War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3081
ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องกล่าวยอมแพ้หรือพยายามหลบหนีไม่ก็ต้านทานสุดกำลัง ฉากเหนือคาดฝันพลันอุบัติขึ้นอีกครั้ง
มันเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่หลบไม่หนีไม่ป้องกัน แต่คนกลับชะงักร่างลงกลางอากาศ และทำท่าราวกับจะเผชิญหน้ากับเคียวของมันตรงๆ!
ฟู่มมม!!
ทันใดนั้นเองเปลวเพลิงทั่วร่างต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็ปะทุลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง จนคนคล้ายจะจมหายไปในกองไฟโดยสมบูรณ์ คิดลงมือต้านรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โจนทะยานจู่โจมเข้ามาตรงๆ!
ขวับ! ซู่มมม!!
การลงมือต้านทานที่ว่า ก็คือหนึ่งหมัดที่ง้างแล้วชกออกมาในฉับพลัน!
ทันใดนั้นเอง
ปงงงง!!
ครืนนนน!!
…
มวลพลังดั่งก้อนลาวาพวยพุ่งออกมาจากหมัดของต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด! ก้อนลาวาดังกล่าวยังเปี่ยมล้นไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนแผดเผาอย่างน่ากลัว เรียกว่าห้วงอากาศเสมือนถูกเผาจนส่งกลิ่นเหม็นไหม้!!
ธาตุไฟ!
ความลึกซึ้งลุกโหม!
ความลึกซึ้งเผาไหม้!
มองจากพลังดังกล่าว นับว่าต้วนหลิงเทียนใช้พลังของกฏแห่งไฟจากความลึกซึ้ง 3 ประการอย่างเต็มกำลัง และในห้วงเวลาที่มวลพลังร้อนระอุดั่งก้อนลาวาพึ่งทะยานห่างออกจากหมัดไม่ทันไร ด้านหลังของมันก็เริ่มส่อสัญญาณระเบิด บังเกิดประกายเพลิงพวยพุ่งงปะทุออกมาเบาๆ!
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังใช้ออกด้วยความลึกซึ้งหนุนเสริมพลังไปอีกอย่าง!
อย่างไรก็ตามหากพลังอานุภาพมีเพียงเท่านี้ ยังนับว่าด้อยกว่าเคียวยมทูตของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
“หาเรื่องเจ็บตัว!!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยิงหมัดซัดพลังเพลิงสวนเข้ามา หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ยิ้มร่าโพล่งกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ เคียวยมทูตฟาดฟันไปยังมวลเพลิงปานก้อนลาวาอย่างเกรี้ยวกราด!
พริบตาต่อมา!
สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทอประกายเรืองวาบ เคียวยมทูตคล้ายได้รับพลังอำนาจหนุนเสริมจากทวยเทพ ไอพลังสีดำทั้งประกายอัสนีสีแดงเลือดแปลบปลาบไปทั่วตัวเคียว! ฟาดปะทะเข้าใส่ก้อนลาวาอย่างจัง!!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
พริบตาที่ปะทะเคียวยมทูตระเบิดแสงพลังสีดำออกมาปานจะลบเลือนแสงสว่าง! คล้ายจะย้อมโลกหล้าให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความมืด!!
เมื่อเผชิญกับเคียวยมทูตที่เปล่งแสงพลังสีดำ มวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาสีแดงฉาน ก็คล้ายเป็นดวงตะวันที่สาดแสงท่ามกลางความมืดมิด!
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
แสงพลังสีมืดจากเคียวพอปะทะเข้ากับแสงพลังสีแดงเพลิง ก็บังเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง! จากนั้นพอตัวเคียวยมทูตสัมผัสเข้ากับมวลพลังดั่งก้อนลาวาจังๆ ก็คล้ายตัวเคียวจะแหวกผ่าพลังเพลิงเข้าไปได้ไม่ยากเย็น!!
“เจ้าแพ้แล้ว!!”
เห็นดังนั้นสองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ทอประกายวับวาว รอยยิ้มแห่งชัยชนะคลี่กางขึ้นเต็มใบหน้า!!
ขณะเดียวกันมันก็มองจองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาผยอง ด้วยอยากเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจะทำหน้าอย่างไรตอนแพ้พ่าย!
