ตอนที่ 472-1 ฉีกหน้ากากฮองเฮา (1)
แน่นอนว่าเฉียวเวยย่อมไม่รู้ว่ากระดาษเหล่านี้คืออะไร เป็นฟู่เสวี่ยเยียนที่บอกนาง นางถึงได้รู้ว่ากระดาษที่ดูออกเหลืองเหล่านี้เป็นความลับที่ฮองเฮาใส่กลอนเก็บเอาไว้ในลิ้นชักมาโดยตลอด
การจะนำความลับเหล่านี้ออกมานั้นไม่ง่ายเลย ตอนนั้นไม่ว่าฟู่เสวี่ยเยียนจะเอาสมุดออกมาทั้งเล่ม หรือทิ้งสมุดไว้แล้วเอาแค่กระดาษเหล่านี้ติดตัวมา ก็ล้วนถูกฮองเฮาจับพิรุธได้ง่ายทั้งสิ้น
ถึงอย่างไรนางก็ไปพบความลับของฮองเฮาเข้าเสียแล้ว จะเดินออกมามือเปล่านั้น ต่อให้เป็นเฉียวเวย เฉียวเวยก็ไม่เชื่อ
แต่ฟู่เสวี่ยเยียนฉลาดมาก นางฉีกกระดาษเหล่านั้นออกมาได้อย่างแนบเนียนแล้วแอบเอาซ่อนไว้ สมุดบันทึกเล่มเต็มนางแอบไว้ในอกเสื้อ ตอนที่ฮองเฮาค้นเจอสมุดจึงคิดว่าตนสกัดกั้นฟู่เสวี่ยเยียนเอาไว้ได้แล้ว
ส่วนที่ฟู่เสวี่ยเยียนฉีกออกมามีไม่มาก หากแค่พลิกดูคร่าวจะไม่รู้ว่ามีอะไรหายไป กว่าวันใดฮองเฮาเกิดรู้ตัว นั่งพลิกทีละหน้าอยู่ในห้องหนังสือ ฟู่เสวี่ยเยียนก็คงส่งต่อข้อมูลที่ได้ไปให้คนอื่นแล้ว
เฉียวเวยอ่านภาษาเยี่ยหลัวไม่เข้าใจ นางจึงส่งกระดาษในถุงผ้าให้จีหมิงซิวทั้งยังเร่งแสงเทียนให้สว่างขึ้นอย่างใส่ใจ
แสงเทียนสีส้มอมเหลืองส่องลงมาบนหน้าทั้งสาม ทำให้ใบหน้าที่สงบนิ่งและหนักอึ้งของพวกเขาดูแล้วพร่าเลือนอยู่เล็กน้อย
จีหมิงซิวอ่านไปเงียบๆ จนจบ สีหน้าสงบนิ่งจนดูน่ากลัว
เฉียวเวยอยู่กับเขามานานจึงพอเดาลักษณะนิสัยเขาได้ ยิ่งเขาสงบนิ่งเท่าไรยิ่งหมายความว่าเรื่องราวซับซ้อนไม่ธรรมดา หากวันใดเขาส่ายหน้าส่ายตา แสดงท่าทางตกใจ นั่นต่างหากถึงเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายเหมือนเป่าดับเทียน
น่าเสียดายที่พวกเขาค่อยๆ ก้าวเดินกันมาจนถึงวันนี้ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยนัก
“คืออะไรหรือ เรื่องใหญ่มากหรือไม่ ข้างในเขียนว่าอะไรบ้าง” สุดท้ายเฉียวเวยก็ทนรอไม่ไหวเอ่ยความสงสัยในใจออกมา
จีหมิงซิวบอกว่า “คงไม่ถึงขั้นเรื่องใหญ่ เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้”
“ข้าเองก็ไม่คาดคิด…” ฟู่เสวี่ยเยียนคิดถึงตอนที่ใจเต้นแรงเมื่อครั้งได้อ่านเนื้อหาในสมุดบันทึกเมื่อวาน นางมึนงงราวกับฝันไป “เวลานั้นข้าอึ้งงันไปเลยทีเดียว”
เฉียวเวยขมวดคิ้วพลางส่งเสียงจึ๊ “พวกเจ้าพูดกันคนละคำสองคำ อย่าทำให้ข้างงสิ เห็นว่าข้าอ่านภาษาเยี่ยหลัวไม่ออกใช่หรือไม่ นางเขียนอะไรไว้กันแน่พวกเจ้าถึงบอกว่าคาดไม่ถึงน่ะ”
จีหมิงซิวเอากระดาษวางลงบนโต๊ะ ชี้ทีละแผ่นให้เฉียวเวยดู “ตรงนี้บันทึกเรื่องอาหารการกินกับกิจวัตรในแต่ละวันของท่านน้า”
เฉียวเวยฉงนกว่าเดิม “เรื่องแค่นี้หรือ กิจวัตรประจำวันของนางทำอะไรที่น่าตกใจเพียงนั้นหรือพวกเจ้าถึงบอกกันว่าคาดไม่ถึง”
จีหมิงซิวบอกว่า “กิจวัตรประจำวันเหล่านี้ปกติทุกอย่าง”
เฉียวเวยยิ่งฉงนหนักขึ้น “ปกติแต่พวกเจ้าก็ยังตกใจเพียงนี้?”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสียงเบาว่า “เวลาค่อนข้างกระชั้น ข้าเลยไม่ได้ฉีกออกมาทั้งหมด… ข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะไม่เชื่อ ข้าถึงได้ฉีกมาหลายหน้าหน่อยเพื่อเป็นหลักฐาน…”
เฉียวเวยมองทั้งสองด้วยความงงงัน “ข้ายิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ พวกเจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่นี่”
