ตอนที่ 468-1 เสี่ยวไป๋ผู้กล้าหาญ หนีรอดสำเร็จ (1)
เฉียวเวยอุ้มเด็กแรกเกิดเอาไว้ ฟู่เสวี่ยเยียนเพิ่งคลอดเสร็จ ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มนางอยู่ในอ้อมแขน สรุปก็คือนี่เป็นคณะคน ‘แก่ ป่วย เด็ก พิการ อ่อนแอ’ พอมาเจอพวก ‘คนพิษ’ เหล่านี้ เลยตึงมือไม่น้อยเลยจริงๆ
ที่โชคดีก็คือยังมีเสี่ยวไป๋อยู่
เสี่ยวไป๋มีแรงต้านพิษสูงมาตั้งแต่เกิด ชาวบ้านเหล่านี้จึงไม่ทำให้มันเกรงกลัวสักเท่าไร
พวกชาวบ้านคิดจะช่วยกันดึงทึ้งเสี่ยงไป๋ แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวไป๋รวดเร็วว่องไว ส่วนพวกเขาทำอะไรชักช้า จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ระดับเดียวกันสักนิด
แต่แน่นอนว่า เสี่ยวไป๋คิดจะฆ่าล้างพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะไม่เท่าไรเฉียวเวยก็ได้รู้ว่า เสี่ยวไป๋ที่ชอบกินของมีพิษ ดูเหมือนจะยิ่งกัดยิ่งติดใจ หลังจากงับชาวบ้านคนที่เจ็ด เสี่ยวไป๋ไม่ใช่แค่ดูไม่มีอาการถูกพิษ กลับกันมันยังดูมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นทั้งตัวอีกด้วย
นี่เดิมทีน่าจะถือเป็นเรื่องดี หากไม่นับดวงตาที่แดงระเรื่อของมันนั่น
ดวงตาฟู่เสวี่ยเยียนพลันสั่นไหว “แย่แล้ว มันใกล้เดินเข้าสู่ภาคมารแล้ว”
เฉียวเวยรีบตะโกนบอกทันที “เสี่ยวไป๋! ไม่ต้องกัดแล้ว! กลับมา!”
เสี่ยวไป๋พอได้ยินเสียงเรียกของเฉียวเวยตัวมันก็พลันชะงัก ท่าทางราวกับสะดุ้งตื่นจากฝัน สองตาที่ใสซื่อเบิกกว้าง
“กลับมาสิเสี่ยวไป๋!” เฉียวเวยตะโกนลั่น
มีชาวบ้านอีกคนหนึ่งคว้าตัวเสี่ยวไป๋ไป
เสี่ยวไป๋กระโดดหนีกลับเข้าไปให้เฉียวเวยอุ้ม
เฉียวเวยพอเห็นว่ามันไม่เป็นอะไรแล้วก็ค่อยเบาใจ มือหนึ่งกอดเด็กน้อยไว้ อีกมือหนึ่งกอดมันไว้ แล้ววิ่งเร็วจี๋ออกจากป่าไปทันที
ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มฟู่เสวี่ยเยียนไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านกลุ่มนี้มีเรื่องด้วยไม่ได้ง่ายๆ เลย ถ้าสู้ไม่ได้ก็ทำได้แค่หนี แต่ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งกันอย่างไร ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็ตามติดมาเป็นเงา
เช่นนี้คงยากจะจัดการแล้ว
จะฆ่า ความเสี่ยงก็มากเกินไป
ไม่ฆ่า แล้วจะรอให้ถูกฆ่าหรือ
“ข้าๆๆ… ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว…” ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดพลางหอบหายใจหนักๆ
เฉียวเวยมองเด็กในอ้อมแขน เพิ่งลืมตาดูโลก ร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก ทานทนการทรมานไม่ได้จริงๆ
เฉียวเวยหันกลับไปมองชาวบ้านที่แข็งทื่อเป็นท่อนไม้เหล่านั้น แล้วจู่ๆ ในหัวก็มีความคิดหนึ่งแวบผ่าน นางหันไปมองต้นไม้เก่าแก่อายุนับร้อยปีที่อยู่ข้างหน้า “เร็ว รีบไปที่ต้นไม้นั่น!”
