เล่ม 1 ตอนที่ 483 พลังทำลายล้างของราชันอสูร (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 483 พลังทำลายล้างของราชันอสูร (2)

จีหมิงซิวพาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่หมดสติกลับจวนไป

เดิมทีเฉียวเวยนอนไม่หลับอยู่แล้ว พอตอนนี้ได้ยินเสียงจากด้านนอก ก็คลุมเสื้อชั้นนอกเดินออกมา พอเห็นไห่สือซานแบกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ไม่ได้สติเข้ามาก็รีบเข้าไปถามไถ่

ไห่สือซานวางเยี่ยนเฟยเจวี๋ยลงบนเตียง เอ่ยด้วยใจที่ยังหวาดหวั่นไม่หายว่า “เขาถูกคนในหมู่บ้านกัดเข้า หลังจากกินยาแก้พิษเข้าไปพวกเราคิดว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่คิดว่าเมื่อครู่จะมีอาการเช่นเดียวกับคนในหมู่บ้านขึ้นมา ช่างน่ากลัวมากจริงๆ”

เฉียวเวยก็เพิ่งเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก นางรู้ว่าชาวบ้านพวกนั้นถูกพิษร้ายแรง หากถูกทำร้ายเข้าย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเช่นเดียวกับคนในหมู่บ้านพวกนั้น

เฉียวเวยจับชีพจรให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ย ทั้งยังตรวจดูลูกตา ลิ้น ปลายเล็บและหน้าอกเขาด้วย “เขาหายแล้วนี่”

“เพิ่งหายดี ราชันอสูรรักษาจนหาย” ไห่สือซานเล่าเรื่องที่ราชันอสูรดูดไอพิษในตัวเยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกไปให้นางฟัง

เฉียวเวยตกใจหนัก ผู้ประเสริฐนั่นมีประโยชน์ในเรื่องนี้ด้วยหรือ

“ใช่สิ” ไห่สือซานคล้ายคิดอะไรได้ จึงเอ่ยกับเฉียวเวยและจีหมิงซิวว่า “ข้าจำได้ว่าคุณชายรองก็เคยถูกชาวบ้านข่วนจนได้แผล เขา…จะไม่เป็นอะไรกระมัง”

เฉียวเวยตอบว่า “เขาไม่เป็นอะไร”

“ไม่เป็นอะไรก็ดี ไม่เป็นอะไรก็ดี” ไห่สือซานถึงได้วางใจ แต่ไม่นานก็ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ก็ถูกพิษจากชาวบ้านพวกนั้นเหมือนกัน เหตุใดคุณชายรองถึงไม่เป็นอะไรเล่า”

เฉียวเวยเดาว่า “หมิงเยี่ยถูกข่วนเป็นแผล ส่วนลุงเยี่ยนถูกกัด บางทีพิษที่ทั้งสองคนโดนอาจจะแรงอ่อนไม่เท่ากัน อีกอย่าง เดิมทีในตัวหมิงเยี่ยก็มีพิษรุนแรงอยู่แล้ว ใช้พิษสู้พิษ อาจเป็นเหตุผลที่เขาไม่เป็นอะไรมากก็ได้”

ไห่สือซานพลันกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง”

เฉียวเวยเห็นเขาเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยเช่นนี้ก็อดยิ้มแหยๆ บอกว่า “ข้าก็เดาไปเรื่อยเปื่อย”

ไห่สือซานบอกว่า “แต่ข้าคิดว่าที่ฮูหยินกล่าวนั้นถูกต้อง มิเช่นนั้นคงอธิบายไม่ได้ว่าเหตุใดมีแค่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ถูกพิษส่วนคุณชายรองไม่เป็นอะไร”

จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นเบาๆ “พวกเรากลับห้องเถิด ให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้พักผ่อน”

เฉียวเวยสะบัดสายตาดุดันมองมืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนหัวไหล่นาง เวลานี้รู้จักแต๊ะอั๋งกันแล้วหรือ

