ตอนที่ 471-2 พร้อมหน้า อบอุ่น (2)
ซิ่วฉินหายตัวไปตอนบอกจะไปเอาน้ำมาให้ฟู่เสวี่ยเยียน นางยังเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะตกไปอยู่ในมือของนักรบมรณะ พอรู้ว่าไม่ใช่ นางจึงเบาใจลงมาก
ทิวเขาถึงแม้จะใหญ่ แต่ซิ่วฉินมีวรยุทธ์ ขอเพียงไม่เจอชาวบ้านประหลาดกลุ่มนั้น การจะเอาตัวรอดก็ไม่ใช่เรื่องยาก
พอคิดถึงชาวบ้านประหลาดกลุ่มนั้น หัวคิ้วเฉียวเวยก็ขมวดมุ่น
จีหมิงซิวเห็นสีหน้าของนาง คิ้วคมจึงเลิกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มบางๆ ถามว่า “มีอะไรหรือ กังวลว่าพวกไห่สือซานจะตามหานางไม่พบหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า ที่นางเป็นกังวลที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ นางยังจำได้ว่าช่วงที่ชาวบ้านกลุ่มนั้นจะทำร้ายนางเป็นช่วงกลางคืน แต่พอฟ้าสว่าง ชาวบ้านพวกนั้นก็รีบหนีกลับหมู่บ้านไป นางควรจะเอ่ยเตือนพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ให้พวกเขาอย่าไปทางหมู่บ้านนั้นเด็ดขาด
หากพวกเขาไปเจอหมู่บ้านนั้นเข้าแล้วคิดจะไปถามข่าวจากชาวบ้านในนั้นขึ้นมาจะทำอย่างไร
เฉียวเวยบอกเล่าความกังวลของตนให้จีหมิงซิวฟัง
จีหมิงซิวได้ฟังก็เผยสีหน้าครุ่นคิด “หมู่บ้าน? เจ้ามั่นใจหรือ เขาหมั่งฮวงดูไม่เหมือนสถานที่ที่จะมีคนอยู่เลย”
เฉียวเวยเอาสองมือเท้าคาง “หากไม่ใช่เพราะพวกข้าเคยเข้าไปพักมาก่อน ข้าก็คงคิดเช่นท่าน ให้ตายอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าสถานที่รกร้างเช่นนั้นจะยังมีหมู่บ้านอยู่”
เวลานั้นพวกเขากำลังถูกนักรบมรณะไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง พอเห็นว่ามีหมู่บ้านอยู่ ก็เป็นราวกับคนจมน้ำที่เห็นยอดหญ้า ถึงพวกเขาจะรู้สึกตงิดใจว่าไม่น่ามีหมู่บ้านอยู่ แต่เพราะเห็นว่าพวกตนพอจะมีวิชาต่อสู้ติดกาย เลยคิดว่าคนกลุ่มนั้นคงไม่ต่างอะไรกับพวกโจรป่า ใครจะรู้ว่าจะเจอกับพวกเดินได้ที่ร้ายกาจเช่นนั้น
“ตอนพวกเราลักลอบเข้าไปในค่ายใต้ดิน บังเอิญได้เห็นว่าในค่ายใต้ดินมีการจับชายแข็งแรงกำยำเข้าไปไม่น้อย ท่านว่า…สองสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่”
เฉียวเวยพูดพลางหันไปมองจีหมิงซิว
