ตอนที่ 466-2 การมาถึงของชีวิตน้อยๆ (1)
ใต้เท้าเจ้าสำนักยังมีกู่ขับขานราตรีเหลือติดตัวอยู่บ้าง หากใช้แมลงกู่กับเสียงขลุ่ยก็น่าจะพอรับมือได้ หากแต่ถ้าทำเช่นนั้น พวกเขาคงได้เปิดเผยจุดที่ตัวเองอยู่แล้ว และต่อให้จัดการกลุ่มนี้ไปได้ก็มีแต่จะชักนำมามากขึ้นเรื่อยๆ
ฟู่เสวี่ยเยียนใกล้จะไม่มีแรงกระทั่งจะคลอดบุตรแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแรงต่อสู้เลย แล้วใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่มีทางให้นางไปต่อสู้อยู่แล้ว แผนการในตอนนี้ทำได้แค่ล่อให้พวกมันไปทางอื่นก่อน
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าไปเดี๋ยวเดียว นี่คือชาดโลหิตหงส์ หากมีนักรบมรณะคนใดเข้ามา เจ้าใช้มันขวางเอาไว้ก่อน”
พูดจบ เขาก็ทิ้งถุงผ้าใบหนึ่งเอาไว้แล้วลอบออกถ้ำไปตรงทางเดินกลางภูเขา
นักรบมรณะนายนั้นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจริงๆ จึงกระจายกันออกไล่ตาม
โชคของเขายังนับว่าไม่เลว นักรบมรณะเหล่านี้ไม่ใช่พวกดาบยาว ไม่อย่างนั้นด้วยการต่อสู้ที่กระทั่งแมวสามขายังสู้ไม่ได้ ไม่เท่าไรคงถูกตามมาทันแน่
เขาวิ่งไปข้างหน้าไม่คิดชีวิต ระหว่างที่วิ่งยังเอ่ยกลั้วหัวเราะไปด้วย “มาสิๆ ตามข้ามาสิ!”
ตูม!
เขาไม่ทันได้ดูทาง จึงก้าวพลาดลงทะเลสาบไปเสียแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักว่ายน้ำไม่เป็น!
อ๊ากๆๆ!
ช่วยด้วย!
เหล่านักรบมรณะวรยุทธ์สูงส่ง สติปัญญาไร้ไหวพริบ พอเห็นเป้าหมายตกน้ำ เลยกระโดดลงน้ำตามไปด้วย
จากนั้น ภาพอันน่าประหลาดก็ได้เกิดขึ้น…
นักรบมรณะอะไรนั่นก็ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน!
นักรบมรณะสามคนตะเกียกตะกายอยู่พักหนึ่งก็จมบุ๋งๆ ลงน้ำไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักที่ว่ายท่าลูกหมาตกน้ำอยู่ในทะเลสาบ ในที่สุดก็คว้ายอดไม้น้ำเอาไว้ได้ เขาหันไปมองเงียบๆ ก็เห็นเพียงวงน้ำอยู่บนผิวน้ำเท่านั้น เลยถึงกับตาโตอ้าปากค้าง…
หลังจากใต้เท้าเจ้าสำนักล่อนักรบมรณะสามคนนั้นออกไปแล้ว ถ้ำแห่งนั้นก็กลับมาปลอดภัย ต่อให้ละแวกนั้นมีนักรบมรณะมาค้นหา แต่กลับตามมาไม่ถึงต้นไม้ต้นนั้น
แต่ยิ่งใกล้คลอดมากเท่าไร ความเจ็บปวดก็ยิ่งสาหัสยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดที่ไม่เคยสัมผัสมาเลยก่อนหน้านี้เข้ามาจู่โจมอีกครั้ง ฟู่เสวี่ยเยียนทนไม่ไหว ส่งเสียงร้องออกมา
เสียงนี้ไปเข้าหูนับรบมรณะดาบยาวนายหนึ่งที่อยู่ห่างไปหนึ่งลี้ นักรบมรณะดาบยาวเลยรีบวิ่งมาราวกับลมกรด
ฟู่เสวี่ยเยียนคิดจะเก็บซ่อนไอตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว นักรบมรณะดาบยาวเดินผ่านต้นไม้รกชัดใกล้ปากถ้ำเข้ามาเรื่อยๆ
