เล่ม 1 ตอนที่ 481 กระอักเลือดสามลิตร การค้นพบอันยิ่งใหญ่ (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 481 กระอักเลือดสามลิตร การค้นพบอันยิ่งใหญ่ (2)

ตอนรถม้าเคลื่อนตัวกลับเมืองหลวง ฟ้ามืดแล้ว ภายในเมืองมีแสงโคมไฟจากบ้านเรือน ตามถนนผู้คนขวักไขว่ เต็มไปด้วยไอร้อนจากซึ้งนึ่ง

พอคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ ทุกคนยังคงรู้สึกไม่อยากเชื่อ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทนนิ่งเงียบไว้ไม่ได้มากที่สุด จึงอ้าปากบ่นพึมพำไม่หยุด “พวกเจ้าว่านั่นใช่เรื่องจริงหรือไม่ ข้าคงไม่ได้ตาฝาดไปเองกระมัง มีคนสร้างบันไดปีนสูงเพียงนั้นอยู่ได้อย่างไร”

“นั่นไม่ใช่บันไดปีน!” ไห่สือซานไม่รู้เอ่ยเตือนเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว “นั่นเป็นบันไดเดิน”

เพียงแค่ยาวมาก สูงมาก และยิ่งใหญ่มากๆ เท่านั้น กวาดมองไปดูราวกับเป็นบันไดสวรรค์ที่องค์เทพเป็นผู้สร้าง

“แต่นั่น นั่น…มันคือสถานที่อะไรกันแน่ เหตุใดถึงไปอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าได้” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามด้วยความฉงน

ไห่สือซานเหลือบมองจีหมิงซิว คำถามที่ต้องใช้สติปัญญาเช่นนี้ เขารู้สึกว่าควรเป็นนายน้อยที่มาช่วยไขความกระจ่าง แต่ท่าทางครุ่นคิดของนายน้อยทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้ฟังที่พวกตนคุยกันเลยสักนิด

ไห่สือซานกระแอมเบาๆ ตอบว่า “สูงมากจริงๆ ทะลุชั้นเมฆไปเลย”

คำตอบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถคลายความอยากรู้ในใจเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปได้ “ควรไปดูสักหน่อยจริงๆ นะ มันผู้ใดที่สร้างได้สูงงง สูงขนาดนั้น…”

ไห่สือซานก็อยากไปดู เพียงแต่ตอนนั้นฟ้ามืดเร็วเกินไป หากพวกเขาไม่รีบออกมาจากทิวเขาตอนฟ้าสว่าง รอจนฟ้ามืด ต่อให้มีสัญลักษณ์ก็คงหาทางกลับไม่เจออยู่ดี

“ครั้งหน้าแล้วกัน” ไห่สือซานพูดเสร็จก็นึกอะไรได้ หันไปถามเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอีกครั้งว่า “แผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบแผลที่ถูกกัดตรงคอซึ่งไม่หลงเหลือความรู้สึกเจ็บแล้ว จึงบอกว่า “หายแล้วล่ะ”

ไห่สือซานเบาใจ เหลือบมองจีหมิงซิวที่นั่งอยู่ตรงกลางแล้วถามเสียงเบาว่า “นายน้อย…กำลังคิดเรื่องแม่ทัพน้อยมู่อยู่หรือไม่”

“คิดเรื่องเขาไปทำไมกัน” จีหมิงซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เขาไม่ได้กำลังคิดถึงเรื่องแม่ทัพน้อยมู่จริงๆ คนผู้นั้นไม่ได้เป็นอะไรกับเขา จะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอันใดกับตน เรื่องที่เขาคิดอยู่คือเรื่องของเยี่ยหลัว เขาตะหงิดใจว่าระหว่างทางมานี้มีเรื่องสำคัญบางอย่างที่เขาไม่ทันได้ใส่ใจ วันนี้พอได้เห็นปราสาทแห่งนั้น ความรู้สึกจึงยิ่งชัดเจนมากขึ้น