จีหมิงซิวทำเหมือนไม่รับรู้ถึงสายตาคมที่ส่งมา จูงมือนางกลับห้องไปประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอกลับห้องแล้วเฉียวเวยถามว่า “ใช่สิ ใครรักษาลุงเยี่ยนจนหายหรือ”

“ราชันอสูร” จีหมิงซิวตอบ

เฉียวเวยดูตกใจ “ราชันอสูรรักษาพิษนี้ได้ด้วยหรือ”

จีหมิงซิวยิ้มบางๆ “ลืมไปแล้วหรือว่าเขาทะลุขีดจำกัดจนกลายเป็นราชันอสูรได้อย่างไร”

เฉียวเวยพยักหน้า “จริงด้วยสิ เขากินยาพิษจากคนพวกนี้ลงไปถึงได้พลังเพิ่มขึ้นเป็นทบทวี เช่นนี้แล้วคงมีเพียงเขาที่ไม่หวั่นเกรงพิษในตัวมนุษย์พิษเหล่านั้น แต่หากเป็นเช่นนั้น ในตัวราชันอสูรก็ไม่มีพิษไปด้วยหรือ เช่นนั้นวั่งซูนาง…”

จีหมิงซิวบอกว่า “ไม่หรอก ยอดฝีมือระดับราชันอสูรนี้ สามารถควบคุมพิษในกายได้ง่ายดายมากแล้ว ขอเพียงเขาไม่ยินดี ก็ไม่มีทางทำร้ายผู้อื่นแน่นอน”

เฉียวเวยลองคิดดูก็เห็นจะจริง หากราชันอสูรไม่อาจควบคุมพิษไว้ได้ หรงเฟยคงตายไปแปดร้อยครั้งแล้ว

“จะว่าไป พวกท่านไปไหนกันดึกๆ ดื่นๆ หรือ” ในที่สุดเฉียวเวยก็ถามสิ่งที่อยากรู้

“ไปตามแม่ทัพน้อยมู่มา” จีหมิงซิวบอกไปตามตรง

เฉียวเวยอึ้งไปเล็กน้อย “ท่านไปหาเขาทำไมกัน คงไม่ใช่ว่า…ไปหาเรื่องเขาหรอกกระมัง ข้าก็บอกแล้วว่าเขาไม่ได้ทำอะไรข้า!”

จีหมิงซิวหันไปหรี่ตามองนาง “ในสายตาเจ้า สามีเจ้าเป็นคนใจแคบเช่นนั้นเชียวหรือ”

เฉียวเวยพึมพำเสียงเบา “เมื่อคืนไม่รู้ผู้ใดทำไหน้ำส้มแตก”

ใต้เท้าอัครเสนาบดีทำหน้าบอก “ไม่มีทางใช่ข้า” ปล่อยให้เฉียวเวยมองตนได้ตามสบาย

เชอะ หนังหน้าเจ้านี่ ธนูจันทร์โลหิตน่ากลัวว่าคงยิงไม่เข้า

เฉียวเวยถามถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันต่อ จีหมิงซิวเล่าเรื่องที่ชาวบ้านถูกย้ายไปอยู่ที่เมืองเหนือยอดเมฆให้นางฟัง

เรื่องขนย้ายชาวบ้าน เฉียวเวยไม่รู้สึกประหลาดใจนัก ถึงอย่างไรเรื่องค่ายใต้ดินก็แตกแล้ว เรื่องหมู่บ้านนั่นคงไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่…เมืองเหนือยอดเมฆนั่นทำให้นางตกใจอยู่บ้าง “ที่แท้วันนั้นที่ข้าเห็น…ไม่ใช่ข้าที่ตาฝาด”

“เจ้าเคยเห็นหรือ” ครานี้เปลี่ยนเป็นจีหมิงซิวที่ประหลาดใจบ้าง

ไม่แปลกที่เขาจะประหลาดใจเช่นนี้ ความจริงเส้นทางไปยังเมืองเหนือยอดเมฆอยู่ใต้สะพานหิน คนทั่วไปขวัญผวากับสะพานหินแทบสิ้นสติ ไหนเลยจะกล้าเหลือบมองลงไปด้านล่างอีก อีกฝ่ายเลือกสถานที่ได้ล้ำเลิศเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะสะกดรอยตามนักรบมรณะเหล่านั้นไป ต่อให้พวกเขาพลิกเขาหมั่งฮวงหาก็คงหาเส้นทางนั้นไม่พบ