ทว่าห้วงเวลาเสี้ยวพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็พบว่า
บนหน้าต้วนหลิงเทียนนั้น ความสิ้นหวังหดหู่อันใดของคนแพ้หามีไม่ กลับกันยังปรากฏรอยยิ้มลี้ลับหนึ่งขึ้นมา
ห้วงเวลานี้มันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนยังจะมาฉีกยิ้มอะไรอยู่ได้
‘หรือ…ต้วนหลิงเทียนนี่มันยังกั๊กอันใดเอาไว้?’
จังหวะนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปอยู่บ้าง แต่หลังจากคิดอีกครั้งมันก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เห็นๆกันอยู่ว่าเคียวมันเริ่มผ่าก้อนพลังเพลิงของอีกฝ่ายเข้าไปได้แล้วชัดๆ! อีกเดี๋ยวต้องผ่าทำลายพลังอีกฝ่ายจนซัดคนปลิดปลิวได้แน่!!
“ไม่…เจ้าแพ้!”
ในขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรสิ้นท่าแน่แล้ว ก็พอดีกับที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูมันอย่างประจวบเหมาะ
ขณะนั้นเอง
“อะไร…เป็นไปได้ยังไง!?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะแตกตื่น เนื่องเพราะมวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาที่เคียวมันเริ่มผ่าเข้าไปได้นั้น อยู่ๆเคียวมันก็หยุดกึกเสมือนพบเจอแรงต้านทานมหาศาล อีกทั้งไม่ทันให้มันทำอะไรมันก็สัมผัสได้ว่าด้านในก้อนเพลิงดังกล่าวกำลังมีพลังมหาศาลขุมหนึ่งระเบิดออก!!
เปรี๊ยงงงงง!!
ตูมมมม!!!
…
เสียงระเบิดปานฟ้าถล่มดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว บัดนี้หากใครมองมาแต่ไกล จะพบว่ากลางอากาศเหนือแนวป่าติดสันเขา อยู่ๆก็บังเกิดเมฆเห็ดสีแดงเพลิงเบ่งบานขึ้นอย่างน่ากลัว จากนั้นก็มีร่างในชุดสีเทาหนึ่งปลิดปลิวละลิ่วออกไปด้วยท่าทางดูไม่ได้ ปากยังพ่นเลือดออกมาเป็นสายลากยาวกลางหาว!!
หยาดโลหิตซ่านกระเซ็นเกลื่อนฟ้า พอต้องสะท้อนแสงแดงจากเมฆเห็ดสีเพลิงที่เบ่งบาน ก็เปล่งประกายวับวาวแลดูงดงามน่าดูพิกล!
ครืนน! ครืนนนน! กึงงง! แคร่ก!!
…
หลังเมฆเห็ดสีเพลิงเบ่งบาน ภูเขาเบื้องล่างก็ถูกเพลิงคลื่นลมร้อนระอุพัดถล่มจนหน้าดินทลาย ต้นไม้ในผืนป่าเบื้องล่างก็เริ่มล้มเอนหักโค่น ดอกไม้ใบหญ้าปลิดปลิวธุลีคลีกระจายวุ่นวายไปหมด!!
จากนั้นก็พบว่าส่วนหนึ่งของภูเขาก็ปรากฏเปลวเพลิงลุกท่วม ตัวป่าเองก็ปรากฏไฟไหม้ลุกลามใหญ่โต ทั้งคล้ายจะลุกลามไปทั้งป่าได้ในเวลาอันสั้น!!
เปลวเพลิงยังร้อนแรงนัก ราวกับจะเผาป่าเขาให้ราบแล้วจริงๆ!!