ไม่เท่าไรรถม้าก็มาถึงจวนอ๋อง

ก่อนหน้านี้ที่มู่อ๋องปฏิเสธไม่ไปชมการสู้สัตว์ จีหมิงซิวยังคิดว่าเขาแกล้งป่วย พอได้เยี่ยมเขาถึงได้รู้ว่าเขาไม่สบายจริงๆ

จีหมิงซิวไปเยี่ยมเขาด้วยความ “กตัญญู” รอบหนึ่งพร้อมกับของดีประจำถิ่นที่ซื้อมาจากร้านค้าข้างทาง จากนั้นถึงได้กลับไปที่ฟางชุ่ยหยวน

ตอนกลับไปถึงฟางชุ่ยหยวน เขาพลันรับรู้ได้ถึงไอพลังอันรุนแรงที่ไม่คุ้นเคย ไอพลังนี้รุนแรงกว่าไอสังหารไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่เพราะพลังนั้นแกร่งกล้ามากเกินไป จึงทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

จีหมิงซิวตาพลันเป็นประกาย มือกระชับหน้าไม้พิฆาตเทวาในมือ เดินเข้าเรือนได้ด้วยความระแวดระวัง สุดท้ายจึงได้เห็นบุรุษในชุดเกราะสีน้ำตาล กำลังอุ้มเจ้าเด็กอ้วนโจนทะยานไปมาอยู่ในสนาม

ทุกคนพากันมายืนอยู่ตรงสนาม หน้าตายากจะอธิบาย

มีเพียงสีหน้าของสือชีที่ดูจะบูดบึ้ง เขาอยากให้มีเพียงเขาที่สามารถอุ้มวั่งซูกระโดดไปมาได้ แต่เขาเอาชนะราชันอสูรผู้นั้นไม่ได้

จีหมิงซิวเดินเข้าไปหาเฉียวเวย “นี่มันอะไรกันหรือ”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ถามบุตรสาวสุดสวาทของท่านเถิด ข้าออกไปครู่เดียว กลับมานางก็เก็บราชันอสูรกลับมาด้วยแล้ว”

“ราชันอสูร?” จีหมิงซิวขมวดคิ้วมุ่น มิน่าเล่าไอพลังถึงได้กล้าแกร่งเพียงนี้ เขาจ้องมองราชันอสูรอยู่พักหนึ่ง หากเขาจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็นราชันอสูรของฮองเฮา ตอนอยู่ที่เมืองผู่ เขาบาดเจ็บจนเหลือวรยุทธ์อยู่เพียงสองส่วน นี่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนเขาไม่เพียงหายดี แต่ยังทะลุขีดจำกัดได้อีกด้วย คุณสมบัตินี้ช่างล้ำเลิศจนน่าหวาดผวา

ช่างโชคดีที่ “เก็บ” มาได้ หากไม่ได้เก็บมาด้วย ธนูจันทร์โลหิตก็คงทำอันตรายเขาไม่ได้

เพียงแต่ว่า นางเก็บกลับมาได้อย่างไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ไปเก็บได้จากที่ใด” เขาถาม

เฉียวเวยบอกว่า “วังหลวง เกือบถูกราชาเยี่ยหลัวพบเขา โชคดีที่ข้าหาข้ออ้างหลบออกมาได้”

พอคิดอะไรได้เฉียวเวยก็บอกต่อว่า “ใช่นักรบมรณะคนที่ข้าบังเอิญเจอนั่นหรือไม่”

“ใช่” จีหมิงซิวพยักหน้า

ถึงเฉียวเวยพอจะจำได้แล้ว แต่พอมาได้ยินจากปากจีหมิงซิวจริงๆ ก็อดตกใจไม่ได้ “พระเจ้า เป็นเขาจริงๆ หรือนี่ นางปีศาจเฒ่าทุ่มเทให้เขาไปตั้งมากมายเพียงนั้น เวลานี้เขากลายเป็นเช่นนี้ นางปีศาจเฒ่าจะไม่โมโหตายหรือ”

จีหมิงซิวบอกว่า “โมโหตายน่ะถูกแล้ว”

ราชันอสูร “โฮ่งๆๆๆๆ!”

