถึงจะไม่นับว่าดีเด่อะไร แต่อย่างน้อยก็ยังพอหนีได้ ให้นางไปจึงเหมาะกว่ามากจริงๆ
นางจึงออกไปโดยไม่มีลังเล
ในถ้ำเหลือเพียงฟู่เสวี่ยเยียนกับใต้เท้าเจ้าสำนัก
ใต้เท้าเจ้าสำนักวางฟู่เสวี่ยเยียนลงด้วยความระมัดระวัง แล้วเปลี่ยนเป็นประคองแขนนางไว้แทน
ฟู่เสวี่ยเยียนกวาดตามองภายในถ้ำที่ยังพอถือว่าสะอาด แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไปนอนตรงนั้น”
ใต้เท้าเจ้าสำนักอึ้งไป นอนลง? ตอนนี้?
ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุใดฟู่เสวี่ยเยียนถึงเอ่ยเช่นนี้ แต่เขาก็ยังเดินไปนอนลงด้วยความงงงวย
ฟู่เสวี่ยเยียนอดกลั้นโทสะไว้ในอก “ข้าหมายถึงให้ข้าไปนอนตรงนั้น!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันหน้าบึ้ง “เจ้าก็พูดให้มันชัดๆ หน่อยสิ!”
เขาพูดพลางลุกขึ้นปัดฝุ่นตามตัว พอเดินไปได้สองก้าว คิดอะไรได้ก็จัดการถอดเสื้อนอกออก แล้วเอาปูลงกับพื้น
พอทำเสร็จเขาถึงได้ไปประคองฟู่เสวี่ยเยียนให้มานอนลงตรงนี้
ฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งมองเขา “เวลานี้รู้แล้วรึยังว่าข้าจะทำอะไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเกาหัว ใบหูแดงระเรื่อ เอ่ยเสียงต่ำว่า “รู้แล้ว เจ้า…เจ้าจะคลอดแล้ว…”
“คลอดอะไร” ฟู่เสวี่ยเยียนถามเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอมเสียงเบาๆ เอ่ยอย่างไม่สู้จะยินยอมว่า “คลอดลูก”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้พูดอะไร อดทนกับความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด แล้วถึงได้หันไปมองศีรษะที่ห้อยลงของอีกฝ่าย นางเอ่ยทั้งสีหน้าซีดขาวว่า “ของเจ้า”
“หือ?” ใต้เท้าเจ้าสำนักตะลึงค้าง เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความฉงน
ดวงตาฟู่เสวี่ยเยียนสั่นไหวเล็กน้อย “เด็กคนนี้ ลูกเจ้า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตัวพลันสั่น แข็งเกร็งไปทั้งตัว เขากะพริบตาคู่ที่ฉ่ำวาวไปด้วยหยดน้ำ หน้าตาดูไม่อยากเชื่อ “ข้าๆๆๆ… ข้า…ข้าๆๆ…ของข้า?”
“ของเจ้า” ฟู่เสวี่ยเยียนบอกเสียงเบา
ในหัวเจ้าสำนักมีสายฟ้าฟาดใส่ไปมา ทำเอาสมองเขาแทบจะเละเป็นโจ๊ก
เขายังไม่ทันได้เป็นกระทั่งเจ้าบ่าว ก็ได้ขึ้นมาเป็นพ่อคนแบบนี้เลยอย่างนั้นหรือ
ก้าวนี้ช่างก้าวยาวนัก ยาวจนสะเทือนไปถึงน้องเขาเลยทีเดียว!
ใต้เท้าเจ้าสำนักทะลึ่งตัวลุกขึ้น ศีรษะชนเข้ากับเพดานถ้ำดังตึง หัวเลยโนเป็นลูกขึ้นมาทันที
คราวนี้ไม่ใช่สะเทือนถึงแค่น้องชายแล้ว ศีรษะเขาก็เริ่มเจ็บไปด้วย
เขาย่อตัวลง กัดนิ้วตัวเองไว้ ไม่รู้ว่าเพราะเครียดหรือตื่นเต้น ตัวจึงสั่นสะท้านไปหมด เทียบกันแล้วฟู่เสวี่ยเยียนที่ใกล้คลอดดูจะสงบนิ่งกว่าเสียอีก
อาการปวดของฟู่เสวี่ยเยียนมากขึ้นอีก เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว ลำคอร้อนผ่าวราวมีใครจุดไฟเผา
“เจ้าๆๆ…เจ้าปวดมากใช่หรือไม่” ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่รู้จะทำอย่างไร เขาโตมาขนาดนี้ สตรีที่เคยสนิทสนมด้วยมีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือเฟิงซื่อเหนียง อีกคนหนึ่งคือเฉียวเวย เฟิงซื่อเหนียงไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน เฉียวเวยคลอดบุตรไปแล้ว คงมีผีสางเท่านั้นที่รู้ว่าคลอดบุตรนั้นแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร
เขาเห็นฟู่เสวี่ยเยียนเจ็บปวดเพียงนี้ก็ตะลึงค้างไป ยื่นมือส่งไปให้
ฟู่เสวี่ยเยียนจับมืออีกฝ่ายไว้
ใต้เท้าเจ้าสำนักเกร็งแขนข้างนั้นทันที ตัวก็พลอยเกร็งไปด้วย สีหน้าเจ็บปวด กระทั่งนิ้วเท้าก็ยังจิกเข้าหากันแน่น
ฟู่เสวี่ยเยียน “ข้ายังไม่ได้ออกแรงเลย”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…อ้อ”
ความปวดระดับนี้ฟู่เสวี่ยเยียนยังพอรับไหว เพียงแต่ฟู่เสวี่ยเยียนคอแห้งอย่างหนัก ใจคิดแต่ให้ซิ่วฉินรีบกลับมาเร็วๆ
แต่ที่ฟ้าดินไม่เป็นใจก็คือ พวกเขายังไม่ทันรอจนซิ่วฉินกลับมา นักรบมรณะสามสี่คนดันมาถึงเสียก่อน
นักรบมรณะไล่ค้นมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นนี้แล้ว เสียงดังมาให้ได้ยินประมาณหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งเค่อจะต้องตามมาเจอถ้ำแห่งนี้เป็นแน่
************************