ตอนที่ 485-1 ความลับของเมืองเหนือยอดเมฆ (1)
ทางด้านนี้ระหว่างที่ราชันอสูรกับวั่งซูเล่นสนุกกันจนไม่อยากเลิกนั้น สือชีกับจิ่งอวิ๋นกลับกำลังนั่งกินอะไรกันอยู่ในศาลาเงียบๆ พูดให้ชัดก็คือ เป็นสือชีที่นั่งกินอยู่ ส่วนจิ่งอวิ๋นแค่เพียงนั่งอยู่ด้วย เบิกตาบ้องแบ้วมองอยู่เท่านั้น
สือชีมีนิสัยเลือกกิน เนื้อติดมันไม่กิน ปลาไม่กิน ผักใบเขียวไม่กิน อารมณ์ไม่ดีก็ไม่กิน แต่ตั้งแต่ราชันอสูรมา เขาแทบอยากจะกินทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา
เขาอยากโต เขาอยากแข็งแรงขึ้น เขาอยากเอาชนะราชันอสูรให้ได้!
จิ่งอวิ๋นมองอีกฝ่ายอย่างใสซื่อ “พี่สือชี กินอย่างเดียวไม่มีประโยชน์นะ พี่ต้องฝีกด้วย”
สือชีขมวดคิ้วได้รูปของตน มองหน้าจิ่งอวิ๋นด้วยความฉงน
จิ่งอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่ดูอย่างท่านแม่ข้าสิ ท่านแม่ข้ากินไม่มาก แต่ที่นางเก่งกาจเพียงนั้นเพราะการฝึก ตอนอาจารย์ตาอยู่ ท่านแม่ฝึกฝนอย่างเหนื่อยยาก ท่านยายข้าก็เช่นกัน ตอนนางยังเป็นเด็กอยู่นะ ลำบากยากเข็นกันทั้งนั้น”
(เฮ่อหลันชิงตอนเด็ก: วันๆ วุ่นอยู่แก่กับการถอนหงอกผู้อาวุโส ช่างลำบากนักจริงๆ…)
จิ่งอวิ๋นพูดต่อว่า “พี่ฝึกเยอะๆ ได้นี่ เช่นว่าอุ้มขาทะยานไปมา”
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ จิ่งอวิ๋นก็ได้ออกทะยานตามที่ใจปรารถนา แต่กลับไม่ใช่สือชีที่เป็นคนอุ้ม
สือชีเห็นว่าที่จิ่งอวิ๋นพูดมีเหตุผลยิ่งนัก การเชี่ยวกรำด้วยการฝึกฝนน่าจะช่วยให้เก่งขึ้นได้จริงๆ ดังนั้นเขาจึงเอารูปสลักหินขนาดเล็กมาแบกขึ้นหลัง แล้วให้จิ่งอวิ๋นกอดอยู่บนหินภูเขาก้อนเล็ก
จิ่งอวิ๋นที่ในที่สุดก็ไม่ต้องเกาะขาคนทะยานไปมาแล้ว “…”
เหตุใดเขาถึงรู้สึกยากจะเอื้อนเอ่ยเช่นนี้…
กลับไปเอ่ยถึงอีกด้านหนึ่ง หลังจากราชันอสูรเกี่ยวตัวฮองเฮากลับไปยังกระท่อมหลังเล็กแล้วก็ขยับตัวหนีไปอีกด้านอย่างไร้ความเห็นใจ หากเป็นคนอื่นมาอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะใจอ่อนเชิญท่านหมอมาให้บ้าง แต่ราชันอสูรแทบจะเห็นนางเป็นโรคติดต่อก็ไม่ปาน รีบอุ้มนายหญิงน้อยของตนออกไปไม่แม้จะหันกลับมามองทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าว่าแต่จะเรียกให้ราชันอสูรกลับมาอยู่ในอาณัติของตนเลย กระทั่งขนสักเส้นของเขานางก็ยังไม่ทันได้แตะต้อง ช่างน่าโมโหจนกระอักเลือดยิ่งนัก
ละครจำอวดเล็กๆ ฉากนี้ย่อมหนีไม่พ้นสายตาของผู้ใหญ่ วั่งซูเล่าเรื่องในกระท่อมหลังเล็กออกมาจ้อยๆ ซ้ำยังยืดอกน้อยๆ ของตนด้วยความภาคภูมิใจเป็นที่ยิ่ง ท่านแม่บอกว่าต้องเอาอย่างเหลยเฟิง เช่นนี้นางไม่เท่ากับเป็นเหลยเฟิงตัวน้อยที่มีชีวิตหรอกหรือ
“ข้าส่งนางกลับไปแล้ว!”
