ตอนที่ 467-1 การมาถึงของชีวิตน้อยๆ (2)
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบหน้าอกตัวเองพร้อมถอนหายใจยาวเหยียด
เขาฟังไม่เข้าใจว่ารกเด็กคืออะไร แล้วก็ไม่ได้ถาม แต่นั่นไม่ส่งผลใดๆ ต่อความยินดีหลังจาก “โกงความตาย” มาได้
เขาก็ว่าอยู่ คนงดงามราวกับเทพเซียนเช่นเขา ลูกที่เกิดมาจะเป็นก้อนหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนั้นได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องเป็นเจ้าตัวน้อยที่น่ารักน่าชักยิ่งกว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูสิ!
เด็กน้อยร้องไห้จนพอใจแล้ว เวลานี้กำลังนอนตัวนุ่มนิ่มอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย
เฉียวเวยใช้ผ้าไหมห่อตัวเด็กน้อยไว้แน่น พอเห็นเจ้าก้อนนุ่มนิ่มนั้นแล้ว ใจนางก็มีแววอบอุ่นวาบผ่าน
“อยากอุ้มหน่อยไหม” เฉียวเวยอุ้มเด็กน้อยเข้าไปหาฟู่เสวี่ยเยียน มองเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดู “เป็นคุณหนูตัวน้อย”
ฟู่เสวี่ยเยียนหันหน้ามามองเด็กหญิงตัวผอมแห้งใน “ห่อผ้า”
เด็กน้อยอายุครรภ์เจ็ดเดือนกว่า ตัวเล็กจนน่าสงสาร เขาตัวใหญ่กว่าเสี่ยวไป๋หน่อยเดียวเท่านั้น มือทั้งสองข้างเล็กถึงขึ้นดูว่าน่าจะกำนิ้วผู้ใหญ่ไม่รอบ
เสียงร้องไห้ก็ไม่ก้องกังวาน เป็นเสียงเบาๆ เล็กๆ คล้ายเสียงครางของลูกแมวตัวน้อย
ฟู่เสวี่ยเยียนยกแขนขึ้นด้วยความสงสาร แล้วเอาเด็กน้อยมาอุ้มไว้ นางทำเพียงเท่านี้ก็กลัวจะกดทับบุตรตัวน้อยจนหายใจไม่ออกเสียแล้ว
เฉียวเวยไม่เคยเห็นฟู่เสวี่ยเยียนที่อ่อนหวานอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน คล้ายเป็นก้อนน้ำค้างแข็งที่อยู่ใต้ชายคา เพียงแตะเบาๆ ก็พร้อมแตกสลายได้ทันที นางเอ่ยปลอบเสียงเบาว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล นางจะต้องโตมาอย่างดีแน่นอน”
ฟู่เสวี่ยเยียนพลันรู้สึกจุกที่ลำคอ
เฉียวเวยมองเห็นแววโทษตัวเองและรู้สึกผิดอันยากจะปกปิดจากดวงตานาง นางจะต้องคิดว่าตนปกป้องบุตรได้ไม่ดี ทำให้นางต้องมาเกิดในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่เช่นนี้ แต่เฉียวเวยกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
เฉียวเวยลูบหน้าผากฟู่เสวี่ยเยียนเบาๆ “เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าเป็นแม่ที่กล้าหาญ เจ้าคลอดนางออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
ข้ายังไม่เคยคลอดบุตรกับเขาสักคน
คลอดบุตรเจ็บปวดเสียขนาดนี้ หากเป็นข้าจะต้องทนไม่ไหวเป็นแน่
ฟู่เสวี่ยเยียนพอได้รับการปลอบโยนก็มองเฉียวเวยด้วยความซึ้งใจ “วันนี้…ขอบคุณเจ้าแล้ว”
ฟู่เสวี่ยเยียนรู้ดีว่าหากวันนี้เฉียวเวยไม่อยู่ที่นี่ เด็กที่คลอดก่อนกำหนดและตำแหน่งครรภ์ไม่เข้าที่เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คงคลอดออกมาไม่ได้
