ตอนที่ 467-2 การมาถึงของชีวิตน้อยๆ (2)
สตรีวัยอายุใกล้เลขห้าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเฉียวเวย ท่าทางนางคล้ายยังหลับไม่ตื่นดี ยังดูงุนงงๆ อยู่
เฉียวเวยหัวเราะแห้งๆ สองที “ขอโทษด้วยท่านป้า รบกวนเจ้าแล้ว พวกเราสองสามคนกำลังหลงทาง จะขอมาค้างแรมที่บ้านเจ้าสักคืนได้หรือไม่ นี่เป็นค่าที่พัก รบกวนท่านป้าจัดห้องให้พวกเราสักห้องเถิด ห้องใดก็ได้”
ท่านป้าคนนั้นยังคงดูงุนงง
เฉียวเวยอึ้งไป คิดในใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนเยี่ยหลัว น่ากลัวว่าคงฟังภาษาจงหยวนไม่เข้าใจ จึงรีบให้ฟู่เสวี่ยเยียนช่วยแปลให้
แล้วในที่สุดท่านป้าก็ดูมีปฏิกิริยาเสียที นางรับเหรียญทองที่เฉียวเวยส่งมาให้ แล้วเดินนำทั้งสองเข้าไปในบ้าน
แล้วก็เป็นตามที่เฉียวเวยขอ ท่านป้าจัดห้องให้พวกนางห้องเดียวจริงๆ
ห้องเดียวก็ห้องเดียว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่มีมากนัก
เฉียวเวยไปขอกระบะกับถ่านมาอีก แล้วจัดการก่อเตาไฟให้ความอบอุ่นภายในห้อง
ระหว่างนั้น ท่านป้าไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขาเลย เฉียวเวยคิดเพียงว่านางไม่มีนิสัยช่างพูด จึงไม่ได้เจ็บไปใส่ใจ หลังจากก่อเตาเสร็จ นางก็ขอซื้อชุดผ้าไหมเก่าสะอาดๆ มาจากท่านป้าอีกสองชุด ให้นางกับฟู่เสวี่ยเยียนคนละชุด
นางยังคิดจะขอซื้อผ้าห่อเด็กกับเสื้อผ้าเก่าอีกสองชุด แต่ในบ้านท่านป้าคงจะไม่มี เลยไม่สนใจพวกเขา
เฉียวเวยก็ไม่ว่าอะไร จำต้องเอาชุดผ้าไหมของตนมาแก้ จึงพอฝืนทำเป็นห่อผ้าเล็กๆ ได้
ตอนทำห่อผ้าเสร็จ เสื้อผ้าของใต้เท้าเจ้าสำนักก็ผึ่งจนแห้งพอประมาณแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้มบุตรนอนอยู่บนเตียง
เฉียวเวยเหน็บมุมผ้าห่มให้เรียบร้อย “คงหิวแล้วสิท่า ข้าจะไปถามท่านป้าดูว่าพอมีอะไรให้กินหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า อันที่จริงนางยังไม่หิว แค่เพียงร่างกายอ่อนแรง เลยอยากกินอะไรสักหน่อยเพื่อให้ฟื้นกำลังกลับมาเท่านั้น
เฉียวเวยไปที่ห้องของท่านป้า
ประตูห้องปิดสนิท เฉียวเวยเคาะเบาๆ “ท่านป้า”
ท่านป้าน่าจะหลับไปแล้ว
เฉียวเวยก็ทำใจรบกวนนางอีกไม่ได้ เลยบอกทิ้งไว้ว่า “ข้าขอไปเอาอาหารที่ห้องครัวหน่อยนะ” แล้วทิ้งก้อนทองไว้ก้อนหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินไปห้องครัว
ในห้องครัวว่างเปล่า ไม่มีอะไรกินเลยสักนิด เฉียวเวยเลยตัดสินใจลงมือทำเอง
นางคลำไปในความมืดจนเจอไหที่วางอยู่ข้างเตา นี่น่าจะเป็นไปข้าวนางเปิดฝาไม้บนไหออก ยื่นมือลงไปคลำดูว่ามีข้าวอยู่เท่าไร แต่นางคลำเจอเมล็ดข้าวเมื่อไรกัน คลำเจอแต่ก้อนนุ่มนิ่ม…คล้ายจะเป็นเต้าหู้?
แต่สัมผัสที่ได้ดูจะเหนียวกว่าเต้าหู้
เฉียวเวยดึงมือกลับมาด้วยความแปลกใจ นางยื่นไปส่องกับแสงจันทร์ก็ถึงกับตาค้าง
เหตุใดถึงเป็น…เลือด?