เสี่ยวไป๋กระโจนขึ้นไปก่อน ตามติดด้วยเฉียวเวยที่ปีนตามขึ้นไป ก่อนจะใช้ผ้าขาวของฟู่เสวี่ยเยียนลากตัวฟู่เสวี่ยเยียนกับใต้เท้าเจ้าสำนักขึ้นไป
ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่มาก กิ่งก้านที่แผ่ออกไปดูเหมือนเตียงเล็กๆ ที่ไม่เป็นระเบียบ พวกเขานั่งลงไปแล้วยังพอจะลงนอนได้อีกด้วย ตัวลำต้นก็ใหญ่พอ ง่ายจะป้องกันยากจะโจมตี หากชาวบ้านเหล่านั้นไม่มีวิชาตัวเบา อย่างไรก็ต้องค่อยๆ ปีนขึ้นมา ขึ้นมาคนหนึ่งก็ยันลงไปคนหนึ่ง ขึ้นมาสองคนก็ยันคู่ลงไปเลย!
ไม่เท่าไร พวกชาวบ้านก็ทยอยตามกันมาถึง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้แล้วว่าพวกเฉียวเวยอยู่กันบนต้นไม้ แต่ละคนเงยหน้ามอง ใช้สายตาเย็นชาราวกับคนตายคู่นั้นเพ่งมองพวกเขา
ไม่ว่าใครหากถูกมองด้วยสายตาแบบนี้ก็ต้องเป็นขนลุกตัวสั่นกันทุกคน
ใต้เท้าเจ้าสำนักลูบแขนที่ขนลุกตั้งชัน “คนพวกนี้เป็นอะไรกันแน่ นักรบมรณะหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้าอย่างอ่อนล้า “ข้าสัมผัสไม่ได้ถึงไอของนักรบมรณะ น่าจะไม่ใช่”
เฉียวเวยกับนักรบมรณะเคยประมือกันมาหลายครั้งขนาดนั้น ตั้งแต่นักรบมรณะชั้นล่างสุดไปจนถึงราชันอสูรขั้นสูงสุด ทั้งหมดนางเคยรู้ฝีมือมาแล้ว วิชาตัวเบาของนักรบมรณะอ่อนด้อยกว่าวรยุทธ์อยู่ขั้นหนึ่ง แต่ไม่มีทางถึงกับไม่มีเลย ชาวบ้านพวกนี้ไม่เพียงไม่มีวิชาตัวเบา แต่ยังไม่เป็นวรยุทธ์อีกด้วย ดูเหมือนจะใช้แค่ท่าทางเงอะๆ งะๆ ในการต่อสู้ ไม่เหมือนนักรบมรณะเลยจริงๆ
เพียงแต่พวกเขามีพละกำลังอันน่าตกใจ ทั้งมีพิษและมีพละกำลัง ต่อให้ไม่ใช่นักรบมรณะและไม่แน่ว่าจะรับมือได้ง่ายกว่า
“อ๊าๆๆ! มีคนปีนขึ้นมาแล้ว!” ใต้เท้าเจ้าสำนักพอหันไปมองเฉียวเวย ก็ต้องร้องออกมาด้วยความหวาดผวา
เฉียวเวยหัน ถีบชาวบ้านที่ยื่นศีรษะขึ้นมาเข้าให้อย่างไม่เกรงใจ!
ชาวบ้านถูกถีบกระเด็นออกไป
จากนั้นไม่นานก็มีชาวบ้านคนอื่นปีนขึ้นมาอีก
เสี่ยวไป๋ตบชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังใต้เท้าเจ้าสำนักกระเด็นไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำอะไรไม่ได้ เลยร่วมด้วยช่วยกันเตะพวกเขาอีกคน ซึ่งเป็นการพิสูจน์คำพูดที่ว่า “มาคนก็ถีบคน มาสองคู่ก็ถีบคู่ไปเลย”
สองคนหนึ่งสัตว์นั่งล้อมบังฟู่เสวี่ยเยียนกับเด็กน้อยเอาไว้ เพียงแต่ชาวบ้านมากันมากขึ้นเรื่อยๆ ถีบลงไปคนหนึ่งก็ยังมีอีกคนขึ้นมา ปีนขึ้นมากันไม่หยุดไม่หย่อน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พละกำลังของพวกเขาต้องหมดสิ้นแน่นอน
พอคิดอะไรได้ ตาเฉียวเวยก็พลันดุ “กู่ขับขานราตรีของเจ้าเล่า ยังมีหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักลูบถุงผ้า “มีๆๆ!”