ฟู่เสวี่ยเยียนกำถุงผ้าไว้แน่น
นักรบมรณะดาบยาวยกดาบยาวที่พาดบ่าอยู่มาถือไว้
ตรงปากถ้ำ เงาร่างกำยำเดินใกล้เข้ามา
สายตาฟู่เสวี่ยเยียนพลันแข็งเกร็ง สะบัดแขนเสื้อเขวี้ยงห่อผ้าออกไป
นับรบมรณะดาบยาวใช้ดาบฟันจนห่อผ้าขาดสะบั้นเป็นสองส่วน ชาดโลหิตหงส์เหวี่ยงออกไปเสียงดังฟวั่บๆ ประหนึ่งพายุทรายที่ลอยตรงมาทีหน้าเขา
ชาดโลหิตหงส์มีพิษรุนแรง ในนัยหนึ่งมันคือพิษที่นักรบมรณะหวาดกลัวเพียงตัวเดียว แต่ที่ว่าก็ว่ากันไป เมื่อวรยุทธ์ทะลุขีดจำกัดไปถึงระดับหนึ่ง พิษจากผงชาดชนิดนี้ก็ใช่ว่าจะต้านยากเพียงนั้นอีก
ร่างกายของนักรบมรณะดาบยาวเกิดอาการไม่สู้ดีขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ตัวเขาโงนแงนแต่กลับไม่ล้มลง
เหงื่อเย็นๆ ของฟู่เสวี่ยเยียนผุดขึ้นมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า
นักรบมรณะยื่นกรงเล็บอสูรที่ซ่อนอยู่ในถุงมือออกมา กางเข้าใส่คอฟู่เสวี่ยเยียนด้วยความดุดัน
จะว่าช้าก็ช้าจะว่าเร็วก็เร็ว ฟู่เสวี่ยเยียนควักกริชเฟิ่นเทียนออกมาเสียบเข้าที่อกเขา!
น่าเสียดายที่แทงไม่ตาย
นักรบมรณะดาบยาวถูกยั่วโมโหจึงคำรามเสียงต่ำขึ้นทีหนึ่ง เงื้อมือจะทุบศีรษะของฟู่เสวี่ยเยียน!
พลันเกิดเสียงดังสนั่น นักรบมรณะดาบยาวถูกฟาดจนตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น
ฟู่เสวี่ยเยียนเงยหน้าขึ้น พอจะหันไปมองนักรบมรณะดาบยาวอีกที ก็เห็นใต้เท้าเจ้าสำนักที่ยืนชูหินก้อนหนึ่งอยู่
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองหินในมือตนแล้วมองท้ายทอยของนักรบมรณะดาบยาว “เจ้ามันหัวเหล็กหรือไร เหตุใดถึงไม่แตกเนี่ย!”
นักรบมรณะดาบยาวคว้าคอใต้เท้าเจ้าสำนักไว้ทันที แล้วยกตัวเขาขึ้นชนกับกำแพงหิน
ลมหายใจของใต้เท้าเจ้าสำนักติดขัด หน้าเขียวคล้ำบวมเป่ง เขายกมือขึ้นคิดจะง้างกรงเล็บอสูรที่คอออกแต่กลับถูกจับไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
หน้าของเขาบวมเป่งจนเป็นสีเลือดหมู
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาต้องขาดใจตายแน่
นักรบมรณะดาบยาวเห็นได้ชัดว่าถูกยั่วโมโหถึงขีดสุดแล้ว ยามลงมือจึงไร้ซึ่งปราณี พอเห็นว่าอีกฝ่ายใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว เขาก็ยิ่งออกแรงหนักขึ้นไปอีก
ในตอนนั้นเอง ตรงปากถ้ำมีแสงสีขาววูบหนึ่งกระโดดเข้ามา รวดเร็วราวกับสายฟ้า ราวกับสายลม วิ่งสวบๆ เข้ามากัดคอเขาไว้!
นักรบมรณะดาบยาวพลันตัวสั่น คลายมือออก
ใต้เท้าเจ้าสำนักล้มลงกับพื้น
เสี่ยวไป๋กับนักรบมรณะดาบยาวพัวพันต่อสู้กัน
เสี่ยวไป๋กินชาดโลหิตหงส์เข้าไปห่อใหญ่ หากกัดทีเดียวไม่ตาย เช่นนั้นก็จัดไปเลยสองที!
