เล่ม 1 ตอนที่ 486-1 ความลับของเมืองเหนือยอดเมฆ (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 486-1 ความลับของเมืองเหนือยอดเมฆ (2)

ทุกคนตกตะลึงกับภาพที่เห็น คนที่สามารถกดอัดเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไว้ได้ ความสามารถไม่ได้เป็นรองราชันอสูร ถึงกับถูก “องค์ท่านปัญญาอ่อน” ของพวกเขาจัดการลงได้ในหนึ่งกระบวนท่า

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหนีรอดจากความตายมาได้ เป็นสิ่งที่พวกเขารับรู้ได้อย่างลึกซึ้งที่สุด เรื่องเมื่อวานเขาย่อมได้ยินความจริงจากปากไห่สือซานแล้ว หากนับรวมครั้งเมื่อครู่เข้าไปด้วย เขาก็ติดค้างราชันอสูรถึงสองชีวิตแล้ว

นี่ๆๆ บุญคุณนี้ต่อไปต้องตอบแทนเช่นไรหนอ

หรือไม่เขาก็ฝืนใจไปเป็นศิษย์ของราชันอสูรสักหน่อยก็แล้วกัน…

ไห่สือซานกุมหน้าผาก เจ้ามีศักดิ์ศรีหน่อยเถิด!

หลังจากความตกใจและดีใจในช่วงสั้นๆ ผ่านพ้นไป ในหัวเฉียวเวยก็มีอีกความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา “เหตุการณ์เมื่อครู่ จะดึงความสนใจขององครักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่หรือไม่นะ หากองครักษ์รู้ว่ามีใครหายไปคนหนึ่ง พวกเราก็จะถูกจับได้แล้วหรือไม่”

ถึงแม้จะมีราชันอสูรอยู่ในมือ แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน

จีหมิงซิวบอกว่า “หนึ่งคนปิดประตู หมื่นคนยากจะเปิด ในเมื่อมียอดฝีมือระดับนี้คอยเฝ้าประตูอยู่ ก็น่าจะไม่จำเป็นต้องมีผู้อื่นแล้ว”

มิเช่นนั้นจะเท่ากับเป็นการหลู่เกียรติยอดฝีมือได้ ซึ่งก็เหมือนกับพวกเขาวิ่งไปบอกราชันอสูรตอนนี้ว่า องค์ท่าน ข้าเป็นห่วงว่าท่านคนเดียวจะรับมือไม่ไหว ข้าเลยไปหาลูกสมุนมาให้ท่านหลายสิบคน เช่นนั้นราชันอสูรจะต้องบี้พวกเขาให้ตายทีละคนจนกว่าจะหมดแน่นอน!

สัตว์ร้ายไปลำพัง แพะแกะไปกันเป็นฝูง โดยประมาณก็คือความหมายเช่นนี้

ตัวเฉียวเวยไม่ได้นับว่าเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพอะไร จึงไม่ค่อยเข้าใจความคิดของยอดฝีมือนัก แต่นางก็รู้สึกว่าจีหมิงซิวพูดได้ถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรการจะไปยังเมืองเหนือยอดเมฆนั้นก็มีทางนี้เพียงทางเดียว คนที่จะเฝ้าอยู่ตรงทางเดินที่เล็กแคบเช่นนี้ ใช้ยอดฝีมือแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นผ่านมาตั้งนานเพียงนี้ ทางด้านบนก็ดูจะไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งเพียงพอที่จะบอกได้ว่าพวกเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับยอดฝีมือที่เฝ้าประตูเมืองอยู่

“รีบขึ้นไปดีไหม” เฉียวเวยถาม

“อืม” จีหมิงซิวพยักหน้า “ก่อนที่จะมีคนรู้เข้า ขึ้นไปเดินดูสักหน่อย”

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม ขึ้นไปเดินดูสักหน่อย พูดราวกับไปเดินเล่นที่ตลาดกระนั้น ครั้งนี้พวกเขาต้องเข้าไปในเมือง ทหารที่เฝ้าเมืองยังเก่งกาจเพียงนี้ มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าภายในแอบซ่อนยอดฝีมือชั้นเลิศเอาไว้มากน้อยเพียงใด