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ขอบคุณอะไรกัน นางเป็นหลานสาวของข้าเชียวนะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนยิ้มพร้อมน้ำตาคลอ เฉียวเวยเองก็ยิ้ม
จังหวะนี้ ต่อให้เข้าใจกันผิดมากกว่านี้ก็พลันมลายหาย ต่อให้เป็นภูเขาน้ำแข็งที่หนาแน่นก็ต้องแตกสลาย รอยยิ้มของทั้งสองขึ้นไปถึงดวงตา เหมือนดีใจ “ในที่สุดพวกเราก็รอกันจนมาถึงวันนี้”
ฟู่เสวี่ยเยียนหันไปอีกทีก็เห็นใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางขัดใจ เมื่อครู่ศีรษะเขากระแทกเข้ากับเพดานถ้ำ หัวยังโนเป็นลูกอยู่เลย ตอนออกไปนั่นก็ไม่รู้ว่าเพราะตกน้ำหรือไม่ เนื้อตัวเลยเปียกปอน ข้อมือขวาถูกนางกัดเสียเห็นเป็นรอยฟันหลายรอย บางรอยยังมีเลือดออกมาให้เห็นอีกด้วย
เขาก็รู้ว่านางมองมาที่เขา สีหน้าบูดบึ้งเลยพลันเปลี่ยนเป็นน้อยใจ เขาก้มหน้าลงด้วยความน้อยใจ ใช้นิ้วมือวาดวงกลมบนพื้นอย่างแง่งอน
ฟู่เสวี่ยเยียนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว “เจ้ามานี่หน่อย”
“ไม่ไป!” ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงหึหึ
ปากบอกเช่นนั้นแต่ร่างกายกลับจริงใจอย่างยิ่ง เขาเดินท่ากบเข้าไปหาฟู่เสวี่ยเยียน แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจฟู่เสวี่ยเยียน กรอกตาบนให้ขวับ แล้วทำเป็นเงยหน้ามองเพดานถ้ำ
“เจ้า…อยากอุ้มนางไหม?” ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
“ไม่เอาหรอก…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบไปทันทีไม่มีหยุดคิด พอตอบไปได้ครึ่งนางก็หันขวับกลับมา สองมือยื่นเข้าไปหาฟู่เสวี่ยเยียน
แต่ในขณะที่มือกำลังจะแตะถูกบุตรสาวนั้น เขาก็ตัวแข็งค้างไป
นางตัวเล็กมากจริงๆ เล็กกว่าเสี่ยวไป๋เสียอีก
เขาจะอุ้มนางจนเจ็บหรือไม่
ใต้เท้าเจ้าสำนักที่อยากอุ้มบุตรสาวแต่ก็ไม่กล้า พลันดึงทึ้งศีรษะจนยุ่งเหยิงราวกับรังนก
ฟู่เสวี่ยเยียนเห็นท่าทางปอดแหกของเขาแล้วก็หัวเราะออกมา
สตรีที่เพิ่งคลอดร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก เนื้อตัวเหนียวไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิงลู่ติดข้างแก้ม ต่อให้เป็นสตรีที่งดงามล่มบ้านล่มเมืองอย่างไรก็ถือไม่ได้ว่าน่ามอง แต่พอนางระบายยิ้มเช่นนี้ ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับรู้สึกว่าตน…มองเห็นทางช้างเผือก
และนางก็เป็นแสงดาวทอประกายสว่างไสวที่อยู่ท่ามกลางทางช้างเผือกนั้น
“โว่วๆๆ!”
จู่ๆ เสี่ยวไป๋ก็ส่งเสียงร้องอย่างระแวดระวัง
เฉียวเวยคิดในใจว่าแย่แล้ว ต้องเป็นนักรบมรณะพวกนั้นที่ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ จึงตามมาหาที่ถ้ำบนภูเขาเป็นแน่
“พวกมันตามมาแล้ว ไปกันเร็ว!”
