ตอนที่ 468-2 เสี่ยวไป๋ผู้กล้าหาญ หนีรอดสำเร็จ (1)
“เป็นอย่างไรบ้าง” ฟู่เสวี่ยเยียนถามด้วยความเป็นห่วง
ความเป็นห่วงของฟู่เสวี่ยเยียนทำให้ใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นสุขมาก แทบอยากจะให้ชาวบ้านพวกนั้นกัดอีกสักสองสามที
หากเฉียวเวยรู้ถึงความคิดของเขา น่ากลัวว่าคงจัดการกระทืบเขาให้ตายเสียตรงนี้ เวลานี้เพราะยังไม่รู้ จึงยังมีแววสงสารอยู่บ้าง น้ำเสียงก็ฟังดูอ่อนโยนขึ้นสามส่วน “ชีพจรยังปกติอยู่ พิษยังไม่ถึงกับกระจายไปทั่วตัว”
“มั่นใจหรือ” ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
“เป็นห่วงเขาเพียงนี้เชียว?” เฉียวเวยเลิกคิ้วยิ้ม
ใต้เท้าเจ้าสำนักยืดอกขึ้นอย่างได้ใจ
ขนตาฟู่เสวี่ยเยียนสั่นไหว เอ่ยอย่างเป็นการเป็นงานว่า “ข้ากลัวว่าหากเขาถูกพิษแล้วจะกลายเป็นแบบพวกเขานั่น หากเป็นเช่นนั้นพวกเราคงอยู่ในอันตรายแล้ว”
ในหัวใต้เท้าเจ้าสำนักพลันมีสายฟ้าฟาดตัดไปมา
เฉียวเวยหัวเราะแล้วบอกว่า “ในตัวเขามีพิษฝ่ามือเก้าสุริยันอยู่ เดิมทีฝ่ามือเก้าสุริยันก็เป็นพิษร้ายอยู่แล้ว คิดว่าพิษสองตัวคงต่อสู้กัน ถึงได้ไม่กระจายไปเร็วเพียงนั้น แต่หากรั้งรอไปอีกสองสามวัน ก็คงจะพูดยาก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงหึๆ “เช่นนั้นเจ้ายังไม่รีบแก้พิษให้ข้าอีกหรือ”
เฉียวเวยหยิบขวดยาเล็กๆ ที่พกติดตัวออกมา เทยาเม็ดสีดำเล็กๆ ออกมาเม็ดหนึ่ง นี่เป็นยากดกำลังภายในกับพิษฝ่ามือเก้าสุริยันที่จีอู๋ซวงปรุงให้สองพี่น้อง ส่วนประกอบสำคัญคือผลสองภพกับเลือดของเสี่ยวไป๋ ซึ่งน่าจะรักษาพิษชนิดนี้ได้ดีระดับหนึ่ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักพอกินยาลงไปแล้ว ก็ไม่รู้สึกเจ็บเช่นนั้นอีกจริงๆ
พวกเขาเตรียมจะลงจากต้นไม้
ใต้เท้าเจ้าสำนักพอขยับตัว ฟู่เสวี่ยเยียนก็เรียกเขาไว้ “ช้าก่อน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับลงนั่งอย่างว่าง่าย
ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบผ้าเช็ดหน้าที่รมกลิ่นหอมออกมาจากอกเสื้อแล้วใช้พันคอให้เขาเบาๆ ผ้าเช็ดหน้าติดจะเย็นหน่อยๆ ปลายนิ้วนางอ่อนนุ่ม พอต้องถูกผิวกายโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนที่ถูกสัมผัสจึงคล้ายถูกไฟลนขึ้นมาทันที
พอได้เห็นดวงหน้าที่อยู่ใกล้เพียงคืบนี้ เขาก็ทนไม่ไหว ยื่นหน้าไปจุ๊บหนักๆ ที่ริมฝีปากนางทีหนึ่ง!