ข้าช่างเป็นแม่นางน้อยที่มีน้ำใจเสียจริง!
วั่งซูน้อยที่ “แทง” ฮองเฮาไปสี่ห้าหกเจ็ดแปดที คิดในใจด้วยความภูมิใจและปลึ้มปริ่ม
ทุกคนได้ฟังอย่างนั้นก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ทำให้วั่งซูรู้สึกคุ้นหน้าคล้ายเคยรู้จักมาก่อนได้ แปดส่วนน่าจะเป็นฮองเฮาตัวจริง สตรีนางนั้นสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร ถูกกู่สลายปราณจนปราณสลายสิ้น แต่กระนั้นก็ยังกล้าแอบเข้ามาจะลอบสังหารวั่งซู
พวกเขาไม่มีใครคิดว่าฮองเฮามาเพื่อเรียกคืนราชันอสูร
พวกเขาไม่แม้แต่จะขยับหนังตา ลอบสังหารวั่งซู? ใต้สายตาราชันอสูรเนี่ยนะ หึหึ เจ้าช่วยมาอีกหลายๆ รอบหน่อยเถิด…
ถึงจะไม่คิดว่าสตรีนางนั้นจะนอนรอความตายอยู่ในกระท่อมหลังน้อย แต่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ยังไปตรวจดูให้รู้สักหน่อย เขามองรอยเลือดที่พื้น บนเตียงรวมถึงบนกำแพงแล้วเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ส่งเสียงจึ๊ๆๆ “มั่นใจหรือว่าเลือดในตัวไม่ได้กระฉูดออกมาหมดแล้ว”
ถึงแม้เลือดฮองเฮาจะกระฉูดออกมาไม่หมด แต่กลับเหลืออีกไม่มากแน่นอน ตอนที่ชางจิวมาพาตัวนางจากกระท่อมกลับไปนั้น นางตัวซีดขาวกระทั่งสีตรงริมฝีปากก็เหือดหายไปแล้ว ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าประตูยมโลกไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตกลับมาได้หรือไม่
ในฟางชุ่ยหยวน พวกเขาแยกย้ายกันไปทำธุระ เฉียวเวยเอาสมุนไพรที่ซื้อมาจำแนก ที่ควรตากก็ตาก ที่ควรต้มก็ต้ม ที่ควรเอาไปทำยาเม็ดก็เอาไปทำยาเม็ด จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกลับห้องไปนอนกลางวัน จูเอ๋อร์กระโดดขึ้นเตียงไปโอ้อวดชุดตัวใหม่ของตนให้เสี่ยวไป๋ที่อยู่ในห่อผ้าดู
เสี่ยวไป๋อยากกัดมันนัก!
หากเทียบกับทุกคน (ทุกสัตว์) แล้ว เห็นได้ชัดว่าจีหมิงซิวดูจะว่างกว่าคนอื่น เขาวางเรื่องใหญ่ทั้งปวงไว้ก่อน ย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งไปนั่งอาบแดดสบายๆ อยู่ใต้ชายคา
หลายวันก่อนทางตะวันตกของเมืองมีหิมะปลิวลงมา แต่สองวันนี้กลับพระอาทิตย์เจิดจ้าทั้งเมือง พอแสงอาทิตย์ตกกระทบตัวก็พาให้สุขใจยิ่งนัก
บนตัวที่อยู่ด้านข้างกำลังต้มน้ำอยู่กาหนึ่ง
บนโต๊ะมีอุปกรณ์ชงชาวางอยู่
จีหมิงซิวดูจะไม่รีบร้อน หากฮัมเพลงเบาๆ ปลายนิ้วเคาะเป็นจังหวะอยู่บนต้นขา ตอนที่น้ำเดือด เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น “นายน้อย แม่ทัพน้อยมู่มาขอเยี่ยม!”
