ตอนที่ 487-1 พ่อลูกได้พบหน้า
ขมับของชางจิวเต้นตุบๆ เขายิ้มรู้ว่าเฉียวเวยพูดความจริง คนยิ่งไม่อยากเจอยิ่งได้เจอ วันนี้นับว่าตกมาอยู่ในมือนางแล้ว คงยากที่จะรอดไปได้
เขาอดเหลือบมองไปทางจีหมิงซิวที่ยืนอยู่ไม่ไกลไม่ได้
จีหมิงซิวสนุกกับการได้ดูเรื่องสนุก สองตาที่เรียบนิ่งโค้งขึ้นเล็กน้อย คล้ายกำลังมองมาอย่างกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
ใจชางจิวพลันหล่นตุบลงไปที่ก้นเหว จั๋วหม่าน้อยไม่สนใจความเป็นความตายของฮองเฮายังพอเข้าใจได้ แต่เหตุใดจีหมิงซิวจึงคิดเหมือนนางไปด้วย หรือเขาลืมไปแล้วว่าฮองเฮาเป็นอะไรกับเขา
เฉียวเวยยื่นนิ้วออกมาโบกตรงหน้าเขา “ไม่ต้องมองแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าเลิกหวังไปได้เลย!”
ชางจิวมองนางด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “นางเป็นท่านน้าของพวกเจ้าเชียวนะ! หรือพวกเจ้าไม่สนใจความเป็นความตายของท่านน้าตนเองจริงๆ”
เฉียวเวยระบายยิ้มใจดีอย่างผู้เป็นนาย “อืม ไม่สนใจ”
ชางจิวสะอึกไป “เจ้า…”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่อยากให้ท่านน้าเป็นอะไรก็จริง แต่หากการให้ท่านน้ามีชีวิตต่อไปต้องแลกมากับการที่พวกเราทุกคน ต้องตายด้วยน้ำมือ ‘นาง’ เช่นนั้นข้ายินดีเป็นคนร้าย ยินดีที่จะแบกรับกรรมส่วนนี้ไว้เอง!”
ชางจิวกลับสูดหายใจเฮือก คนปกติทั่วไปมีเช่นนี้เมื่อไรกัน เพื่อสังหารคนชั่ว กระทั่งชีวิตของคนดีก็สามารถเมินเฉยได้งั้นหรือ สตรีนางนี้…ไม่มีเหตุมีผลเอาเสียเลย!
“จีหมิงซิว เจ้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ” เขาเอาความหวังสุดท้ายไปฝากไว้กับจีหมิงซิว
จีหมิงซิวตอบอื้อสบายๆ “คิดเช่นนั้นสิ เจ้าจะถอยไปหน่อยแล้วให้นางลงมือ หรือจะสู้กับนางก่อนแล้วค่อยให้นางลงมือเล่า”
สามีภรรยาครอบครัวอื่นมีแต่จะคนหนึ่งให้ฆ่า อีกคนหนึ่งห้ามปราม เหตุใดพอมาเป็นพวกเขาถึงได้กลายเป็นคนหนึ่งให้ฆ่า อีกคนยังช่วยคิดวิธีไปได้เล่า
ชางจิวโมโหไม่น้อยจริงๆ!
เฉียวเวยเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น ชักกริชออกมาจากแขนเสื้อกว้าง
นักรบมรณะทั้งสิบหกคนเห็นเช่นนั้น ก็แทบจะพุ่งเข้าใส่เฉียวเวยทันที แต่พวกเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้เฉียวเวยก็ถูกขุมพลังจากราชันอสูรตรึงให้ติดนิ่งอยู่กับที่แล้ว
ราชันอสูรยังคงไม่หันมามองพวกเขา จดจ่ออยู่กับการกินถั่วคั่วน้ำตาลในถุง ถึงแม้สมองเขาจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่สัญชาตญาณของคนฝึกวรยุทธ์กลับยังมีอยู่ คนผู้ใดบ้างที่ตนทำสัญลักษณ์เอาไว้ กับคนผู้ใดบ้างที่จะทำร้ายคนที่ตนทำสัญลักษณ์เอาไว้ เขาแยกออกอย่างชัดเจน
เมื่อใดก็ตามที่มีคนจะทำร้าย “สัญลักษณ์” ที่ตนทำไว้ สัญชาตญาณก็จะสั่งให้เขาแยกสมาธิมาโจมตีกลับ
แต่แค่สมาธิเพียงเล็กน้อยนี้ก็สามารถกดดันนักรมมรณะดาบยาวสิบหกคนไว้ได้แล้ว
จนถึงตอนนี้ชางจิวถึงเพิ่งตระหนักได้อย่างแท้จริงถึงความยิ่งใหญ่ของราชันอสูร มิน่าเล่านางถึงพยายามทำทุกวิถีทาง ยอมที่จะเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อเรียกคืนเขากลับมา เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากในร้อยปีพันปีนี้จริงๆ
เพียงแต่น่าเสียดายที่พูดไปก็เปล่าประโยชน์ ราชันอสูรถูกคนพวกนั้นล่อลวงไปแล้ว…
“เฉียวซื่อ!” จู่ๆ ชางจิวก็เดินเข้าไปหาเฉียวเวย เขาคิดจะจับมือเฉียวเวยไว้ แต่ก็พลันคิดได้ว่าราชันอสูรอยู่ไม่ไกลนี้ จึงข่มใจดึงมือกลับไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “หากข้ามีวิธีที่ให้เจ้าสามารถสังหารฮองเฮาได้ ซ้ำยังไม่ทำร้ายท่านน้าของพวกเจ้าเล่า เจ้าจะยินดีไว้ชีวิตฮองเฮาไปก่อนหรือไม่”
เฉียวเวยค่อยๆ หันกลับมา “วิธีอะไร”
ชางจิวโล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าวางใจเสียทีเดียว “ธนูจันทร์โลหิตที่พวกเจ้ามีอยู่นั่นสามารถสังหารฮองเฮาได้”
เฉียวเวยนิ่งมองเขา เป็นการบอกให้เขาพูดต่อไป
เขาบอกว่า “ตอนนั้นองค์หญิงเจาหมิงไปล่วงรู้ความลับของฮองเฮาเข้า จึงเกือบใช้ธนูจันทร์โลหิตเอาชีวิตของฮองเฮา หากพวกเจ้าต้องการเพียงจัดการกับฮองเฮา ไม่อยากทำร้ายท่านน้า เช่นนั้นก็ต้องช่วยชีวิตนางกลับมาก่อนแล้วค่อยใช้ธนูจันทร์โลหิตอีกที”
เฉียวเวยมองประเมินขึ้นลงรอบหนึ่ง เอ่ยอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”
ชางจิวบอกว่า “จริงแท้แน่นอน มาถึงตอนนี้ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังพวกเจ้าแล้ว”
เฉียวเวยส่งเสียงหึทีหนึ่ง “ใครจะรู้ว่าเจ้าเพียงตั้งใจถ่วงเวลาหรือไม่”
ชางจิวเอ่ยด้วยความจริงใจ “ข้าย่อมต้องอยากถ่วงเวลาเอาไว้ แต่ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้า นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ทั้งสองคนปลอดภัยได้ หากในใจเจ้ายังมีท่านน้าผู้นี้อยู่ จะลองดูก็ย่อมได้ แต่หากเจ้าไม่สนใจความเป็นความตายของนาง เช่นนั้นก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ชางจิว ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีชั่วร้ายเช่นนี้เกลี้ยกล่อม จะเชื่อหรือไม่ พวกเราตัดสินใจกันเองได้”
พูดจบนางก็ปรายตามองชางจิวที่หน้าตาบูดบึ้ง เดินเข้าไปหาจีหมิงซิวแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านคิดเห็นเช่นไร มีหนทางช่วยท่านน้าได้จริงหรือไม่”
จีหมิงซิวตอบอื้อคำหนึ่ง “ช่วยได้ รับปากเขาไปก่อน ไว้นางพ้นขีดอันตรายแล้ว ค่อยหาทางสะสางบัญชีอีกที”
เฉียวเวยพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อไม่มีราชันอสูร นางปีศาจเฒ่าผู้นี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามวัน ไว้นางพ้นขีดอันตรายแล้วค่อยใช้ธนูจันทร์โลหิตสังหารนางอีกที!