พอจุ๊บเสร็จ ตัวเขาเองก็ยังงงงัน
นี่ๆๆๆ ทำเช่นนี้ แรงไปหรือไม่นะ
“แค่ก” เฉียวเวยแสร้งทำเป็นไม่เห็น คว้าตัวเสี่ยวไป๋กระโดดลงไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าแดงแจ๋ ลูบใบหู สายตาล่องลอย “ข้าๆๆ…เอ่อคือ…”
ยังไม่ทันพูดจบ จุมพิตอันอ่อนโยนก็แตะลงบนกลีบปากที่แดงฉ่ำของเขา
เบามากและเร็วมาก เพียงแต่แค่แตะลงเบาๆ ก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว
ในหัวใต้เท้าเจ้าสำนักมีเสียงระเบิดดังคล้ายจุดพลุ ดอกแล้วดอกเล่า สว่างกระจ่างจนตัวเขาแทบจะลอยได้
เขามองฟู่เสวี่ยเยียนอย่างไม่อยากเชื่อ
ฟู่เสวี่ยเยียนกำผ้าขาว เหลือไว้ให้เขาแค่เพียงแผ่นหลังที่เรียวบาง
พลุในหัวใต้เท้าเจ้าสำนักเรียงตัวเป็นอักษรแถวหนึ่ง: นางจูบข้า นางจูบข้า นางจูบข้า…
“เอ๋อ นั่นอะไรน่ะ”
อยู่ๆ เฉียวเวยก็ถามขึ้นมา
ความคิดในหัวใต้เท้าเจ้าสำนักพลันถูกรบกวน หันไปมองฟู่เสวี่ยเยียนอีกที ฟู่เสวี่ยเยียนก็จับผ้าไถลตัวลงไปแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินเข้าไปหาเฉียวเวย มองตามสายตาของเฉียวเวยไป ตรงนั้นเป็นยอดเขาที่มีชั้นเมฆปกคลุม ดูราวกับเป็นสวรรค์ชั้นฟ้า
“มีอะไรหรือ” ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
เฉียวเวยชี้ไปทางนั้นด้วยความฉงน “เมื่อครู่ข้าเหมือนเห็น…ปราสาทหลังหนึ่ง”
“ไม่เห็นมีเลย” ฟู่เสวี่ยเยียนหันไปมองอีกครั้ง “มีแต่ภูเขา”
คราวนี้เฉียวเวยมองไปก็เหลือเพียงภูเขาเช่นกัน “อื้อ ข้าอาจจะตาฝาดไปเอง”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสียงเบา “คงเหนื่อยเกินไป”
“อาจจะนะ” หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน นางล้ามากแล้วจริงๆ เฉียวเวยนวดหว่างคิ้วที่อ่อนล้า เอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด ที่นี่วุ่นวายกันทั้งคืน ไม่รู้ทางฝั่งสือชีเป็นอย่างไรบ้าง”
สือชีกกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยนางกลับไม่เป็นห่วงสักเท่าไร ต่อให้สู้ไม่ได้ แต่ด้วยกำลังภายในของทั้งสองอย่างไรก็ยังหนีเอาตัวรอดได้ ที่นางเป็นห่วงคือซิ่วฉิน ซิ่วฉินไปหาน้ำให้ฟู่เสวี่ยเยียนแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย นางหวังว่าสือชีกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจะช่วยนางไว้ได้
ฟู่เสวี่ยเยียนถามว่า “พวกเราจะกลับกันไปอย่างไร เจ้ายังจำทางกลับจวนมู่อ๋องได้หรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า
ที่ตรงนี้มีแต่ทิวเขาล้อมรอบ รอบด้านมีแต่ภูเขาสีเขียว จะแยกทิศอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทิศไหนถึงเป็นทางกลับบ้านของพวกนางนี่สิ จีหมิงซิวที่เหมือนมีเข็มทิศติดตัวมาแต่กำเนิดยังเคยหลงอยู่ในทิวเขาถึงหนึ่งคืนเต็มๆ อย่างพวกเขานี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
เพียงแต่…
สายตาของเฉียวเวยหยุดมองเสี่ยวไป๋ที่เอาแต่สัพหงกไม่หยุด เจ้าตัวนี้ประสาทสัมผัสทางกลิ่นว่องไว ถ้าตามกลิ่นพวกเขาไป น่าจะหาทางกลับทางเดิมได้
เสี่ยวไป๋ : ข้าง่วงจะแย่อยู่แล้ว! ข้าไม่อยากไปไหนแล้ว!