นายหญิงชอบหรือไม่

วั่งซู “โฮ่งๆๆๆ!”

กระโดดสูงจังเลย!

ทั้งสองไม่ได้เอ่ยเรื่องเดียวกันเลย แต่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีงามยิ่งนัก การรวมกลุ่มที่แสนประหลาดนี้ ไม่มีใครอีกแล้ว

เฉียวเวยเห็นทั้งสองกระโดดไปมากันพอประมาณแล้ว พอดีกับว่าห้องครัวเตรียมอาหารเสร็จพอดี เฉียวเวยเลยรีบเอ่ยปากบอกให้ราชันอสูรกลับลงมา “ผู้อาวุโส กินข้าวได้แล้ว”

ราชันอสูรไม่สนใจนาง

เฉียวเวยใช้ความคิดแล้วเอ่ยอีกครั้งว่า “ท่านราชันอสูร กินข้าวได้แล้ว”

ราชันอสูรกระโดกลับลงมา

เฉียวเวยกระตุกมุมปาก ที่แท้ตาแก่อย่างเจ้าก็ฟังภาษาคนเข้าใจสินะ ซ้ำยังเกลียดการเรียกขานผู้อาวุโสว่า low เกินไปเสียอีก…

ครอบครัวพวกเขาเข้าไปในห้อง ไม่ต้องเอ่ยอะไร ย่อมเป็นผู้อ่อนอาวุโส อย่างพวกเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่าง “เรียบร้อย” เชื้อเชิญให้ราชันอสูรเดินเข้าไปก่อน

พอเห็นราชันอสูรอุ้มวั่งซูเดินผ่านหน้าตนไปอย่างไม่ใยดี เฉียวเวยก็อดนึกกระแนะกระแหนในใจไม่ได้ เจ้าเด็กอ้วนนี่ เจ้าเก็บราชันอสูรมาได้ หรือเก็บบรรพชนมาได้กันแน่

อันที่จริงเฉียวเวยเป็นกังวลว่าการที่มีคนเอ็นดูวั่งซูเพิ่มขึ้นจะทำให้จิ่งอวิ๋นรู้สึกจิตใจไม่สงบหรือไม่ แต่เอาเข้าจริงจิ่งอวิ๋นอารมณ์สงบนิ่งยิ่งนัก ไม่เพียงสงบนิ่งแต่ยังดีใจอีกด้วย… น้องสาวถูกราชันอสูรเกาะติดไปแล้ว ท่านแม่ก็จะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว ส่วนที่ว่าคนผู้นั้นร้ายกาจยิ่งนักนั้น…

เขา เขา เขาต้องมีสักวันที่เก็บราชันอสูรที่เก่งกาจกว่านี้ได้บ้างแน่!

จิ่งอวิ๋นยืดอก กำกำปั้น แล้วเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

นักรบมรณะที่ขึ้นมาถึงราชันอสูรขั้นนี้ หน้าตาน่ากลัวยิ่งนัก เฉียวเวยที่เคยได้เห็นหน้าตาแท้จริงของชู้รักหรงเฟยมาก่อน ไม่คาดหวังใดๆ กับรูปลักษณ์ของราชันอสูรแล้ว

ราชันอสูรเองก็ดูเหมือนจะไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตน จึงเพียงขยับเกราะศีรษะขึ้นเล็กน้อย ให้เห็นเพียงแค่ปาก

กระนั้นเฉียวเวยก็ยังอดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ คราก่อนยังถูกราชันอสูรไล่สังหารแทบเป็นแทบตายอยู่เลย เวลานี้กลับได้นั่งร่วมโต๊ะกับราชันอสูรเสียแล้ว จึ๊ ชีวิตหนอชีวิต!