หลังจากทั้งสองตัดสินใจได้แล้ว เฉียวเวยก็เดินไปที่รถม้า เอ่ยกับชางจิวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “ตกลงกันให้เข้าใจก่อนนะ ข้าจะยังไม่สังหารนางก็ได้ แต่ด้วยวิชาการแพทย์ของข้าก็ไม่แน่ว่าจะช่วยชีวิตนางไว้ได้”
ชางจิวบอกว่า “เรื่องรักษาไม่ต้องรบกวนเจ้า”
เฉียวเวยเอามือกอดอก มองอีกฝ่ายอย่างน่าขัน “โอ๊ะ ในเยี่ยหลัวยังมีท่านหมอที่เก่งกาจกว่าข้าอยู่อีกหรือ”
ชางจิวไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนาง หันไปเอาผ้าม่านปิดกลับอย่างเดิม “ปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง”
“ช้าก่อน” แม่ทัพน้อยมู่ที่นิ่งเงียบมาตลอดเลยปากขึ้น “ประตูเกิดสามารถเปิดได้เพียงครั้งเดียวต่อวัน จะให้ผู้ใดเข้าไปก่อน”
หากให้ชางจิวกับฮองเฮาเข้าไปก่อน คณะของจีหมิงซิวก็ต้องรอจนถึงวันพรุ่งนี้ แต่หากให้คณะของจีหมิงซิวเข้าไปก่อน ฮองเฮาก็ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ แต่บาดแผลนี้ของฮองเฮารอไม่ได้ แต่จะให้พวกจีหมิงซิวรอ พวกเขาก็ไม่ยินดี
ชางจิวจนใจ กวาดตามองพวกเขาด้วยสายตาเรียบเย็น “หากไม่รังเกียจ ก็เข้าเมืองไปด้วยกันแล้วกัน”
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าอย่าได้เล่นลูกไม้อะไรเชียว”
ชางจิวคิดอยากจะเล่นลูกไม้เช่นกัน แต่ก็จนใจที่เฉียวเวยกับจีหมิงซิวไม่ใช่คนที่จะจัดการด้วยง่ายๆ พวกเขาให้ชางจิวเดินอยู่หน้าสุด นักรบมรณะดาบยาวสิบหกคนกับฮองเฮาปิดท้าย หากเขาไม่อยากทิ้งฮองเฮาเอาไว้ข้างนอก เขาก็ต้องให้พวกเฉียวเวยเดินเข้าไปก่อน
คณะของพวกเขาเดินขึ้นบันไดสวรรค์กันไปได้อย่างราบรื่น
ตอนได้รู้ว่ายอดฝีมือที่เฝ้าอยู่ยอดบันไดหายตัวไปนั้น ชางจิวก็หันมามองเฉียวเวยด้วยสายตาดุดัน “พวกเจ้าทำอะไรลงไป”
เฉียวเวยถลึงตาสวนกลับ “นำทางไปเถิด อย่าวุ่นวายให้มาก!”
ชางจิวมีแต่ความโกรธเกรี้ยว กำหมัดแน่นจนได้ยินเสียง
อีกด้านหนึ่งอยู่ๆ เฉียวเวยก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันไปหาแม่ทัพน้อยมู่ “เจ้าจำทางได้หรือไม่ หากจำได้ อันที่จริงพวกเราฆ่าเขาทิ้งเลยก็ได้ใช่หรือไม่”
หัวใจชราๆ ของชางจิวเต้นไม่เป็นส่ำ บอกออกไปทันทีว่า “ในประตูเกิดก็มีค่ายกลอยู่! คนที่ไม่เคยไป ต่อให้หาประตูเกิดเจอก็ฝ่าเข้าไปไม่ได้!”
“จริงหรือ” เฉียวเวยถามแม่ทัพน้อยมู่
ชางจิวมองแม่ทัพน้อยมู่ด้วยหน้าตาหวาดผวา
**************************