เฉียวเวยบอกว่า “ชักช้าอยู่ไย รีบปล่อยกู่สิ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบควักขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาจากถุงผ้า ดึงที่ปิดฝาขวดออกแล้วสาดแมลงกู่ใส่ชาวบ้านพวกนั้น
แต่ที่คาดไม่ถึงเอาเสียเลยก็คือ กู่เหล่านั้นพอกัดถูกชาวบ้านก็พอกันถูกพิษตายจนสิ้น
ใต้เท้าเจ้าสำนักตะลึงค้างไปเลยทีเดียว “แมลงกู่ของข้าใช้การไม่ได้!”
แมลงกู่ที่กัดนักรบมรณะยังใช้รับมือได้ ถึงขั้นทำอะไรชาวบ้านที่ไม่มีกระทั่งกำลังภายในพวกนี้ไม่ได้เชียวหรือ
นี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าคนพวกนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่านักรบมรณะดาบยาวเสียอีก
ตอนนั้นพวกเขาคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้คิดว่าชาวบ้านพวกนี้ต่อให้น่ากลัวอย่างไรก็รับมือยากสู้นักรบมรณะดาบยาวไม่ได้ คราวนี้ได้หน้าชากันแล้วจริงๆ
สองคนหนึ่งสัตว์ไม่รู้ “วุ่นวาย” กันอยู่นานเท่าไร พวกเขาเหนื่อยจนถ้าฟุบลงบนต้นไม้ก็ไม่อยากลุกขึ้นมาอีกแล้ว ในตอนนั้นทางทิศตะวันออกมีแสงเส้นหนึ่งสาดแสงมา ความมืดค่อยๆ มลายหายไป ดวงดาวเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆอันไร้ที่สิ้นสุด ปลายผ้าเปิดออก ความโชคดีเริ่มมาถึง
ชาวบ้านที่ทำอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้านเหล่านั้นพลันชะงักค้าง ใต้เท้าเจ้าสำนักยกเท้าขึ้นมา กำลังจะถีบชาวบ้านคนหนึ่งลงไป ชาวบ้านคนนั้นกลับรีบปีนแคร่กๆๆ กลับลงไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักตะลึงงัน นี่มันอะไรกัน
จากนั้น ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็เหมือนถูกใครเรียกขาน ถอนออกจากคณะของเฉียวเวยแล้วกลับไปตามทางที่มาทันที
ทั้งสามหันมองหน้ากัน
“นี่มันอะไรกันอีกนี่” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามด้วยความฉงน
เฉียวเวยยกแขนเสื้อขึ้น เช็ดเหงื่อร้อนๆ บนหน้าผาก “ใครจะไปสนใจเล่า ถอนไปได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ!”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองทั้งสองด้วยสีหน้าซับซ้อน แต่ไหนแต่ไรมามีแต่นางที่เป็นฝ่ายพุ่งออกไปช่วยผู้อื่น แต่คืนนี้ นางกับลูกได้รับการปกป้องดูแลอย่างดี นางไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เพียงหลบอยู่ด้านหลังพวกเขาเงียบๆ ให้พวกเขาแบกท้องฟ้าแทนนางไว้ทั้งคืน
นานมาแล้ว จนนางยังลืมไปแล้ว
ว่าความรู้สึกได้รับการปกป้องนั้นแท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้เอง
ฟู่เสวี่ยเยียนกวาดตามอง ก็เห็นรอยเลือดที่แห้งไปนานแล้วที่มือข้างขวาของเฉียวเวย “มือของเจ้า..บาดเจ็บหรือ”
เฉียวเวยได้ฟังเช่นนั้นยังคิดว่าตนบาดเจ็บจริงๆ พอยกมือขึ้นมองก็ถึงกับหัวเราะออกมา “ไม่ใช่เลือดของข้าหรอก เมื่อครู่ตอนไปหาของกินที่ห้องครัว ขาไปเจอไหอันหนึ่ง เลยเผลอไปเปื้อนเข้าน่ะ”
“เจ้าเล่า” สายตาของฟู่เสวี่ยเยียนมองไปที่คอของใต้เท้าเจ้าสำนัก “ก็โดนเข้าเพราะไม่ทันระวังเหมือนกันหรือ”
เลือดสีดำบนคอเขาก็แห้งแข็งไปนานแล้วเช่นกัน แต่ตรงรอบๆ แผลยังมีสีดำจางๆ ขึ้นอยู่ด้วย
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอามือลูบคอ พลันรู้สึกเจ็บจนสูดหายใจแรง
เฉียวเวยจับชีพจรให้เขา