เฉียวเวยบอกว่า “ข้าไม่ได้ไปตรงเส้นทางอะไรนั่น ข้าเห็นตอนอยู่ที่หมู่บ้าน แต่เพียงแค่แวบเดียวก็ถูกชั้นเมฆบดบังไป ข้ายังคิดว่าข้าตาฝาดไปเสียอีก”

จีหมิงซิวพยักหน้า โชคดีเช่นนี้ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว

เฉียวเวยทอดถอนใจบอกว่า “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ตรงกลางเขาหมั่งฮวงยังซ่อนเมืองเมืองหนึ่งเอาไว้เสียด้วย พวกเราไปดูกันเมื่อไรดี”

จีหมิงซิวนวดท้ายทอยภรรยาเบาๆ “บันไดสวรรค์สูงเป็นร้อยฉื่อ ไม่ใช่ว่าจะไปดูกันได้ง่ายๆ นะ”

โดยเฉพาะวันนี้ตอนที่เขาเอ่ยถึงเมืองแห่งนั้น สีหน้าแม่ทัพน้อยมู่จู่ๆ ก็ดูร้อนรนและหวาดกลัวขึ้นมา ซึ่งนี่ยิ่งช่วยยืนยันการคาดเดาของเขา… เมืองเหนือยอดเมฆแห่งนั้น ไม่ใช่สถานที่น่าไป

เพียงแต่เวลานี้พวกเขามีราชันอสูรแล้ว บางทีอาจจะลองดูสักครั้งได้จริงๆ

ตำหนักบรรทมของฮองเฮา ไฟในตะเกียงสั่นไหว

ห้องลับในห้องหนังสือ ตกแต่งเสียราวกับห้องนอนที่หรูหรางดงาม ฮองเฮานอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าที่เรียบ

ชางจิวกับเฉี่ยวหลิงที่สีหน้าดูหนักใจยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างเงียบๆ

เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป ในห้องเงียงสงัดจนได้ยินเสียงเข็มตก

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร นานจนะกระทั่งพระจันทร์เลื่อนเข้าไปอยู่ใต้ชั้นเมฆแล้ว ฮองเฮาที่อยู่บนเตียงถึงได้ตัวสั่นแล้วลืมตาขึ้น

ชางจิวรีบเดินเข้าไปหา “นายท่าน ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”

ฮองเฮายกแขนข้างหนึ่งขึ้นเงียบๆ เฉี่ยวหลิงรีบเข้าไปพยุง นางจับแขนเฉี่ยวหลิงลุกขึ้นนั่ง เฉี่ยวหลิงก็รีบหันไปรินชาร้อนมาให้นาง

นางเพียงยกจิบคำหนึ่งแล้วก็ให้เฉี่ยวหลิ่งออกไป นางไม่ได้ตอบคำถามชางจิว เพียงตามว่า “เลยยามจื่อไปแล้วหรือ”

ชางจิวบอกว่า “เพิ่งพ้นไป นายท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”

ฮองเฮาลองเดินลมปราณภายใน แต่พอลองเดิน ตรงหน้าอกก็รู้สึกรวดร้าวอย่างรุนแรงมากกว่ายามกลางวันเป็นร้อยเท่า กลิ่นคาวพลันแล่นขึ้นมาจุกที่คอ นางกดมันกลับลงไป “ไอเจ้าชั่วนั่น มันให้ข้ากินอะไรลงไปกันแน่”

ชางจิวบอกว่า “น่ากลัวว่าจะเป็น…กู่สลายปราณ?”