มือที่เรียวยาวประหนึ่งหยกของจีหมิงซิวเคาะลงกับโต๊ะเบาๆ “ทั้งสองไม่ควรไปปรากฏอยู่ในภูเขาร้างด้วยกันทั้งคู่ แต่พวกเจ้าก็ดันไปเจอเข้า… สะพานที่พวกเจ้าข้ามไปนั่นก็น่าจะเป็นสะพานที่มนุษย์สร้างขึ้น สถานที่ห่างไกลเช่นนั้น โดยหลักการแล้วไม่น่ามีคนอยู่ถึงจะถูก แต่กระนั้นก็ยังมีคนไปสร้างสะพานไว้ที่นั่น เพราะเหตุใดกัน”
จะเพราะเหตุใดได้อีก ย่อมเพื่อให้เดินทางจากค่ายใต้ดินไปยังหมู่บ้านนั้นได้สะดวกน่ะสิ
เฉียวเวยหรี่ตาลง “เกี่ยวข้องกันจริงๆ หรือนี่ คิดอยู่แล้วเชียวว่าสตรีนางนั้นไม่มีทางทำเรื่องดีๆ แน่! เพียงแต่…เหตุใดชาวบ้านพวกนั้นถึงกลายเป็นเช่นนั้นได้ พวกเขาเอาชาวบ้านพวกนั้นไปทดลองยาพิษอย่างนั้นหรือ”
จีหมิงซิวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่เหมือนเป็นการลองยาพิษ ชาวบ้านพวกนั้นไม่มีวรยุทธ์ หากแค่ต้องการลองยาพิษจริงๆ ด้วยลักษณะของพิษที่เจ้าบอก พวกเขาจะทนพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงเช่นนั้นได้อย่างไร”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “บันทึกของโหราจารย์มีการเอ่ยถึงสถานการณ์ประมาณนี้ หนึ่งคือใช้คนเป็นเอามาทำเป็นยาให้นักรบมรณะ การเพาะยาพิษในตัวคน ฤทธิ์ของพิษที่ได้จะบริสุทธิ์กว่ายาที่เผาออกมาสามส่วน อีกสถานการณ์หนึ่งคือ…สถานการณ์ที่สองกระทั่งใต้เท้าโหราจารย์ก็ยังบอกว่าเป็นเพียงข่าวลือ น่าจะเป็นไปไม่ได้”
หากกล่าวเช่นนี้ก็คงเป็นเหตุการณ์ที่หนึ่งแล้ว หัวคิ้วของเฉียวเวยขมวดเล็กน้อย “นางจับคนร่างกายแข็งแรงกำยำไปก็เพื่อการนี้?”
“ในมือนางมีราชันอสูรที่ใกล้จะก้าวข้ามไปได้แล้ว ถึงจะบอกว่าการจะเป็นราชันอสูรได้หรือไม่นั้นเกี่ยวข้องกับข้อจำกัดทางร่างกายเป็นสำคัญ แต่หากสามารถใช้ยาที่ดีกว่าปกติได้…”
จีหมิงซิวไม่ได้พูดต่อ เฉียวเวยเลยพูดแทนว่า “ความสามารถในการก้าวข้ามก็จะยิ่งล้ำลึกขึ้น”
“ถูกต้อง” จีหมิงซิวบอก
เฉียวเวยรู้สึกเย็นวาบในใจ ถึงจะรู้แต่แรกว่าสตรีนางนั้นโหดเหี้ยมร้ายกาจ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะโหดเหี้ยมเพียงนี้ กระทั่งชาวบ้านตาดำๆ ก็ยังไม่ละเว้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรนางเลยสักนิดด้วยซ้ำ “ให้จับนางได้ก่อนเถิด จะลากตัวนางไปทำยาบ้าง! ให้นางได้ลิ้มลองรสชาติของการมีพิษแทรกซึมอยู่ในตัวว่าเป็นอย่างไร!”