จนเมื่อเมฆเห็ดสีแดงเพลิงค่อยๆจางหายไป ท่ามกลางอากาศว่างเปล่าอันเต็มไปด้วยฝุ่นควัน ก็ค่อยๆปรากฏร่างหนึ่งลอยล่องอยู่ตรงนั้นปานทวยเทพ
ร่างดังกล่าวมาในชุดสีม่วง คิ้วคมเข้มปานดาบ สองตากระจ่างใสปานดวงดารา หล่อเหลาไม่ธรรมดายิ่ง
ชายหนุ่มที่ลอยร่างกลางหาว กลอกตาเกียจคร้านมองจ้องไปยังร่างในชุดสีเทาที่ไกลตาที่สภาพแลดูยักแย่ยักยัน
จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆคลี่ยิ้มขึ้นมาบางๆ
“ข้ายั้งมือไว้แล้ว…ไม่งั้นเจ้าคงไม่แค่เจ็บตัวนิดๆหน่อยๆหรอก”
ต้วนหลิงเทียนมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในสภาพดูไม่ได้ที่กำลังเหินร่างขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มขบขัน
“เจ้า…เมื่อครู่มันอะไรกัน…ความลึกซึ้งปะทุของเจ้านั่นมัน…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้สนใจที่ตัวเองแพ้พ่ายหรือหงุดหงิดเพราะรอยยิ้มเย้ยเยาะของต้วนหลิงเทียน เพียงมองถามต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงหนัก หว่างคิ้วขดย่นเป็นปม
ที่ไฉนมันถามออกไปแบบนี้ เพราะเมื่อครู่มันสัมผัสได้ชัดเจน ว่ามวลพลังเพลิงดั่งก้อนลาวาที่ปะทุระเบิดขึ้นมานั่น เป็นผลจากพลังของความลึกซึ้งปะทุไม่ผิดแน่!
เดิมทีความลึกซึ้งปะทุที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก ก็หนุนเสริมพลังให้มวลเพลิงนั่นไม่ได้มากมายอะไร
แต่อยู่ๆไฉนมวลเพลิงดั่งก้อนลาวานั่นถึงระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงได้? อีกทั้งนั่นเป็นผลจากความลึกซึ้งปะทุไม่ผิดแน่ แล้วทำไมถึงได้มีพลังเพิ่มขึ้นผิดหูผิดตาขนาดนั้น?
ด้วยไม่เข้าใจมันจึงไถ่ถามเรื่องนี้ออกมาก่อนใดอื่น
อย่างไรก็ตาม มันมั่นใจได้เรื่องหนึ่ง…พลังที่ปะทุระเบิดออกมาน่ากลัวเมื่อครู่ เป็นพลังของต้วนหลิงเทียนล้วนๆ หาได้มีพลังภายนอกอันใดไม่ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะใช้ยันต์อมตะหรือตัวช่วยอะไรได้ทัน
“อะไร หรือเจ้ามีพลังสายเลือดได้คนเดียว แต่ข้ามีบ้างไม่ได้?”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวล้อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
“เจ้า…นี่เจ้าก็มีพลังสายเลือดด้วยรึ!?”
ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหดเล็กลงโดยพลัน สีหน้ายังฉายชัดถึงความตกตะลึง “หมายความว่า…เจ้าเองก็เป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุดเหมือนกันงั้นเหรอ!?”
ตระกูลหลิงของมัน ก็เหมือนกับตระกูลใหญ่ในระนาบทวยเทพทั้งหลาย ล้วนเป็นลูกหลานและทายาทที่สืบทอดสายเลือดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุด!
ด้วยเหตุนี้ทุกคนในตระกูลหลิง จึงได้รับพลังสายเลือดสืบทอดต่อๆกันมาทุกรุ่น
เพราะโดยปกติแล้ว ผู้ที่จะมีพลังสายเลือดได้ ก็มีแต่เหล่าผู้สืบสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น!
ได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจ “พลังสายเลือด…มันเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งที่สุดงั้นเหรอ?”