เฉียวเวยรู้ว่าในชนบทเวลาฆ่าหมูแล้วจะเก็บเลือดเอาไว้ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดนางถึงคิดว่าในไปนั้นไม่ใช่เลือดหมู
ใจของเฉียวเวยพลันสั่นสะท้าน นางตั้งสติ คิดจะไปล้างมือ แต่พอหันกลับไปก็เห็นท่านป้ายืนอยู่ตรงหน้าประตู
นางสะดุ้งตกใจ “ท่านป้า! เป็นท่านเองหรือ? ข้าตกใจหมดเลย… ข้าหิวน่ะ…ก็เลยมาหาอะไรกินในห้องครัว”
สายตาของท่านป้ามองผ่านหัวไหล่นางไปหยุดมองไหข้าวที่อยู่ข้างหลัง
ฝาของไปข้าวยังคงปิดอยู่อย่างแน่นหนา
เฉียวเวยเอามือขวาที่เปื้อนเลือดไปซ่อนไว้ข้างหลังตามสัญชาตญาณทันที
ท่านป้าไม่ได้พูดอะไร หันหลังเดินกลับห้องไป
คราวนี้เฉียวเวยไม่กล้ากระทั่งจะล้างมือ นางรีบกลับห้องแล้วปิดประตูให้สนิท
ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้มบุตรกับเสี่ยวไป๋หลับไปแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักนอนแผ่อยู่บนเตียง ฝืนทนความง่วงงุนเอาไว้ไม่ไหว
เฉียวเวยรีบปลุกทั้งสองให้ตื่น “อย่าเพิ่งหลับ ข้ารู้สึกว่าที่นี่แปลกๆ รีบลุกขึ้นมาเร็ว!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักอ้าปากหาว “มีอะไรแปลกหรือ พรุ่งนี้ค่อยตื่นไม่ได้หรือ”
เหน็ดเหนื่อยกันมาครึ่งคืน ทุกคนอ่อนแรงกันหมดแล้ว ซ้ำยังมีลมหนาวอีก การจะพาสตรีเพิ่งคลอดกับเด็กทารกออกจากภูเขาไปนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้พวกเขาสองคนไม่ต้องพักผ่อน แต่ฟู่เสวี่ยเยียนกับเด็กน้อยกลับทนทรมานเช่นนั้นไม่ไหว
เฉียวเวยตบผัวะเข้าที่ศีรษะเขา “ให้เจ้าตื่นก็ตื่นเถอะน่า! พิรี้พิไรไปไย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกตบคว่ำในช่วยสลึมสลือเลยถึงกับเบิกตากว้าง มองนางด้วยความหัวเสีย “นางยักษ์!”
เฉียวเวยคร้านจะสนใจเขา
ฟู่เสวี่ยเยียนเลิกผ้าห่มออกแล้วส่งบุตรให้เฉียวเวย
เฉียวเวยใช้ผ้าปูเตียงผูกเด็กน้อยไว้กับตัว เมื่อก่อนนางก็ผูกวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นแบบนี้ จึงผูกได้อย่างชำนาญ
ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มตัวฟู่เสวี่ยเยียนขึ้นมา
เสี่ยวไป๋กระโดดแด่วๆ ลงจากเตียง
เฉียวเวยดึงประตูเปิดก็เห็นท่านป้าที่ยืนอยู่หน้าประตูทันที
ท่านป้ามองนางนิ่ง สีหน้ายังคงดูมึนงง แต่ในสายตากลับมีไอสังหารเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
เฉียวเวยมองตาท่านป้าพร้อมถอยหลังไปหลายก้าว แล้วจู่ๆ ก็กระโจนขึ้น เอาเข็มทองที่ซ่อนอยู่ในซอกเล็บทิ่มใส่หว่างคิ้วของอีกฝ่าย
ท่านป้าเลยล้มตึกอยู่ตรงนั้น
“รีบไปเร็ว!”
เฉียวเวยพาทั้งสองออกจากห้อง แต่กระนั้นที่น่าตกใจก็คือ ตรงพื้นที่โล่งนอกบ้าน ไม่รู้มีชาวบ้านเข้ามายืนออกันกลุ่มใหญ่ตั้งแต่เมื่อไร ทุกคนท่าทางเหมือนท่านป้า หน้าตาตายด้าน แต่นัยน์ตากลับมีไอสังหารที่ไม่อาจลบเลือนไปได้
ใต้เท้าเจ้าสำนักถามด้วยความหวาดหวั่น “เหตุ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
นางก็อยากรู้เหมือนกัน แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลามาซักไซ้เรื่องนี้ ความสงสัยทำให้แมวตายได้ พวกเขาหนีเอาชีวิตรอดไว้ก่อนดีกว่า
เฉียวเวยชักกริชในเสื้อแขนกว้างออกมา “เสี่ยวไป๋!”
เสี่ยวไป๋แยกเขี้ยวยิงฟัน เผยเขี้ยวเล็กๆ คมกริบออกมาให้เห็น มันพุ่งทะยานเข้าใส่กลุ่มชาวบ้าน ใช้อุ้งมือข่วนจนตบชาวบ้านที่ขวางทางกระเด็นไปสองคน
เฉียวเวยยกเท้าถีบชาวบ้านอีกคนออกไป เลยพอจะเปิดทางหนีได้บ้าง
ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มฟู่เสวี่ยเยียน ร้องลั่นแล้วรีบตามไป
ทันใดนั้นชาวบ้านคนหนึ่งก็วิ่งอ้อมเสี่ยวไป๋ ตามไปคว้าคอใต้เท้าเจ้าสำนักจนได้แผล!
ตรงคอใต้เท้าเจ้าสำนักมีหยดเลือดสีดำผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เฉียวเวยหันไปมอง “มีพิษ?”
เมื่อครู่ฟ้ามืดเกินไป นางดูไม่ออก เวลานี้พอมองดีๆ แล้ว ถึงได้เห็นว่าตรงหว่างคิ้วของคนพวกนี้เป็นสีดำ ตรงมุมปากก็มีรอยคล้ำ นี่เป็นสัญญาณบอกว่าพวกเขาถูกพิษร้ายแรง แต่หากมีใครถูกผิดร้ายเช่นนี้เข้าไป คงได้ตายซ้ำตายซากไปนานแล้ว แต่ชาวบ้านกลุ่มนี้ยังคงดุดันเต็มไปด้วยกำลังวังชา
————————