จีหมิงซิวยิ้มพลางลูบศีรษะภรรยา “ได้สิ”
เฉียวเวยก็แค่พูดไปเพราะความโกรธ สตรีนางนั้นจะเอาไปทำยาได้อย่างไร ถึงอย่างไรก็ต้องให้นางได้มีชีวิตอยู่อย่างมีสติและรู้ตัวดีทุกอย่าง ให้นางได้เห็นกับตาว่าค่ายที่นางทุ่มเทสร้างขึ้นมาค่อยๆ ถูกทำลายลงอย่างไร
พอคิดอะไรได้ เฉียวเวยก็เอ่ยว่า “ครานี้โชคทีที่ได้เสด็จพ่อกำมะลอของท่านอีกครั้ง หากไม่ได้ทหารราชองครักษ์ของเขา น่ากลัวว่าคงทำให้นางสั่นสะท้านไม่ได้ง่ายเพียงนี้”
จีหมิงซิวเพียงยิ้มๆ ไม่ได้กล่าวอะไร
เฉียวเวยนิ่งไปก่อนถามว่า “ใช่สิ ท่านเดาได้รึยังว่าบุตรชายของเขาเป็นใคร”
“เจ้าล่ะเดาออกรึไม่” จีหมิงซิวมองนางขณะอมยิ้มถาม
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้าย่อมเดาออก แต่ข้าอยากได้ยินคำตอบของท่านก่อน”
จีหมิงซิวหัวเราะออกมาทีหนึ่ง “ในใจเจ้าคือผู้ใดก็คือผู้นั้น”
เฉียวเวยกะพริบตาทีหนึ่ง “เป็นยิ่นอ๋องจริงๆ หรือ”
นอกจากยิ่นอ๋องก็ไม่มีคำตอบอื่นแล้ว จีหมิงซิวหน้าตาเหมือนมารดา ยิ่นอ๋องก็เช่นกัน ส่วนองค์ชายสามกับใต้เท้าเจ้าสำนักล้วนละม้ายไปทางบิดา เมื่อเทียบกันแล้วยังเหมือนกันสู้จีหมิงซิวกับยิ่นอ๋องไม่ได้เลย
ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรกัน แต่ที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ ราชาเยี่ยหลัวกับมู่อ๋องน่าจะเข้าใจผิดด้วยกันทั้งคู่ พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าฮองเฮาคือเจาหมิง
พวกเขาไม่แน่ว่าจะไม่เคยสงสัยว่าพี่น้องจีหมิงซิวเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา แต่ที่ยังคงเล่นงานเจาหมิงที่กำลังตั้งครรภ์อย่างหนักนั้น เป็นไปได้มากว่าตัวเจาหมิงเองเป็นคนยืนกรานปฏิเสธ
ด้วยความโกรธเกรี้ยว พวกเขาจึงคิดว่าเจาหมิงทรยศหักหลังตน ตอนหลังจึงเกิดเหตุการณ์ที่พวกเขาเล่นงานเจาหมิงขึ้น
กอปรกับท่านเขยฉินจัดการขโมยเจ้าทึ่มนั่นไป เจ้าทึ่มหน้าตาเหมือนจีซั่งชิง พวกเขาเลยคิดว่าเด็กในครรภ์เจาหมิงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน
จนกระทั่งไม่นานก่อนหน้านี้ที่พวกเขาได้เจอหมิงซิว หน้าตาที่เหมือนเจาหมิงราวกับแกะทำให้ความหวังที่ดับมอดไปแล้วของพวกเขากลับมามีประกายไฟอีกครั้ง
เฉียวเวยหมดคำจะเอ่ยกับพี่น้องสองคนนี้จริงๆ “ในพวกเขาผู้ใดกันแน่ที่เป็นบิดาแท้ๆ ของยิ่นอ๋องหรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “เรื่องนี้คงต้องถามตัวท่านน้าเองแล้ว”
“พอเอ่ยถึงยิ่นอ๋อง…” เฉียวเวยลูบคาง “เขากับองค์ชายสามเหตุใดยังไม่มาที่เยี่ยหลัวกันอีก ท่านพ่อท่านแม่ข้าน่าจะตามพวกเขาทันกระมัง”
ด้วยความสามารถของเฮ่อหลันชิงไม่มีทางที่จะตามพวกเขาไม่ทัน ส่วนที่ว่าพวกเขามาถึงกันแล้วแต่คณะของเฮ่อหลันชิงกลับยังมากันไม่ถึงนั้น ดูจะน่าสงสัยมากจริงๆ
ปังๆๆ
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ข้าเอง” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสียงเบา “ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
เฉียวเวยบอกว่า “เข้ามาเถิด”
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินเข้ามาแล้วเอ่ยเข้าประเด็นว่า “ที่ข้ามาเพราะมีของสิ่งหนึ่งจะให้พวกเจ้า”
“ของอะไร” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนควักถุงผ้าออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้เฉียวเวย
เฉียวเวยเปิดดูก็เห็นเป็นกระดาษที่ฟู่เสวี่ยเยียนดึงออกมาจากสมุดบันทึกของฮองเฮา
*********************