เล่ม 1 ตอนที่ 487-2 พ่อลูกได้พบหน้า

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 487-2 พ่อลูกได้พบหน้า

แม่ทัพน้อยมู่ตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “จริง”

ชางจิวลอบปาดเหงื่อ

จีหมิงซิวหันไปเพ่งมองแม่ทัพน้อยมู่แล้วกระตุกมุมปาก “เช่นนั้นก็ลำบากใต้เท้าชางช่วยนำทางแล้ว”

ชางจิวไม่กล้ายึกยักอีก เปิดประตูเกิดเข้าไปอย่างว่าง่าย

ด้านในประตูเกิดเป็นทางเดินทอดยาว เปิดโล่ง สองข้างทางเป็นแท่นบูชาทรงกลม

ชางจิงบอกว่า “อย่าซี้ซั้วแตะต้อง อย่าก้าวออกไปจากทางเดินหินนี้”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่เพิ่งยกเท้าออกไปนอกเส้นทางรีบชักเท้ากลับทันที เขาเห็นหินกระจกส่องประกายที่ฝังอยู่ตามทางเดินหินแล้วจะก้าวขาไปเหยียบ

ชางจิวบอกว่า “อย่าเหยียบหินกระจกด้วย”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบจมูกด้วยความกลัว เหตุใดถึงขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลยนะ

ราชันอสูรไม่มองทาง เท้าเขาเหยียบถูกหินกระจก จึงเห็นว่าตรงพื้นที่เดิมทีราบเรียบ จู่ๆ ก็มีลูกไฟพุ่งขึ้นมา!

ลูกไฟรวดเร็วยิ่งนัก พอๆ กับหน้าไม้พิฆาตเทวาเลยทีเดียว

เฉียวเวยถึงแม้จะมองไม่ทัน แต่กลับปฏิกิริยาว่องไว พอลูกไฟระเบิด ก็คล้ายเป็นลูกไฟระยิบระยับกลุ่มใหญ่

หลังจากนั้นราชันอสูรก็คล้ายรู้สึกว่าน่าสนุก ถั่วคั่วน้ำตาลก็ไม่สนใจอีก เอาแต่เหยียบหินกระจกบนพื้นไปทั่ว ทางเดินเลยเกิดเสียงดัง ฟิ้ว—ปัง ฟิ้ว—ปัง ไม่หยุด

แค่ลูกไฟอย่างเดียวยังไม่เท่าไร แต่กระนั้นเป้าหมายของปราการนี้คือทำให้ผู้บุกรุกทุกคนล้มตายให้สิ้น พอลูกไฟพุ่งขึ้นมาประมาณหนึ่งแล้วแต่กลับยังไม่อาจทำอะไรราชันอสูรได้ ค่ายกลตรงแท่นบูชาก็ทำงานเองทันที

ระหว่างแท่นบูชาทั้งสองด้านเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ขึ้น ด้านในโพรงยังมีหน้าไม้พิฆาตเทวาขนาดใหญ่ยกขึ้นมาอีก ธนูที่อยู่บนนั้นไม่ใช่ลูกธนูธรรมดา แต่เป็นหอกที่ลำตัวอวบใหญ่ แน่นอนว่าปลายของมันแหลมคมยิ่งนัก มั่นใจได้ว่าสามารถเสียบทะลุตัวคนให้เป็นรูได้ในชั่วพริบตา

หอกยาวสิบเล่มเล็งตรงมาที่ราชันอสูร พอเกิดเสียงดังนั่น หอกยาวก็ถูกยิงออกมา

ราชันอสูรกระโดดลอยตัวขึ้นทันที เขาตีลังกากลางอากาศ ก่อนจะอ้าแขนออกไปรวบหอกยาวมาได้ห้าเล่ม แขนขวาก็ราวกับใช้วิชาบังคับดิน ดึงขึ้นมากันหอกยาวอีกห้าเล่มที่เหลือเอาไว้ได้

แรงของหอกยาวเหล่านั้น กระทั่งกำแพงเมืองก็ยังสามารถแทงทะลุได้ แต่ราชันอสูรกลับรับเอาไว้ได้อย่างสบายๆ

หอกยาวใช้ไม่ได้ผล ค่ายกลที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นจึงทำงาน

บนกำแพงทั้งสี่ด้าน ปรากฏรถยิงหินขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งหมดเล็งตรงไปทางผู้บุกรุก ครั้งนี้พวกมันไม่ได้เล็งไปที่ราชันอสูรแต่เพียงผู้เดียว ทุกคนล้วนตกอยู่ในรัศมีการโจมตีของมัน

เฉียวเวยนึกอยากตีราชันอสูรให้ตายขึ้นมาทันที กินถั่วคั่วน้ำตาลของเจ้าไปดีๆ ไม่ได้หรือ มาเล่นลูกไฟอะไรกัน!

ราชันอสูรลอยตัวขึ้นกลางอากาศ เคลื่อนตัวเฉียดทุกกำแพง ทุกก้าวที่เดินไปก็ซัดฝ่ามืออันทรงพลังออกมาด้วย จึงได้ยินเสียงกัมปนาทดังปังๆๆ…ขึ้นมาหลายสิบที รถยิงหินทั้งหมดจึงถูกราชันอสูรทำลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี

ยังมีค่ายกลที่สี่จะทำงานอีก เพิ่งเคลื่อนตัวได้ครึ่งทาง ราชันอสูรก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่เสียแล้ว!