กู่สลายปรานนี้จะว่าไปก็อออกจะน่าประหลาด คนทั่วไปถูกเข้าจะไม่เป็นอะไร กลับกัน คนที่กำลังภายในยิ่งล้ำลึกจะยิ่งถูกมันสะท้อนพลังกลับ เมื่อวานฮองเฮาโรคเก่ากำเริบ กำลังภายในเหลือไม่ถึงสามส่วนของยามปกติ แรงสะท้อนที่ได้จึงน้อยลงไปตาม คืนนี้ถึงแม้นางจะฟื้นคืนพลังมาได้ไม่น้อย แต่กลับฟื้นคืนมาอย่างเสียเปล่า

สีหน้าฮองเฮาดูย่ำแย่ยิ่งนัก

ชางจิวเอ่ยปลอบว่า “แมลงกู่ชนิดนี้ไม่มีทางรักษา แต่เท่าที่ข้ารู้อายุมันไม่ยืนยาว สิบวันหรือครึ่งเดือนจะต้องหายดีเป็นแน่”

ฮองเฮาเอ่ยเสียงเย็น “สิบวันหรือครึ่งเดือน? เจ้าคิดว่าจีหมิงซิวจะให้ข้าได้อยู่สงบสุขนานเพียงนั้นหรือ”

ชางจิวถอนหายใจเอ่ยว่า “ตอนที่นายท่านสลบไป ข้าเองก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ข้าคิดว่าด้วยสถานการณ์ของนายท่านในเวลานี้ จะปะทะกับจีหมิงซิวตรงๆ ไม่ได้ ข้าไปสืบมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างราชาเยี่ยหลัวกับจีหมิงซิวนั้นไม่ธรรมดา ราชาเยี่ยหลัวรักใคร่เขายิ่งนัก หากเขาคิดจะสร้างความลำบากให้นายท่านในวังหลวง ก็ไม่แน่ว่าราชาเยี่ยหลัวจะช่วยนายท่าน”

“ความหมายของเจ้าคือให้ข้าไปก่อนหรือ” ฮองเฮาหันไปมองเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

เขาพยักหน้าเงียบๆ “หลบไปก่อนชั่วคราวจะดีกว่าขอรับ กลับไปที่เมืองก่อน ไว้รอให้หายดีแล้วค่อยจัดการเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ต่อ”

“กลับเมือง?” ฮองเฮาส่งเสียงหึเย็นๆ

ชางจิวหว่านล้อมต่อว่า “ข้ารู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่ช่วงที่ดีในการกลับเมือง แต่เดิมทีจีหมิงซิวก็รับมือได้ไม่ง่ายอยู่แล้ว เวลานี้ก็ไม่รู้ใช้ลูกไม้อะไรถึงหลอกเอาราชันอสูรไปได้อีก โอกาสชนะของพวกเรามีไม่มาก”

ฮองเฮาเยี่ยหลัวมีสีหน้าครุ่นคิด

ถึงอย่างไรชางจิวก็ยังเป็นกังวลว่านางจะไม่ตอบรับ จึงเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “ขอเพียงเขาเขียวยังมีอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีถ่านใช้ กลับไปก่อนเถิด”

ฮองเฮามองกาน้ำชาบนโต๊ะด้วยสายตาดุดัน “ถ้าจะไปก็ต้องพาราชันอสูรไปด้วย”

ชางจิว “นายท่าน”

ฮองเฮาเอ่ยขัดคำพูดเขา “ข้าทุ่มเทไปเท่าไรกว่าจะได้ราชันอสูรผู้นี้มา เขาเป็นราชันอสูรที่ร้ายกาจที่สุดในโลกหล้านี้ ข้าจะให้พวกมันได้ประโยชน์ไปเช่นนี้ไม่ได้… ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีก”

ชางจิวมองสายตาแน่วแน่ของนาง ใจก็รู้ดีว่าคงเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ จึงถามตามความตั้งใจนางไปว่า “นายท่านคิดวิธีได้แล้วหรือยังขอรับ”

ฮองเฮายิ้มเย็น “ดีชั่วอย่างไรก็เป็นราชันอสูรที่ข้าฝึกมา ข้าจะไม่รู้วิธีควบคุมเขาได้อย่างไร”

*********************************