สุดท้ายนักรบมรณะดาบยาวก็ไม่รู้ว่าตายเพราะถูกพิษผงชาดหรือเพราะถูกเสี่ยวไป๋กัดกันแน่ สรุปแล้วตอนเฉียวเวยตามไปถึงถ้ำที่พวกฟู่เสวี่ยเยียนอยู่ เจ้าคนนั้นก็กลับบ้านเก่าไปแล้ว
เฉียวเวยจัดการโยนศพออกไป
อาการของฟู่เสวี่ยเยียนไม่สู้ดีนัก เดิมทีก็คลอดก่อนกำหนดอยู่แล้ว แล้วยังใช้กำลังภายในติดต่อกันหลายครั้งอีก ร่างกายจึงอ่อนแรงจนแทบไม่เหลือ
เฉียวเวยอุ้มเสี่ยวไป๋เข้ามา เสี่ยวไป๋คงพอรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เลยไม่อาละวาดอย่างเคย ยื่นอุ้งมือออกไปแต่โดยดี
เฉียวเวยเอาเลือดมันหยดหนึ่งมาป้อนให้ฟู่เสวี่ยเยียนดื่ม
เดิมทีฟู่เสวี่ยเยียนก็กระหายน้ำจะแย่อยู่แล้ว ร่างการสูญสิ้นเรี่ยวแรง พอได้ดื่มเลือดของเสี่ยวไป๋ลงไป ก็ราวกับได้ดื่มน้ำอมฤต รู้สึกดีขึ้นไปทั้งตัว
เฉียวเวยลูบท้องฟู่เสวี่ยเยียนแล้วเอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าอย่าเพิ่งดีใจไป เจ้าคลอดก่อนกำหนด ตำแหน่งครรภ์อยู่ในจุดที่ไม่ถูกต้อง คงคลอดไม่ง่ายนัก อีกเดี๋ยวเจ้าอย่ารีบร้อน ข้าให้เจ้าออกแรงเจ้าค่อยออกแรง ต้องทนให้ไหว เข้าใจหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าเหงื่อแตกไม่หยุด
เสี่ยวไป๋ไปเฝ้าตรงปากถ้ำด้วยท่าทางดุดัน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเฝ้าอยู่ข้างกายฟู่เสวี่ยเยียน เขายื่นข้อมือตัวเองไปตรงปากนาง “ถ้าเจ็บก็กัดข้านะ”
เฉียวเวย “เบ่งเลย!”
ฟู่เสวี่ยเยียนกัดข้อมือใต้เท้าเจ้าสำนักทันที!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเจ็บจนสองตาลอยคว้าง เหงื่อผุดขึ้นเป็นเม็ดๆ ลมหายใจหยุดชะงัก แล้วกัดนิ้วมือตัวเองไว้เช่นกัน!
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่มีแรงแล้ว…”
เฉียวเวยประคองท้องนางไว้ “ทนอีกหน่อย”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ข้าก็ไม่มีแรงแล้ว…อ๊ากอู้ว…”
เขาถูกฟู่เสวี่ยเยียนกัดอีกครั้ง
ไม่รู้กัดอยู่นานเท่าไร กัดจนในปากนางมีกลิ่นคาวเลือดอยู่เต็มไปหมด ในที่สุดก่อนที่นางจะอ่อนล้าหมดสิ้นเรี่ยวแรง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ถูกกัดจนสลบไปก่อนเสียแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นลมล้มลงกับพื้นอย่างชดช้อย
ชั่วขณะต่อมา เสียงร้องไห้อันอ่อนระโหยก็ดังขึ้นเบาๆ ภายในตัวถ้ำ
น้ำตาของฟู่เสวี่ยเยียนถึงกับไหลลงมา
ใต้เท้าเจ้าสำนักได้ยินเสียงร้อง ใจก็พลันเต้นแรง ลืมตาโตบอกว่า “คลอดแล้วหรือๆ”
เขาพูดพลางขยับลุกขึ้นนั่ง คลานเข้าไปอุ้มเจ้าต้วน้อยหน้าตาประหลาดที่ถูกห่ออยู่ในเสื้อนอกเอาไว้
หลังจากได้มองลักษณะของเจ้าตัวเล็กในห่อผ้าแล้ว เขาก็ตกใจจนเกือบโยนห่อผ้าทิ้ง “เหตุใดจึงอัปลักษณ์เช่นนี้ ไม่เหมือนข้าสักนิด!”
เฉียวเวย “…นั่นมันรกเด็กโว้ย เจ้าทึ่ม!”