จีหมิงซิวระบายยิ้มช้าๆ “เชิญแม่ทัพน้อยมู่เข้ามา”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินนำแม่ทัพน้อยมู่ไปที่ฟางชุ่ยหยวน
ฟางชุ่ยหยวนในช่วงบ่ายออกจะเงียบเล็กน้อย ในลานไม่มีกระทั่งบ่าวไพร่กวาดลานกันสักคน เหลือเพียงจีหมิงซิวที่นั่งหน้าทะเล้นอยู่ใต้ชายคา ดูจากหน้าตาท่าทางได้ใจของจีหมิงซิว คล้ายว่าเขาจะเดาไว้อยู่แล้วว่าเป็นเช่นนี้
“เจ้ารู้ว่าข้าจะมาหาเจ้าหรือ” แม่ทัพน้อยมู่เดินขึ้นบันไดมาพลางเอ่ยถามเรียบๆ
จีหมิงซิวระบายยิ้มไม่ได้ตอบอะไร แต่สีหน้าของเขาได้ตอบแม่ทัพน้อยมู่อย่างชัดเจนแล้ว
จีหมิงซิวชี้เก้าอี้ข้างตัว “แม่ทัพน้อยมู่เชิญนั่ง”
แม่ทัพน้อยมู่นั่งลง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรีบไปจัดการธุระของตนต่อ หากเป็นเมื่อก่อน เขายังเป็นกังวลว่ายอดฝีมือผู้น้อยจากจวนเทพสงครามแห่งหนานฉู่ผู้นี้จะทำมิดีมิร้ายเจ้านายของตน แต่เวลานี้น่ะหรือ กระทั่งตัวเขาเองยังจัดการไม่ได้ ต่อให้นายน้อยไม่ใช้กำลังภายในก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้เขา
จีหมิงซิวยกกาน้ำขึ้นมา ชงชาให้สองถ้วยด้วยท่าทางคล่องแคล่ว “แม่ทัพน้อยมู่ เชิญ”
แม่ทัพน้อยมู่รังเกียจคนผู้นี้ แต่ชาที่อีกฝ่ายชงเขากลับทำใจรังเกียจไม่ลง เขายกถ้วยชาขึ้นแล้วดื่มลงไปหนึ่งอึก
การกินชาของชาวจงหยวนช่างประหลาดนัก ชอบดื่มแบบร้อนจัด หนานฉู่ก็นับว่าเป็นจงหยวนแล้ว แต่วัฒนธรรมการกินชากลับละม้ายกับต้าเหลียง
แม่ทัพน้อยมู่จิบชาไปช้าๆ จีหมิงซิวก็ไม่เร่งเขา รอจนเขาดื่มชาถ้วยที่สามเสร็จแล้ว จีหมิงซิวถึงได้เอ่ยปาก ยืดขาที่ยาวราวกับแท่งพู่กันออกไปเขี่ยเล่นกับพื้น “รองเท้าข้าสวยหรือไม่”
แม่ทัพน้อยมู่นิ่งไป นี่ต้องการพูดเรื่องอะไรกัน
“เสี่ยวเวยทำให้” ใต้เท้าอัครเสนาบดีกระตุกมุมปาก
แม่ทัพน้อยมู่พลันหน้าบูดบึ้ง!
ไม่แสดงความรักสักวันจะตายใช่หรือไม่
“ชุดนี้ก็เช่นกัน” ใต้เท้าอัครเสนาบดีมียิ้มเต็มใบหน้า เอ่ยย้ำว่า “ชุดตัวใน”
แม่ทัพน้อยมู่ดื่มชาไม่ลงอีก คนหน้าหนาเขาเคยเจอ แต่ไม่เคยเจอใครที่หน้าหนาเพียงนี้ เขาแสดงความรักต่อหน้าคนที่คนในบ้านล้มตาย ความเห็นอกเห็นใจของเขาเล่า ถูกหมากินไปแล้วหรือ!
แม่ทัพน้อยมู่ดูจะไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร เพียงแต่จีหมิงซิวไม่ลงไพ่ตามกฎ เขาไม่ได้เตรียมใจรอไว้ก่อน พอถูกมีดเสียบเข้าโดยไม่ทันตั้งตัวเลยตั้งสติไม่ทันไปชั่วขณะ
“ดื่มชาสิ” ใต้เท้าอัครเสนาบดียิ้มแย้มราวกับดอกไม้บานผิดฤดู “ชาชั้นเลิศเช่นนี้ เชื่อว่าแม่ทัพน้อยมู่ในตอนนี้คงไม่มีโอกาสได้ดื่ม”
แม่ทัพน้อยมู่ตั้งสติได้แล้ว เขาอยากเอามีดมาแทงคนผู้นี้ยิ่งนัก
“ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระ” แม่ทัพน้อยมู่ในที่สุดก็กดอารมณ์ที่พุ่งพล่านอยู่ในใจเอาไว้
“อ้อ ธุระอันใดหรือ” จีหมิงซิวเอ่ยถามสบายๆ
เรื่องที่ก่อนหน้านี้ต่อให้ข้าร้องแม่ทัพน้อยมู่ให้ตายก็ไม่ยอมพูดนั้น เวลานี้เขากลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียเอง “พวกเจ้าไปพบสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไร”
“สถานที่ใดกัน” จีหมิงซิวอมยิ้มถาม
แม่ทัพน้อยมู่ขมวดคิ้ว “เจ้าอย่าได้แสร้งโง่ เมื่อคืนที่เจ้าไปหาข้า ไม่ได้บอกมาหมดแล้วหรอกหรือ”
จีหมิงซิวทำหน้านึกออก “อ้อ แม่ทัพน้อยมู่หมายถึงเรื่องเมืองเหนือยอดเมฆนั่นน่ะหรือ วันนี้แม่ทัพน้อยมู่ไม่คิดจะหลบเลี่ยงแล้ว?”