“กลัวหรือ” จีหมิงซิวอมยิ้มมองภรรยาตน

เฉียวเวยทำเสียงหึหึ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”

จีหมิงซิวจับมือนางไว้ มือหนาใหญ่กุมปลายนิ้วที่เย็นจัดของนางไว้ “ไม่ให้เจ้าเป็นอะไรอะไรหรอก”

ในใจเฉียวเวยพลันอุ่นวาบ แต่ยังคงปากเก่ง “ท่านเป็นห่วงตัวท่านเองดีกว่า ขาข้าที่เจ็บน่ะ เช้านี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว พิษฝ่ามือของท่านยังไม่รู้เลยว่าจะหายดีในวันใด”

จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่อ

หลังจากคณะของพวกเขาจัดการศพของยอดฝีมือผู้นี้เสร็จแล้ว ก็เดินเรียงกันขึ้นบันไดไป

บันไดสวรรค์แห่งนี้สร้างได้งดงามมากจริงๆ บันไดแต่ละขั้นงดงามประหนึ่งก้อนหยกงาม พอมีแสงอาทิตย์ส่องก็พาให้เกิดเป็นประกายเป็นที่จับตาจับใจยิ่งนัก

แต่ละก้าวที่เฉียวเวยเดินไป รู้สึกคล้ายว่าตนกำลังเดินขึ้นสู่วังเทพเซียน

ช่วงแรกบันไดสวรรค์สร้างสูงขึ้นไปตามภูเขา แต่หลังจากนั้นภูเขาก็ค่อยๆ หายไป ด้านหลังบันไดว่างเปล่า เหลือเพียงหยกงามที่สูงทะลุยอดเมฆขึ้นไปทีละขั้นๆ เท่านั้น

มองจากมุมที่พวกเขาอยู่แล้ว สามารถเห็นได้เพียงเมฆหมอก มองไม่เป็นตัวเมือง และหากมองลงไปข้างล่าง—

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหลือบมองทีหนึ่งก็ถึงกับเกือบกลิ้งตกลงไป!

เดิมทีคิดว่าสะพานหินอันนั้นน่ากลัวมากแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าบันไดสวรรค์แห่งนี้น่ากลัวว่าสะพานหินเป็นสิบเท่าร้อยเท่า

โชคดีที่บันไดกว้างมากพอ ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเอียงตกด้านข้างไป แต่หากข้าอ่อนกลิ้งตกลงไป… อืม เช่นนั้นก็คงถึงตายได้เช่นกัน

ราชันอสูรเดินนำไปก่อน

ส่วนพวกเขาที่เหลือก็เหมือนลูกไก่ที่เดินตามหลังราชันอสูรไปอย่างสงบเงียบเรียบร้อย แต่เดินไปได้พักหนึ่งพวกเขาก็รู้สึกว่าควรให้ราชันอสูรเดินอยู่ด้านหลัง เช่นนั้นต่อให้พวกเขาเกิดขาอ่อนตกลงไป ก็ยังมีคนที่ขาไม่อ่อนคอยรับไว้มิใช่หรือ

เดินต่อไปได้อีกพักหนึ่ง พวกเขามองลงไปที่บันไดก็เห็นเพียงเมฆหมอกแล้ว ดูท่าพวกเขาคงอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองแล้ว

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากหนึ่งเค่อผ่านไป พวกเขาก็เดินขึ้นมาถึงยอดบันไดสวรรค์ สิ่งที่เห็นกลับเป็นพื้นที่โล่งรูปครึ่งวงกลมที่ขนาดไม่ใหญ่นัก กับกำแพงที่สูงสิบกว่าฉื่อ ตรงกลางกำแพงมีปากประตูอยู่บานหนึ่ง

เฉียวเวยอยากจะบอกว่าเป็นประตูเมือง แต่ปากทางเข้านั่นออกจะเล็กไปสักหน่อยจริงๆ กว้างพอให้คนหนึ่งคนเดินเข้าไปได้เท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับประตูเมืองที่แสนจะยิ่งใหญ่