ราชันอสูรไม่ชอบกินข้าว กินแต่น้ำแกงหวานเข้าไปสิบกว่าชาม

พอกินข้าวเสร็จ แต่ละคนก็กลับห้องของตนไป

ด้วยเพราะกังวลว่าราชันอสูรจะเป็นระเบิดเวลา เฉียวเวยเลยจัดให้พักอยู่ในห้องตะวันตกที่ห่างไกลออกไป ห้องนั้นจะบอกว่าอยู่ห่างไปราวกับคนละโลกก็ไม่เกินจริงนัก หากจะเดินมาถึงห้องหลักฝั่งนี้ อย่างน้อยต้องผ่านห้องไห่สือซาน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยและสือชีมาก่อน

บ่าวไพร่ปูเตียงให้ราชันอสูรเสร็จแล้ว ราชันอสูรก็ยังอุ้มวั่งซูเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

เฉียวเวยระบายยิ้มอ่อน “ท่านราชันอสูร นี่ก็ดึกมาแล้ว ท่านควรไปพักผ่อนได้แล้ว นางเองก็ต้องพักผ่อนเช่นกัน หากไม่พักผ่อนนานเกินไปจะส่งผลร้ายต่อร่างกายได้”

ราชันอสูรเบ้ปาก ยังคงทำใจส่งคืน “นายหญิง” ของตนไม่ได้

เฉียวเวยเอาตัววั่งซูที่สัปหงกแล้วมาอุ้มไว้ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับห้อง

จีหมิงซิวนั่งรอนางอยู่ในห้องก่อนแล้ว

นางวางวั่งซูลงบนที่นอนนุ่มๆ แล้วถามว่า “วันนี้พวกท่านไปที่เขาหมั่งฮวงมากระมัง ได้พบอะไรหรือไม่ พบร่องรอยใหม่ของค่ายใต้ดินแล้วใช่หรือไม่”

จีหมิงซิวกลับบอกว่า “หมิงเยี่ยสารภาพมาแล้ว”

เฉียวเวยตาเป็นประกาย “สารภาพอะไรหรือ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะซ้อมเขาสักหน่อย ใครใช้ให้เขา…” ยิงข้า?

จีหมิงซิวคลี่ยิ้ม “เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องที่ข้าสนใจไม่ใช่เรื่องนี้”

เฉียวเวยหลุบตาลง “แต่ข้าซ้อมเขาเสียอยู่ในสภาพนั้น”

มุมปากจีหมิงซิวยกขึ้น “ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ พี่สะใภ้ใหญ่เปรียบประหนึ่งมารดา เจ้าซ้อมเขาก็เป็นเรื่องสมควร”

เฉียวเวยรู้สึกราวกับประโยคเมื่อครู่เป็นหลุมพรางอาบน้ำผึ้ง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ประโยคต่อมาของเขาคือ “สามีเป็นตัวอย่างที่ดีของภรรยา เจ้ากระทำความผิด ข้าลงโทษเจ้าก็ถือเป็นเรื่องสมควร”

เฉียวเวยอึ้งไป “ท่าน ท่านจะลงโทษข้า?”

กระทั่งผิดหรือไม่ผิดยังไม่ให้โอกาสโต้แย้ง เรียกได้ว่าไร้หนทางแก้ต่าง

จีหมิงซิวเข้าใจว่านางกำลังรออะไรอยู่ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ให้เป็นดังที่นางหวัง เคาะหน้าผากภรรยาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “รักษาแผลให้ดี”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้นก้าวออกจากห้องไปอย่างไร้เยื่อใยทันที ทิ้งเจ้าสำนักเฉียวให้กัดผ้าเช็ดหน้าอยู่ในห้องด้วยความขัดใจ อยากจะร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา