เล่ม 1 ตอนที่ 485-2 ความลับของเมืองเหนือยอดเมฆ (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 485-2 ความลับของเมืองเหนือยอดเมฆ (1)

แม่ทัพน้อยมู่ถูกเขาท้าทายขีดความอดทนอีกครั้ง มุมปากกระตุกถี่ๆ “ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำนางลำบาก!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักหัวเราะ “เหมือนกันนั่นแหละ”

แม่ทัพน้อยมู่สูดหายใจยาว สงบใจไว้ สงบใจไว้ สงบใจไว้…

“เหตุใดเวลานี้เจ้าถึงไม่กลัวข้าบาดเจ็บแล้วเล่า” จีหมิงซิวมองหน้าอีกฝ่ายขณะถาม

แม่ทัพน้อยมู่มองราชันอสูรที่เกาะต้นไม้ใหญ่อยู่ราวกับปลาหมึก ไม่รู้กำลังทำอะไร “พวกเจ้า…ไม่ได้มียอดฝีมืออยู่เหมือนกันหรือ”

จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ “อืม เจ้าไม่ได้โต้แย้งข้า เจ้าเป็นห่วงข้าจริงๆ”

แม่ทัพน้อยมู่ใกล้จะถูกเขาทำให้โมโหตายแล้ว…

หลังจากพอรู้เรื่องเมืองบนยอดเมฆแห่งนั้นคร่าวๆ แล้ว คณะของจีหมิงซิวก็เริ่มคิดกันว่าจะขึ้นบันไดสวรรค์นั้นอย่างไรดี ตามที่แม่ทัพน้อยมู่บอก ด้านบนบันได้สวรรค์มียอดฝีมือคอยเฝ้าอยู่ ตัวพวกเขาแต่ละคนไม่มีทางขึ้นไปได้แน่ ต้องเรียกราชันอสูรให้ไปด้วย

แต่จะเรียกอย่างไร ใครกันจะเรียกได้

จะโกหกวั่งซูไม่ได้ แต่จะหอบวั่งซูไปเสี่ยงอันตรายด้วยก็ยิ่งไม่ได้

“ข้าไปเรียกแล้วกัน” เฉียวเวยบอก

จีหมิงซิวถามว่า “เจ้ามั่นใจ?”

เฉียวเวยจะมั่นใจได้อย่างไรกัน ราชันอสูรที่สติไม่สมประกอบนั่นจับทางไม่ได้ยิ่งกว่าจีหมิงซิวเสียอีก แต่ดูจากที่ได้ปฏิสัมพันธ์กันมาสองวันนี้ ขอเพียงตนไม่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เขาก็จะไม่ทำร้ายตนเท่านั้นเอง

ยังมีอีกเรื่องที่เฉียวเวยไม่ได้บอกก็คือ เมืองเหนือยอดเมฆนั่นดูจะเป็นหนึ่งในรังเก่าของฮองเฮา หากฮองเฮาเคลื่อนย้ายนักรบมรณะกับมนุษย์พิษไปที่นั่น เช่นนั้นยิ่นอ๋องกับองค์ชายสามก็จะถูกนางจับไปไว้ที่นั่นด้วยหรือไม่

นางไม่เป็นห่วงว่ายิ่นอ๋องจะอยู่ที่ไหนนักแล้ว แต่ท่านพ่อท่านแม่ตามพวกตนมาตลอด หากพวกเขาก็ไปอยู่ที่เมืองเหนือยอดเมฆนั่นด้วยเล่า

จุดนี้จีหมิงซิวก็คิดถึงเช่นกัน พวกเขายังตามมาถึงเยี่ยหลัวได้ ด้วยความสามารถอย่างเฮ่อหลันชิงไม่มีทางที่จะตามมาไม่ถึง แต่ที่พวกนางไม่ปรากฏตัวเสียที ความเป็นไปได้เดียวก็คือไปอยู่ที่เมืองเหนือยอดเมฆนั่นแล้ว

เฉียวเวยเดินออกจากห้องหนังสือ ตอนเดินผ่านลานกว้าง ราชันอสูรกำลังใช้สองมือสองขาเกาะต้นไม้อยู่ ตัวเขาอยู่ห่างจากพื้นประมาณเจ็ดแปดเมตรเห็นจะได้ เฉียวเวยเลยส่งเสียงเรียกว่าผู้อาวุโส

ราชันอสูรทำหน้าดุ ขยับตัวบนต้นไม้ไปครึ่งรอบ เอาก้นหันมาหาเฉียวเวยแทน!

เฉียวเวย “…”

เฉียวเวยกลับไปที่ลานอีกทีก็หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ราชันอสูรยังคงอยู่ในท่าเดิม กระทั่งตำแหน่งที่อยู่ก็ไม่เปลี่ยน

เฉียวเวยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ นางกระแอมเบาๆ เงยหน้าบอกว่า “องค์ท่าน ท่านทำอะไรอยู่บนต้นไม้น่ะ”

ราชันอสูรไม่สนใจนาง

เฉียวเวยย่อมไม่คาดหวังว่าราชันอสูรจะตอบนาง ดังนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “ท่านหิวหรือไม่ ข้าทำขนมถั่วเขียวกับขนมมันม่วงเอาไว้ องค์ท่านลงมาชิมหน่อยดีหรือไม่”

ราชันอสูรยอมลงมา

สองวันนี้เฉียวเวยพอจะจับนิสัยบางอย่างของราชันอสูรได้แล้ว เช่นว่าชอบของหวานและรักสะอาด

เฉียวเวยเอาขนมวางลงบนโต๊ะหิน ตักน้ำมากาละมังหนึ่งให้ราชันอสูรล้างมือ

ราชันอสูรขยับเกราะหมวกขึ้นเล็กน้อยแล้วเริ่มเอาขนมเข้าปาก

เฉียวเวยทำใจกล้านั่งลงตรงข้ามเขา พอเห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย นางก็ยิ่งได้ใจ “องค์ท่าน อีกเดี๋ยวพวกเราจะออกไปข้างนอกกัน ท่านไปกับพวกเราด้วยดีหรือไม่”

ราชันอสูรไม่อยากไปด้วย

เฉียวเวยจึงเอ่ยต่อว่า “ถ้าท่านไปกับพวกเรา ตกเย็นกลับมาข้าจะทำขนมจานโตให้ท่านสองจาน”

ราชันอสูรพลันชะงัก

เฉียวเวยเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลังเลก็รีบชูนิ้ว “สามจาน? สี่จาน? ห้าจาน?”

ราชันอสูรเดินหนีไปทันที

เฉียวเวย “นี่… ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย ท่านอย่าเพิ่งโกรธสิ! ไม่ไปก็ไม่ไป! จะโมโหไปไยเล่า”

ตอนคณะของจีหมิงซิวเลิกผ้าม่านรถม้าเข้าไปนั้น ราชันอสูรนั่งนิ่งกอดอกรออยู่ข้างในแล้ว

สามคนที่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาครั้งหนึ่งแล้วท่าทางสงบนิ่งมาก กลับเป็นเฉียวเวยที่ตกใจอย่างหนัก เขาเดินหนีไปพร้อมไอสังหารพวยพุ่ง นางยังคิดว่าเขาโกรธเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะกระตือรือร้นขึ้นมานั่งบนรถม้าเร็วยิ่งกว่าพวกนางเสียอีก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบังคับรถม้า หลังจากโยกๆ คลอนๆ ไปกว่าครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงทางเข้าเขาหมั่งฮวง

พอเอารถม้าผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่แล้ว พวกเขาก็ทยอยกันลงมา

ราชันอสูรมองทิวเขาที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาแล้วนิ่งไปพักใหญ่

เฉียวเวยถามว่า “องค์ท่าน ท่านเป็นอะไรหรือ สถานที่แห่งนี้มีอะไรผิดปกติหรือ หรือว่าท่านนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้”

อย่าเชียวนะ…

ราชันอสูรก้าวขาเดินเข้าไปในทิวเขา

เฉียวเวยรีบตามไป

ไห่สือซานเป็นคนนำทาง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินปิดท้าย หลังจากเดินมาหลายครั้ง ลดเลี้ยวไปมาประมาณครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงสะพานหินแห่งนั้น

ถ้ำอยู่อีกฟากหนึ่งของสะพาน หากจะเข้าไปต้องข้ามสะพานไปก่อน

“เจ้าก่อนแล้วกัน” ไห่สือซานผลักเยี่ยนเฟยเจวี๋ย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกรอกตาบนใส่เขา “เหตุใดต้องเป็นข้า เจ้าไม่ใช่คนนำทางหรือ”

“เวลานี้เจ้าก็จำทางได้แล้วไม่ใช่หรือ” ไห่สือซานชี้ไปที่ถ้ำแห่งนั้น “นั่นไงๆๆ! อยู่ตรงนั้นน่ะ! เจ้าข้ามไปสิ!”

สะพานหินประเภทนี้ไม่ว่าเดินไปกี่ครั้งก็ยังทำใจกล้าไม่ได้อยู่ดี

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขาอ่อน ถีบไห่สือซานให้ทีหนึ่ง “ครั้งก่อนก็เป็นข้าไปก่อน เจ้าก่อนเลย!”

“โฮก…”

ราชันอสูรดูจะรำคาญที่สองคนนี้เถียงกัน มือเลยคว้าพวกเขาขึ้นมาคนละข้างแล้วจับโยนลงไป พวกเขาสองคนเลยเข้าไปอยู่ในถ้ำได้อย่างมั่นคง

ใจของเฉียวเวยกระดอนขึ้นมาถึงลูกกระเดือกแล้ว หากไม่ได้เห็นกับตา ผู้ใดจะเชื่อเล่า ถึงอย่างไรปากถ้ำก็อยู่ตั้งไกลเพียงนั้น ซ้ำยังเล็กแค่นั้น…

ไม่นาน ราชันอสูรก็จับคอเสื้อเฉียวเวยขึ้นมา

เจ้าสำนักเฉียวตกใจจนหน้าซีด “อย่าๆๆ…อย่าโยนข้า!”

ราชันอสูรมือหนึ่งจับเฉียวเวยอีกมือหนึ่งจับจีหมิงซิว พอแตะปลายเท้า ตัวก็พุ่งทะยานราวกับลูกธนู ลอยตัวเข้าไปในถ้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที

หลังจากเข้ามาแล้ว พวกเขาก็ยังคงขาอ่อนอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กระตุ้นอารมณ์เกินไปจริงๆ ราวกับกระโดดหน้าผาอย่างไรอย่างนั้น เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเกือบคิดว่าตนกับไห่สือซานจะได้ลงไปตายด้วยกันแล้ว

พวกเขาเดินผ่านทางเดินภายในถ้ำ ถึงอย่างไรก็เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อได้เห็นบันไดสวรรค์ที่สูงทะลุเมฆ รวมถึงเมืองที่อยู่เหนือเมฆแห่งนั้นอีกครั้ง ยังจะทำให้พวกจีหมิงซิวสามคนอุทานออกมาด้วยความตกใจไม่ได้อยู่ดี

ไม่เสียแรงที่เป็นเยี่ยหลัวที่สามารถกดชนเผ่าลึกลับจนได้ขึ้นสู่บัลลังก์ได้ ตอนอยู่ในเมืองเยี่ยเหลียง พวกเขาเกือบประเมินความสามารถของเยี่ยหลัวต่ำไป คิดว่าเอาเข้าจริงเยี่ยหลัวก็ไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไรนัก พอได้เห็นบันไดสวรรค์แห่งนี้ ถึงได้ประจักษ์ในความสามารถที่แท้จริงของเยี่ยหลัว

แต่นี่เป็นเพียงมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็ง ความร้ายกาจที่แท้จริงยังอยู่ที่เมืองด้านบนนั่น

“ข้าลองดูก่อนนะ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดูไม่ค่อยมั่นใจ ย่างเท้าขึ้นบันไดที่ปูด้วยหยกอันงดงาม

ทุกคนมองเขากันเงียบๆ

พอก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว เขาก็ลองกระทืบเท้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่มีอะไรนี่ แม่ทัพน้อยมู่กระต่ายตื่นตูมเกินไปแล้ว!”

พูดพลางก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

ยังคงไม่มีอะไรผิดปกติ

ทุกคนเริ่มสงสัย หรือว่าบันไดสวรรค์แห่งนี้จะไม่ได้ขึ้นไปยากเย็นอย่างที่แม่ทัพน้อยมู่บอก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้าวขึ้นขั้นที่สาม ก็มีกำลังภายในที่หนักแน่นราวกับภูเขาไท่ซานกดทับหนักๆ เข้าใส่ตัวเขา!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพลันหน้าถอดสี! หัวใจเต้นเร็วแทบจะระเบิด เขาอยากดึงตัวกลับแต่สายไปเสียแล้ว เขาถูกกดทับเอาไว้จนขยับตัวไม่ได้แล้ว

ในขณะที่ขุมพลังกำลังภายในนั้นใกล้จะบีบอัดเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจนกลายเป็นเนื้อบดนั้น ราชันอสูรก็กระโดดตัวลอยขึ้นไป ฟาดฝ่ามือใส่ความว่างเปล่าอย่างรุนแรง

พลันเกิดเสียงดังกัมปนาท…

กำลังภายในอันกล้าแกร่งสองลูกกระทบกันกลางอากาศ เกิดเสียงดังสนั่นคล้ายเสียงฟ้าผ่า เล่นเอาแก้วหูเฉียวเวยเกือบแตก

วินาทีต่อมา เงาดำร่างหนึ่งก็ลอยละลิ่วตกลงมาจากยอดเมฆ ก่อนจะตกลงบนพื้นหญ้า สะอึกทีหนึ่งแล้วกระอักเลือดสิ้นใจตาย