เสี่ยวไป๋ผู้น่าสงสาร ถูกบังคับให้ทำงานหนักอีกแล้ว
เสี่ยวไป๋พาพวกเขาเดินกลับไปทางเดิม ตอนเดินผ่านหุบเขา พวกเขาเจอกับหมู่บ้านที่เกือบคร่าชีวิตพวกเขาไป
ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด ประตูปิดมิดชิด ยามกลางคืนมองเห็นไม่ชัด พอได้มาเห็นยามกลางวัน ก็ดูจะแปลกประหลาดไปทุกตรงเลยจริงๆ
ไม่มีหมู่บ้านใดที่จนถึงโมงยามนี้แล้วยังปิดบ้านมิดชิดกันอยู่ แต่ที่นี่ดูราวกับหลับลึกอยู่กระนั้น
พวกเขาเดินย่องกันผ่านไป ไม่กล้าส่งเสียงดังเลยสักนิด
พอเดินผ่านหมู่บ้านไปแล้วก็เป็นป่าที่รกชัด แสงอาทิตย์คล้ายถูกบดบังไว้จนหมด ในป่าดูมืดสลัว ซ้ำยังมีหมอกปกคลุมอยู่ชั้นบางๆ ด้วย
พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าเมื่อคืนพวกเขาเดินผ่านป่าที่น่ากลัวเช่นนี้ไป
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นยังอยู่หลังจากนี้
พอมีเสี่ยวไป๋คอยนำ พวกเขาออกจากป่ากันไปได้อย่างปลอดภัย ตอนนี้ พวกเขาเข้าใกล้ถ้ำเมื่อคืนมากแล้ว
แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องลงมาจนพวกเขารู้สึกสดชื่น
ใต้เท้าเจ้าสำนักหลับตาลง ยืดเอวบิดขี้เกียจ พอยกเท้า ผ้าคาดเอวก็ถูกคนคว้าเอาไว้
ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันรู้สึกตัว หันไปเอ่ยกับเฉียวเวยด้วยสายตาประหลาด “เจ้าดึงข้าทำไม”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เจ้าดูเองสิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองตรงไปข้างหน้า แล้วถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เขายืนอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง หากเท้าที่ยกขึ้นเมื่อครู่ก้าวออกไป น่ากลัวว่าคงตกเหวนั้นจนร่างแหลกไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
จุดที่พวกเขายืนอยู่เป็นยอดเขาแห่งหนึ่ง ทางที่จะกลับไปเป็นยอดเขาอีกแห่งหนึ่ง ระหว่างยอดเขาทั้งสองลูกเป็นสะพานหินที่ไม่มีรั้วให้เกาะ และสะพานแห่งนี้เพราะตอนกลางคืนมีหมอกหนาปกคลุม เลยมองไม่เห็นหุบเหวทางด้านล่าง แต่เวลานี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว หมอกหายไปหมดแล้ว หุบเหวที่ลึกเป็นหมื่นจั้งนั้นจึงทำพวกเขาหวาดผวากันจนขาอ่อน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยเสียงสั่น “เมื่อวานพวกเราเดินผ่านทางเส้นนี้มาจริงๆ หรือ”
เหตุใดเขาถึงไม่ก้าวพลาดตกลงไปนะ
สะพานแห่งนี้มีความกว้างไม่ถึงหนึ่งเมตร หากเป็นทางราบ ความกว้างหนึ่งเมตรนี้นับว่าไม่เป็นปัญหา แต่หากอยู่บนหุบเหวเช่นนี้…
ใต้เท้าเจ้าสำนักสองขาอ่อนเปลี้ยโดยพลัน
เฉียวเวยตบหัวไหล่เขา “ไปได้แล้ว!”
เสี่ยวไป๋กระโจนขึ้นสะพานหินไปก่อน ด้วยขนาดตัวของมัน สะพานหินแห่งนี้ก็เทียบเท่ากับสะพานที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้ว มันจึงเดินได้อย่างมั่นคงราบรื่น
ฟู่เสวี่ยเยียนมีจิตใจแข็งแกร่งระดับหนึ่ง จึงถือว่าเดินได้มั่นคงเช่นกัน
ใต้เท้าเจ้าสำนักคุกเข่าอยู่บนสะพาน ร้องไห้พลางถูกเฉียวเวยลากตัวไปด้วย