เอ่อ พักได้แล้ว

ทุกคน “…”

ชางจิวได้เห็นความร้ายกาจของราชันอสูร ในใจไม่รู้รู้สึกเช่นไร หัวคิ้วพลันขมวด พาทุกคนเดินไปจนสุดทาง พอเดินผ่านประตูอีกบาน ก็เข้าไปในตัวเมืองสักที

เมืองเหนือยอดเมฆหรูหรายิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก ถนนที่ปูด้วยหินสีฟ้ากว้างเกือบร้อยฉื่อ อาคารหินสองข้างทางหล่อขึ้นจากหยกขาว บนอาคารหินมีรูปสลักอันวิจิตรตระการตา พอมายืนอยู่ใต้อาคารเช่นนี้ ตัวคนจึงยิ่งดูเล็กกระจิดริดยิ่งนัก

เฉียวเวยเคยจินตนาการอยู่นับครั้งไม่ถ้วนว่าหน้าตาเมืองเหนือยอดเมฆนี้จะเป็นเช่นไร แต่สิ่งที่นางคิดไม่มีตรงใดที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเลย

“อ้อ ที่นี่ก็…งดงามอยู่นะ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเกาศีรษะ เห็นได้ชัดว่าตกใจกับภาพที่ได้เห็น เขาเคยไปชนเผ่าลึกลับมาแล้ว แต่สิ่งปลูกสร้างหินของชนเผ่าลึกลับไม่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่มีรูปสลักที่วิจิตรเช่นนี้ และไม่มีถนนที่กว้างขวางโอ่อ่าเช่นนี้ “นี่…นี่คือสถานที่เช่นไรกัน”

เขารู้สึกราวกับตนได้เข้ามาอยู่ในวังเทพเซียนกระนั้น

จะว่าเป็นวังเทพเซียนก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่ต้นไม้ต้นหญ้า อิฐหินทุกก้อนที่นี้เต็มไปด้วยความตั้งใจ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังตั้งอยู่ใจกลางเขาหมั่งฮวง สถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้น่าจะต้องเดินบนดิน น่าจะต้องอยู่ในกระท่อม จะงดงามเช่นสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร สูงใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร

เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวด้วยความไม่เข้าใจ จึงได้เห็นว่าหน้าตาเขาดูกำลังครุ่นคิด

“เห็นสิ่งใดไม่ชอบมาพากลหรือไม่” ไห่สือซานจู่ๆ ก็กระซิบถามเยี่ยนเฟยเจวี๋ย

เฉียวเวยยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา พอได้ยินเสียงเลยหันไปถามว่า “อะไรไม่ชอบมาพากล”

ไห่สือซานเอ่ยเสียงต่ำว่า “เงียบเกินไป”

เฉียวเวยพลันได้สติ หันไปมองถนนที่กว้างใหญ่นั่นอีกครั้ง แล้วถึงได้สังเกตว่าบนถนนไม่มีผู้คนอยู่เลย ประตูใหญ่ของอาคารหินเปิดอ้ากว้าง แต่กลับไม่มีคนเข้าออก ไม่มีเสียงลอดมาให้ได้ยิน

ไห่สือซานนึกหวั่นใจ ยิ่งถามเสียงค่อยลงอีกว่า “ที่นี่คงไม่ใช่เมืองร้างกระมัง”

“พวกเราแยกกันที่ตรงนี้ก็แล้วกัน” ชางจิวบอก “อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้านะ ที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก หากคิดจะมีชีวิตต่อไปก็อย่าเปิดเผยตัวตนจะดีกว่า”

ที่นี่ไม่มีใครอยู่สักคน ทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่ เฉียวเวยยิ้มเย็น “คิดจะทิ้งพวกเราหรือ ฝันไปเถิด! เจ้าไปรักษาที่ไหน พวกเราจะไปกับเจ้าด้วย!”

ชางจิว “เจ้า…”

เฉียวเวยมองตอบอีกฝ่ายไม่มีหลบเลี่ยง

ชางจิวเอ่ยด้วยความหัวเสีย “แล้วแต่เจ้า!”

คณะของพวกเขาเลยตามชางจิวไปกันหมด

ชางจิวพาพวกเขาเดินตามถนนไปจนสุด แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปในตรอก พอเดินเข้าไปในตรอกได้พักหนึ่ง ตรงหน้าก็ปรากฏบ้านหินหลังเล็กๆ ขึ้น

ภายในห้องเงียบสงัด ด้านหลังประตูมีผ้าขาวชิ้นหนึ่งแขวนอยู่ บนผ้าใช้ตัวอักษรเขียนตัวอักษรตัวโตไว้ว่า “แพทย์” คิดแล้วที่นี่คงเป็นโรงหมอ

โรงหมอที่นี่ดูแล้วออกจากน่าใจหาย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชางจิวถึงไม่หาโรงหมอที่สภาพดีหน่อยให้ฮองเฮา

ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ ตลอดทางที่พวกเขาเดินมานี้ ไม่พบเจอใครเลยสักคน ช่างน่าสงสัยเหลือเกินว่าที่นี่เป็นเมืองร้าง หากเป็นเมืองร้างจริง เช่นนั้นโรงหมอเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่น่าจะมีใครอยู่

เฉียวเวยหันไปมองชางจิวด้วยสายตาประหลาด “เจ้ามาผิดที่หรือไม่นี่”

“ถูกแล้ว” ชางจิวเดินไปทางประตูบ้านที่ปิดสนิทอยู่ เขาไม่ได้ยกมือเคาะ แต่ยกมือจับเชือกเส้นนี้ที่ห้อยลงมาแล้วออกแรงเขย่าเบาๆ

ทุกคนได้ยินเสียงเคาะระฆังเหมือนดังจากที่ไกลๆ ลอยมาจากในห้อง

ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามา เป็นบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ผู้หนึ่ง

บุรุษผู้นั้นเอาไม้ขัดประตูออกแล้วดึงเปิดประตู

เฉียวเวยพอได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้น สองตาก็พลันเบิกกว้าง “ท่านพ่อ?”