อีกสามด้านที่เหลือของพื้นที่โล่งแห่งนี้มีแต่หน้าผา ปากประตูนั้นเป็นเพียงทางเข้าเดียวที่มีอยู่ แต่ด้านในมีประตูหินแปดทางที่ส่งไอเย็นออกมาอยู่

เฉียวเวยอดนึกถึงค่ายใต้ดินขึ้นมาไม่ได้ ด้านในก็เหมือนจะมีห้องที่หน้าตาเช่นนี้อยู่ ในห้องก็มีประตูหินอยู่แปดบาน เพียงแต่ประตูหินเหล่านั้นเปิดอ้าอยู่ ส่วนที่นี่กลับปิดสนิท

“นี่มันอะไรกัน” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอามือลูบประตูบานหนึ่ง ลองผลักดูก็ผลักไม่ออก เขาลองใช้กำลังภายในเข้าสู้ ก็ไม่สั่นสะเทือนสักนิด เขาหันไปส่งยิ้มแหยๆ ให้ราชันอสูร “ท่านราชันอสูร ท่านมาลองดูดีหรือไม่”

“ช้าก่อน” จีหมิงซิวเอ่ยอย่างใช้ความคิด “อย่าเพิ่งลองดีกว่า”

“ทำไมหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามด้วยความฉงน

เฉียวเวยก็บอกว่า “นั่นสิ เหตุใดถึงลองไม่ได้เล่า ด้านในนี้มีค่ายกลอะไรอยู่หรือ”

จีหมิงซิว “นี่เป็นการตั้งค่ายเกราะแปดประตู แทนความหมายมนุษย์ มักใช้ในการทำนายว่ามีโชคหรือมีเคราะห์ แบ่งออกเป็นประตูเปิด ประตูพัก ประตูเกิด ประตูภัย ประตูปิด ประตูดัง ประตูตายและประตูกลัว ประตูตาย ประตูกลัว ประตูภัยเป็นประตูเคราะห์ หากเข้าไปเป็นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ประตูปิดประตูดังเป็นประตูสมดุล ไม่มีอันตรายมากมายแต่กลับไม่อาจพาเข้าเมืองได้ มีเพียงประตูเปิด ประตูพัก และประตูเกิดที่เป็นประตูโชค ประตูสามบานนั้นสามารถพาออกไปจากที่นี่ได้ ทว่ามีเพียงประตูเกิดเท่านั้นที่พาเข้าไปสู่เมืองเหนือยอดเมฆได้

เฉียวเวยคล้ายกระจ่างแจ้งแก่ใจ “ก็หมายความว่า ต่อให้พวกเราเดินไปทางประตูโชคสองบานอื่น ก็เข้าไปไม่ถึงเมืองเหนือยอดเมฆงั้นสิ”

จีหมิงซิวพยักหน้า “อาจจะออกไปยังทางเดินภูเขาสักแห่ง”

เฉียวเวยลูบคาง “หาหนึ่งจากแปด โอกาสค่อนข้างน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่เจอ”

จีหมิงซิวส่ายหน้าเรียบๆ “น่ากลัวว่าคงจะไม่ง่ายเพียงนั้น หากข้าเดาไม่ผิด ประตูเหล่านี้ในวันหนึ่งจะเปิดได้เพียงครั้งเดียว และหนึ่งครั้งนั้นก็สามารถเปิดได้เพียงหนึ่งบาน หากเปิดมากกว่านั้นคงจะไปปลุกให้กลไลที่พื้นทำงาน ถึงตอนนั้นแผ่นดินทั้งหมดนี้รวมถึงบันไดสวรรค์คงได้พังครืนแน่”

เฉียวเวยมองลงไปยังชั้นเมฆที่หนาจนมองไม่เห็นพื้น แล้วลองคำนวณดูว่าหากตกลงไปโอกาสที่จะมีชีวิตรอดคือเท่าไร คำตอบที่ได้คือศูนย์

เฉียวเวยรู้สึกเย็นวาบในใจ “มิน่าเล่าถึงไม่มีองครักษ์อยู่ให้มากมาย ยอดฝีมือระดับราชันอสูรคนหนึ่งกับค่ายอำพรางประหลาดๆ อีกอันหนึ่ง คนทั่วไปบุกเข้าไปได้สิแปลก!”

