ตอนที่ 482-1 พลังทำลายล้างของราชันอสูร (1)
อันที่จริงจีหมิงซิวไปเพราะมีธุระ แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งนางเช่นนี้ แต่ผู้ใดใช้ให้นางไม่จำสักที ชอบออกไปสร้างเรื่องกับเจ้าเด็กบ้านั่นอยู่เรื่อย วันนี้ยังถูกเจ้าเด็กบ้านั่นยิงธนูใส่จนบาดเจ็บที่ขาอีก หากถูกศัตรูทำให้บาดเจ็บ พูดออกไปยังชื่นชมว่านางเป็นวีรสตรี แต่กระนั้นนางก็ดันถูกคนกันเองพลั้งพลาดทำร้ายเสียได้…
ใต้เท้าอัครเสนาบดีอดสบถสองคำนั้นขึ้นมาในใจไม่ได้ เขาสูดหายใจยาวทีหนึ่ง ข่มไฟโทสะที่อยากจะเดือดพล่านขึ้นมาเอาไว้ แล้วก้าวช้าๆ ไปที่ห้องหนังสือ
เขากางแผนที่เยี่ยหลัวออกดูก่อน แล้วจึงเอากระดาษกับพู่กันมาเขียนภูมิศาสตร์ของเขาหมั่งฮวง เขาหมั่งฮวงเต็มไปด้วยภูเขามากมาย เชื่อมต่อกันไปไม่จบไม่สิ้น สำรวจไม่กี่ครั้งหรือไม่กี่สิบครั้งไม่มีทางสำรวจได้ถ้วนทั่ว แต่บนแผนที่เยี่ยหลัวมีรูปลักษณ์ในภาพรวมของมัน
จีหมิงซิวใช้ชาดวงล้อมเมืองเหนือยอดเมฆรวมถึงจุดที่เมืองเยี่ยหลัวตั้งอยู่ จึงได้รู้ว่าทิวเขากับเมืองเยี่ยหลัวตั้งอยู่ในรูปมังกรล้อไข่มุก เขาหมั่งฮวงเป็นมังกร ส่วนเมืองเยี่ยหลัวคือไข่มุก ดูจากฮวงจุ้ยแล้ว ภูมิศาสตร์ของเมืองเยี่ยหลัวนับว่าดีเลิศ มีทั้งเขาหมั่วฮวงเป็นรูปมังกรคอยคุ้มครอง ซ้ำยังหยอกล้ออยู่กับเมืองเยี่ยหลัวอีก แต่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านั้นคือเมืองเหนือยอดเมฆแห่งนั้น
เมืองเหนือยอดเมฆสร้างอยู่บนศีรษะมังกร เรียกได้ว่ากดทับอยู่บนเมืองเยี่ยหลัวหรือกระทั่งจุดรับโชคของเยี่ยหลัวโดยสิ้นเชิง ซึ่งนี่ไม่ได้บอกว่าจะทำให้เยี่ยหลัวย่ำแย่ เพียงแต่เยี่ยหลัวดีเท่าไร มันมีแต่จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่สุดแสนจะประหลาด
หากเฉียวเวยอยู่ที่นี่จะต้องไม่เชื่อเรื่องหลักฮวงจุ้ยเหล่านี้เป็นแน่ แต่จีหมิงซิวกลับพอเชื่ออยู่บ้าง
จีหมิงซิวนั่งอยู่ในห้องหนังสือพักหนึ่ง เขารู้สึกว่าตนอยู่ใกล้ความจริงมากแล้ว แต่ระยะห่างเพียงก้าวเล็กๆ ก้าวนี้ เขากลับไม่รู้ว่าควรเดินหน้าไปยังทิศทางใด
เรื่องที่คิดก็ไม่ได้คำตอบ จีหมิงซิวไม่มีทางเสียเวลาคิด
ฤดูหนาวในเมืองเยี่ยหลัวหนาวเหน็บเป็นที่สั่นสะท้าน จีหมิงซิวหยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเงินตัวหนา เปิดประตูห้องหนังสือแล้วเดินเบาๆ ไปตรงระเบียงทางเดิน
เดิมทีเขาคิดจะไปเรียกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซาน แต่กลับเหลือบไปเห็นราชันอสูรที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในสวน
ราชันอสูรยังคงสวมชุดเกราะสีน้ำตาล หมวกเกราะสีน้ำตาล แผ่นหลังอันกำยำทำให้เขาดูเหมือนแม่ทัพที่มาจากยุคโบราณ เขาแหงนหน้ามองฟ้า ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ แผ่นหลังดูเปลี่ยวเหงา
จีหมิงซิวได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบุตรสาวแล้ว และมั่นใจทันทีว่าราชันอสูรถูกกระแทกจนสมองฟั่นเฟือนไป จะว่าไปก็น่าละอาย บุตรสาวที่รักของตน ความสามารถใดๆ ล้วนไม่มี แต่เรื่องสร้างเรื่องนั้นเก่งที่หนึ่ง โชคดีที่คนที่โดนเป็นคนอื่นทุกครั้งไป
ฝีเท้าของจีหมิงซิวหยุดชะงัก แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปทักทาย
เขาเดินไปหยุดข้างๆ ราชันอสูร เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ผู้อาวุโส ดึกป่านนี้แล้วยังไม่พักผ่อน กำลังชมจันทร์อยู่หรือ”
ราชันอสูรไม่สนใจเขา
จีหมิงซิวก็ไม่แปลกใจ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย หากผู้อาวุโสนอนไม่หลับ ข้าพาผู้อาวุโสออกไปเดินเล่นในเมืองดีหรือไม่”
ราชันอสูรยังคงไม่สนใจเขา
จีหมิงซิวระบายยิ้ม เปลี่ยนไปเรียกขานว่า “องค์ท่านอยากออกไปเดินเล่นหรือไม่”
ราชันอสูรก็ยังไม่สนใจเขา!