“นี่น่าจะเป็นบันทึกของฮองเฮา จดบันทึกเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเอาไว้ เจ้าดูตรงนี้ นี่เขียนถึงเรื่องตอนไปโรงพนันตรงถนนหนานเถิงกับเจ้า” จีหมิงซิวชี้ให้ดูในกระดาษแผ่นที่สาม
เฉียวเวยแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”
จีหมิงซิวอธิบายต่อว่า “สองหน้านี้เขียนต่อกัน หน้าแรกเขียนเรื่องคืนสุดท้ายที่ท่านน้าพักอยู่ในบ้านตระกูลจี เรื่องที่สองเป็นตอนที่ท่านน้าตื่นมาในวังหลวงของเยี่ยหลัว คนที่แทบอยากจะจดบันทึกทุกอย่างที่ตนเองทำเอาไว้ เหตุใดถึงปล่อยให้ชีวิตช่วงระหว่างนั้นหายไปในนานเพียงนั้น”
“ท่าน…จะบอกว่า…” เฉียวเวยพอจะเข้าใจบางอย่าง เพียงแต่ยังไม่แน่ใจนัก
จีหมิงซิวบอกว่า “เรื่องที่นางเล่นงานพวกเรา ไม่มีจดบันทึกไว้เลยสักเรื่องเดียว ยิ่งไปกว่านั้น….ตรงนี้ยังบันทึกเรื่องที่น่าสนใจเอาไว้ด้วย”
“เรื่องอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวบอกเสียงเรียบว่า “นางไม่เคยร่วมหลับนอนจริงๆ เลยสักครั้ง นางเพียงแค่ให้ยากล่อมประสาท ทำให้คนเกิดความรู้สึกวาบหวามเท่านั้น”
สิ่งแรกที่เฉียวเวยคิดคือ… นางไม่พึงใจในราชาเยี่ยหลัว? เช่นนั้นหรือว่ายิ่นอ๋องจะเป็นบุตรชายของนางกับมู่อ๋อง?
จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “อีกทั้งลายมือนี้ยังไม่เหมือนกับลายมือที่นางเขียนตอนอยู่บ้านตระกูลจีด้วย ก่อนหน้านี้นางเคยเขียนอักษรให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซู เจ้าได้นำมาด้วยหรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ได้นำมา เพียงแต่…ในหีบของวั่งซูมีแผ่นเขียนอักษรอยู่ไม่น้อย ข้าจะลองไปหาดู!”
ในคืนที่วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นถูกลักพาตัวไป เพราะในหีบสมบัติของวั่งซูมีธนูจันทร์โลหิตอยู่ ฮองเฮาเลยขนมาด้วย หลังจากนั้นพวกนางช่วงชิงรถม้าของฮองเฮามา หีบสมบัติของวั่งซูเลยได้ติดมาด้วย
เฉียวเวยไปค้นดูในหีบอยู่พักหนึ่งก็เจอกล่องที่เอาไว้เก็บกระดาษเขียนอักษรโดยเฉพาะ แล้วก็เจอแผ่นที่เป็นลายมือของท่านน้าเข้าจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น ฟู่เสวี่ยเยียนก็เอาที่ขั้นกระดาษออกมาหลายอัน นี่เป็นที่ขั้นกระดาษที่นางได้มาจากร้านหนังสือในเมืองหลวง บนนั้นเขียนภารกิจต่างๆ ที่นายท่านมอบหมายให้นาง ซึ่งลายมือเหมือนถอดแบบกันมาจากกระดาษเหล่านี้
ครานี้เฉียวเวยเลยงุนงงอีกครั้ง คนคนเดียวกันเขียน เหตุใดลายมือถึงออกมาไม่เหมือนกันได้
เวลานั้นฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนายท่าน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นฮองเฮาแห่งเยี่ยหลัว ในคืนวันที่นางลักพาตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไป นางถึงได้รู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย
ว่าตามตรงแล้ว นางตกใจยิ่งกว่าผู้ใดทั้งหมด
แน่นอนว่าโชคดีที่หลายปีนี้พวกนางติดต่อกันอย่างลับๆ นางถึงได้มีลายมือของอีกฝ่ายเก็บเอาไว้
หาไม่แล้วนางคงไม่กล้ามั่นใจว่าบันทึกฉบับนี้เป็นฮองเฮาที่เขียนด้วยมือตนเองจริงๆ
เฉียวเวยเอามือลูบคาง “นางมีสองลายมือหรือ”
จีหมิงซิวส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าเขียนได้สองลายมือ แต่ว่านี่เป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง ไม่แปลกที่เจ้ามักถูกนางหลอก คนที่อยู่กับเจ้าเป็นท่านน้าจริงๆ ส่วนคนที่ไล่ล่าพวกเรานั้นเป็นอีกคนหนึ่ง”
*********************