เฉียวเวยเดินเข้ามาในถ้ำ จะโน้มตัวลงไปอุ้มฟู่เสวี่ยเยียน ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับถึงตัวฟู่เสวี่ยเยียนก่อนก้าวหนึ่งแล้วอุ้มนางขึ้นมา นางเลยทำได้แค่อุ้มหลานสาวขึ้นมา
เด็กน้อยตัวเบาราวกับไม่มีน้ำหนัก เฉียวเวยอดคิดถึงจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไม่ได้ เด็กทั้งสองเป็นท้องแฝด ตอนคลอดออกมาคิดว่าคงตัวไม่ใหญ่ ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้น “นาง” เลี้ยงเด็กสองคนโตมาได้อย่างไร!
ทั้งสามเดินเร็วๆ ออกจากถ้ำ ลมหนาวที่บาดผิวพัดเข้ามา ทั้งสามตัวสั่นด้วยความหนาวเหน็บ!
เสื้อนอกของเฉียวเวยไม่อยู่แล้ว ผ้าไหมก็เอามาห่อตัวเด็กน้อยแล้ว บนตัวเหลือเพียงเสื้อชั้นกลางตัวบาง เมื่อมาอยู่ในอากาศเช่นนี้ เรียกได้ว่ารนหาที่ตายเลยทีเดียว
ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เขาตัวเปียกปอนจากตอนตกลงในทะเลสาบ พอลมหนาวพัดมาก็รู้สึกหนาวเสียดกระดูก เสื้อตัวนอกเพียงตัวเดียวคลุมอยู่บนตัวฟู่เสวี่ยเยียน ส่วนฟู่เสวี่ยเยียนเพิ่งคลอดบุตรเสร็จ กำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ การมีเสื้อตัวนอกเพิ่มอีกตัวหนึ่งก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นสักเท่าไร
ทั้งสามกำลังต้องการที่หลบลมอย่างเร่งด่วน
“ทางนั้น…ดูเหมือนจะมีหมู่บ้าน” ฟู่เสวี่ยเยียนยกแขนที่อ่อนแรงขึ้นมา ชี้ไปตรงหุบเขา
เฉียวเวยหันไปมอง ภายในท้องฟ้ามืดครึ้มยามราตรี ดูเหมือนจะมีบ้านหลายหลังอยู่ตรงนั้นจริงๆ หากบอกว่าเป็นหมู่บ้านก็ดูออกจะเล็กไปสักหน่อย คล้ายว่าเป็นบ้านหลายๆ หลังอยู่รวมกันเสียมากกว่า
พวกเขาใกล้จะแข็งตายกันเต็มที ไม่มีเวลาสนใจว่าจะรบกวนหรือไม่ อันตรายหรือไม่ ที่อันตรายที่สุดก็คือกลุ่มนักรบมรณะที่ไม่ปล่อยให้เล็ดรอดสายตาเลยสักนิดพวกนั้น ต่อให้หลายครอบครัวตรงนี้ไม่นับว่าเป็นคนมีเมตตา แต่ก็คงรับมือไม่ยากเท่ากับนักรบมรณะพวกนั้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เฉียวเวยก็ให้เสี่ยวไป๋ไปที่หุบเขานั้น เมื่อมั่นใจว่าเป็นบ้านที่มีคนอยู่ ถึงได้เดินเข้าไปพร้อมกับใต้เท้าเจ้าสำนัก
ที่ตรงนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดเจ็ดครอบครัว ทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านฟางหลังเล็ก เฉียวเวยสุ่มเลือกมาหลังหนึ่งแล้วเคาะประตูเบาๆ “ขอโทษที ไม่ทราบมีคนอยู่หรือไม่ พวกเราเข้าป่ามาเด็ดสมุนไพรแล้วเผอิญหลงทาง ไม่ทราบว่าขอพักค้างแรมสักคืนได้หรือไม่”
ด้านในประตูไม่มีเสียงความเคลื่อนไหว
ทั้งหุบเขานี้ เงียบจนน่าประหลาด
เฉียวเวยอุ้มเด็กน้อยที่หนาวจนตัวม่วง แล้วเคาะประตูบ้านอีกครั้ง
แอ๊ด…
ประตูเปิดออกแล้ว
————————