จีหมิงซิวดูท่าว่าเขาคงไม่สนใจอยากจะออกไป จึงไม่ดื้อดึงให้อีกฝ่ายลำบากใจ ถึงอย่างไรตนก็ไม่ได้อยากพาเขาออกไปเดินเล่นจริงๆ อยู่แล้ว โมงยามนี้ร้านค้าตามถนนเก็บร้านกันหมดแล้ว ที่เรียกเขาออกไปแค่เพียงออกไปข้างนอกเฉยๆ เท่านั้น
จีหมิงซิวเรียกหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซาน ทั้งสองเพิ่งหลับไป จึงยังดูสลึมสลืออยู่
รถม้าจอดอยู่ในตรอกเยื้องๆ กับจวนอ๋องนั้นเอง พื้นที่ส่วนนี้เป็นถิ่นฐานของจวนมู่อ๋อง ความปลอดภัยเป็นเลิศ ไม่มีโจรขโมยคนใดกล้าเข้ามาลักทรัพย์ ตอนพวกเขาไปรถม้าเป็นเช่นไร เวลานี้กลับไปก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอ้าปากหาว เดินเข้าไปจับบังเหียน ไหนเลยจะรู้ว่าพอเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเทพสังหารตัวใหญ่ยักษ์นั่งอยู่ในรถม้า เขาร้องเสียงหลง ถอยกรูดไปหลายก้าวก่อนจะล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น!
ไห่สือซานดึงกริชออกจากเอวทันที “มีอะไรๆ เกิดอะไรขึ้น ผู้ใดกัน”
เขาสะบัดผ้าม่านประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรู พอเพ่งตามองก็ตกใจจนเกือบเข่าทรุด “ผู้อาวุโส? เอ่อ…องค์ท่าน! เหตุใดจึงเป็นองค์ท่านได้ ท่านมาได้อย่างไร”
เมื่อครู่ตอนออกมา ราชันอสูรยังยืนนิ่งอยู่ในลานอยู่เลย เหตุใดเพียงพริบตาถึงมาถึงก่อนพวกเขาได้
หนังตาราชันอสูรไม่ขยับสักนิด
ไห่สือซานปาดเหงื่อเย็นๆ ประคองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยขึ้นมาราวกับโล่งอกเป็นหนักหนา ยิ่งได้สัมผัสกับเจ้านี่มากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งราวกับคนบ้า หากนี่เป็นศัตรู พวกเขาคงถูกบี้ตายกันหมดแน่
ทั้งสามขึ้นนั่งรถม้า ตามปกติเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจะเป็นสารถี ไห่สือซานนั่งอยู่ด้านในรถเป็นเพื่อนจีหมิงซิว แต่คืนนี้ไห่สือซานเกรงกลัวไอพลังจากตัวราชันอสูรมากจริงๆ เขายินดีนั่งรับลมหนาวอยู่นอกรถกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังดีกว่า เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าไป “เสพสุข” อยู่ด้านใน
ระหว่างทางนี้ ทั้งสี่นั่งกันเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น ในตอนนั้นรัศมีของราชันอสูรยิ่งดูจะน่าหวั่นเกรงหนักขึ้น ถึงเขาจะพยายามเก็บงำไว้อย่างที่สุดแล้ว แต่ด้วยพลังกดดันระดับนี้ อย่างไรก็ยังทำให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานขวัญหนีดีฝ่ออยู่ดี
พออดทนจนไปถึงจุดหมายปลายทาง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแทบจะกระโดดหนีไกลไปสิบก้าว เขานวดหน้าอก พ่นไอเย็นๆ ออกไปหลายที
ไห่สือซานตามมาสมทบอย่างรวดเร็ว เขาหอบหนักๆ หลายที เอ่ยด้วยความปอดแหกว่า “รับปากข้า วันใดหากราชันอสูรเกิดเป็นคู่อริกับเรา เจ้าต้องสังหารข้าให้ตายไปก่อน”
เยี่ยนเฟยเจวี่ย “เจ้าให้จีอู๋ซวงลงมือก็แล้วกัน”
“ทำไมกัน” ไห่สือซานถามด้วยความไม่เข้าใจ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “ข้าคิดจะให้สือชีสังหารข้าในดาบเดียวไว้แล้วน่ะสิ”
ไห่สือซาน “…”
จีหมิงซิวไม่ได้สนใจสมุนสองคนที่ขวัญกระเจิงจนวางแผนปลิดชีพตนเองกันแล้ว เขาเลิกผ้าม่านลงจากรถม้า หันไปถามราชันอสูรว่า “องค์ท่านจะลงมาเดินเล่นหรือไม่”
ราชันอสูรเอามือกอดอก วางท่าวางทางดุดัน!
จีหมิงซิวกระตุกมุมปากแล้วปล่อยผ้าม่านลง
จากนั้นเขาก็หมนุตัวเดินเข้าไปในลานด้านข้าง
…
**********************