แค่ขึ้นบันไดสวรรค์มาก็ยากเต็มกลืนแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าที่ยากยิ่งกว่าจะเป็นการเข้าเมือง การป้องกันเมืองเหนือยอดเมฆแห่งนี้แน่นหนาเสียกว่าชนเผ่าลึกลับเสียอีก

“หากเป็นเช่นนั้นพวกเราจะเข้าไปกันอย่างไร” เฉียวเวยถาม “ลองเลือกประตูสักบานหนึ่งดีหรือไม่”

จีหมิงซิวยิ้มบางๆ “ไม่ต้อง มีคนรู้ว่าต้องเข้าไปอย่างไร”

เฉียวเวยอึ้งไป “ใครกัน”

จีหมิงซิวมองภรรยาด้วยสายตาแฝงนัยลึกซึ้ง เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ท่านคงไม่ได้หมายถึงแม่ทัพน้อยมู่กระมัง”

จีหมิงซิวตบไหล่นาง “ไปเถิด ภารกิจวันนี้สำเร็จแล้ว ควรลงไปได้แล้ว”

เฉียวเวยยิ่งฉงนหนัก “เอ๊ะ พวกเรายังเข้าเมืองกันไม่ได้เลย เหตุใดถึงบอกว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้วเล่า”

จีหมิงซิวคลี่ยิ้ม จับมือเรียวที่เปียกชื้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น “เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าสำนักของข้า”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานก็ไม่เข้าใจเช่นกัน พวกเขาไม่ได้มาเพื่อจะบุกเข้าเมืองหรอกหรือ เหตุใดยังไม่ทันได้เหยียบเข้าเมืองเลยก็เสร็จสิ้นภารกิจเสียแล้วเล่า

ความคิดของจีหมิงซิวพวกเขาไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อจีหมิงซิวเอ่ยออกมาแล้ว จะไม่ไปก็ต้องไปอยู่ดี

คณะของพวกเขาเดินลงบันไดสวรรค์ไป

ตอนลงบันไดน่ากลัวกว่าตอนเดินขึ้นมากนัก เพราะถึงอย่างไรก็อยู่สูงเกินไป แต่ละก้าวคล้ายเหยียบลงบนหน้าผากระนั้น เดินไปประมาณครึ่งชั่วยาม ไห่สือซานก็เป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว “ไม่ไหว ข้า…ข้า…ข้าเวียนหัว”

ราชันอสูรเอาเขามาแบกขึ้นไหล่ขวา

ผ่านไปอีกไม่เท่าไร เฉียวเวยก็ทนไม่ไหว

ราชันอสูรเอานางขึ้นไหล่ซ้าย

คนที่สามที่ทนไม่ไหวคือเยี่ยนเฟยเจวี๋ย แต่ตอนนั้นราชันอสูรไม่มีไหล่ให้เขาเกาะแล้ว เลยทำได้แค่ให้เขาเกาะขาลงไป

บุรุษที่ตัวบึกบัน งอตัวเป็นกุ้งใช้สองแขนสองขาเกาะอยู่ที่ขาบุรุษอีกผู้หนึ่ง ช่างเป็นเรื่องที่น่าขายหน้ายิ่งนัก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเข้าไปเกาะทันทีไม่มีลังเล!

ราชันอสูรหันไปมองจีหมิงซิว

อืม ยังเหลือขาอีกข้างที่เกาะได้นะ

ใต้เท้าเจ้าสำนักจะเสียหน้าไม่ได้ เรื่องที่น่าขายหน้าเช่นเกาะขาผู้อื่นนั้น เขาจะทำลงได้อย่างไร

อัครเสนาบดีเอ่ยออกไปทันทีไม่มีหยุดคิดว่า “ข้าขี่คอท่านได้หรือไม่”

***********************