แม่ทัพน้อยมู่โมโหจนพูดไม่ออก
จีหมิงซิวหัวเราะทีหนึ่ง “ว่ามาเถิด ในเมืองแห่งนั้นมีอะไรอยู่กันแน่”
“มีหลายอย่างที่พวกเจ้าคาดไม่ถึง” แม่ทัพน้อยมู่บอก
“เช่นว่า?” จีหมิงซิว
แม่ทัพน้อยมู่นิ่งไป “…เช่นว่ายอดฝีมือ”
เวลานี้สิ่งที่จีหมิงซิวไม่กลัวมากที่สุดก็คือยอดฝีมือ “แม่ทัพน้อยมู่ทราบได้อย่างไร”
แม่ทัพน้อยมู่จับถ้วยชาแน่น “ไม่อาจบอกได้”
เขาไม่อยากบอก จีหมิงซิวก็จะไม่ซักไซ้ เขาเหลือบมองอีกฝ่ายทีหนึ่ง “แม่ทัพน้อยมู่อยากเล่าเรื่องของตระกูลเจ้าสักหน่อยหรือไม่”
แม่ทัพน้อยมู่หลุบตาลง สายตาวนเวียนอยู่ที่ถ้วยชาในมือ “ไม่จำเป็น”
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว เหลือบมองแขนข้างขวาของอีกฝ่าย “เช่นนั้นเรื่องอาการบาดเจ็บของเจ้าคงพอเล่าได้กระมัง ถูกใครทำร้ายเข้า วันหน้าหากพวกเราได้พบจะได้ระวังไว้ก่อน”
แม่ทัพน้อยมู่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าได้เห็นบันไดสวรรค์นั่นแล้วหรือไม่”
จีหมิงซิว “แผลนี้ของเจ้าได้มาตอนขึ้นบันไดสวรรค์นั้นหรือ”
“บนยอดบันไดมียอดฝีมือเฝ้าอยู่ คนทั่วไปไม่อาจขึ้นไปได้ ข้าคิดว่าด้วยวรยุทธ์ของข้าจะสามารถเป็นข้อยกเว้นได้…” พอเอ่ยถึงตรงนี้แม่ทัพน้อยมู่ก็นิ่งไป
เรื่องนี้ออกจะอยู่เหนือความคาดหมายของจีหมิงซิว จีหมิงซิวรู้ว่าจวนเทพสงครามไม่อยู่แล้ว คิดว่าเขาถูกศัตรูคู่อาฆาตทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ ผู้ใดจะคิดว่าได้มาจากตอนขึ้นบันไดสวรรค์นั่น
“เจ้าเดินไปกี่ก้าว” จีหมิงซิวถาม
“สามก้าว” แม่ทัพน้อยมู่ตอบ
จีหมิงซิวเงียบงัน
บันไดสวรรค์ที่ยาวเป็นพันฉื่อ ต้องเดินนับพันก้าว ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่กลับเดินไปได้เพียงสามก้าวก็ถูก “ทำร้าย” จนกึ่งพิการแล้ว ฟังจากสิ่งที่เขาเล่า ยอดฝีมือผู้นั้นแทบจะยังไม่ได้เผยโฉมหน้าเลยด้วยซ้ำ อยู่ห่างกันตั้งไกลแต่ยังทำร้ายเขาจนเป็นเช่นนี้ได้ จะต้องมีวรยุทธ์ที่ล้ำเลิศเพียงใดกันหนอ
เช่นนี้แล้ว เขากลับรู้สึกดีใจที่เมื่อวานตนไม่ได้รีบร้อนจะบุกขึ้นบันไดสวรรค์ไป
พอคิดเช่นนั้นเขาก็หันไปหาแม่ทัพน้อยมู่ มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ ที่มีนัยยะลึกซึ้ง “ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว เหตุใดเมื่อวานถึงไม่บอกข้า เจ้ากลัวข้าจะบาดเจ็บหรือ”
***************