ขณะเดียวกันเขาก็ถามเพลิงเทพโกลาหลทันที
จากนั้นไม่ต้องรอนานนัก เพลิงเทพโกลาหลก็กล่าวตอบ “คนส่วนใหญ่ในระนาบทวยเทพเป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด และพวกมันก็มีพลังสายเลือดทั้งนั้น…”
“ในระนาบโลกียะหรือระนาบเทวโลก ยากนักจะพบพานผู้ที่มีพลังสายเลือด…หากจะมีก็สมควรเป็นคนในระนาบเทวโลก”
“อย่างไรก็ตาม ในระนาบทวยเทพ มีคนมากมายที่มีพลังสายเลือดอยู่ในร่าง”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าว
หลังได้ยินสิ่งที่เพลิงเทพโกลาหลพูด ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที
ที่แท้พลังสายเลือดก็มีที่มาที่ไปแบบนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนจะมีพลังสายเลือด เพราะอีกฝ่ายสมควรเป็นทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด
ก่อนหน้านี้ในสายตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เขาไม่ใช่คนจากระนาบทวยเทพ
“เจ้าแพ้แล้ว”
ได้ยินคำถามของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบคำถามอะไร แต่เลือกจะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มหยอกล้อต่อแทน
ตั้งแต่ที่เห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นครั้งแรก จวบจนได้พบเจอกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในภายหลัง เขาก็รู้สึกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ช่างหยิ่งยะโสเหลือเกิน
ครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกันที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว อีกฝ่ายก็ยังข่มขู่เขาด้วย
ตอนนั้นเขาเองก็ไม่พอใจอยู่บ้าง จึงท้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นออกไป ว่าหลังไปเจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวเมื่อไหร่ ค่อยประลองกันสักตั้ง
วันนี้นับว่าเขาได้ประมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนกำหนด และสุดท้ายก็เป็นคนที่ได้ชัยมาครอง!
ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากเห็นก็คือสีหน้าท่าทีผิดหวังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหลังจากพ่ายแพ้ให้เขา เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องนี้สมควรเป็นเรื่องหนักหนาและยากที่คนอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม ฉากเรื่องราวต่อมากลับผิดคาดต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง
“อ่าข้าแพ้…”
โดนต้วนหลิงเทียนล้อเลียนแท้ๆ แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับพยักหน้ากล่าวยอมรับออกมาคล้ายไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“แค่นี้?”
เห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูเฉยๆมาก ต้วนหลิงเทียนก็แปลกใจอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าท่าทีของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ได้เลย
สำหรับคนเย่อหยิ่งอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่ใช่ว่าหากแพ้ขึ้นมา ถ้าไม่สลดหดหูแลดูผิดหวัง ก็ต้องหัวเสียรับไม่ได้ทั้งโวยวายใส่เขาหรือไร?
“ในเมื่อเจ้าเองก็มาจากระนาบทวยเทพแถมอายุก็พอๆกับข้า ถ้างั้นเจ้าจะเอาชนะข้าได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กล่าวตอบออกมา
อย่างไรก็ตามหลังมันกล่าวจบคำได้ไม่ทันไร สองตาก็ทอประกายวูบวาบขึ้นมาทั้งลั่นวาจาเสียงแข็ง “แต่สักวัน ข้าต้องเอาชนะเจ้าได้แน่นอน!”
ได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายแลดูเฉยๆที่แพ้พ่ายนัก
ปรากฏว่าอีกฝ่ายดันเชื่อจริงๆว่าเขามีพลังสายเลือด!
หากเขามีพลังสายเลือด หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เลยเข้าใจว่าถึงเขาจะไม่ได้มาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ก็สมควรมาจากระนาบทวยเทพอื่น
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม
ไฉนเขาต้องพูดล้อเล่นเรื่องมีพลังสายเลือดออกไปด้วย?
เขารู้ดีแก่ใจ
คนที่หยิ่งยะโสอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ต้องระหกระเหินหนีออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนั้น หากมาแพ้คนจากระนาบทวยเทพที่อายุเท่าๆกัน ก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ทว่าหากพบว่าตัวเองแพ้คนที่ไม่ได้มาจากระนาบทวยเทพ ก็เสมือนมีระเบิดลูกใหญ่ถล่มลงกลางใจแน่นอน!
…
วันเวลาผันผ่านไปดั่งม้าขาวควบตะบึง
พริบตาก็ล่วงเลยไปอีก 10 เดือน
สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือจัตุรัสกลางเมืองฝูซาน ปรากฏร่างสองร่างก้าวออกมาจากประตูบ้านลานเทียนอีบนเกาะที่ลอยล่องเหนือเมฆ
เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
ทั้งสองออกจากบ้านลานมาครั้งนี้ ก็มุ่งตรงไปยังโต๊ะรับรองของศาลาเปิดด้านล่างทันที เพื่อคืนป้ายหยกประจำลาน จากนั้นก็เดินไปยังมุมหนึ่งของจัตุรัสด้วยกัน
สถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายของเมืองฝูซานอยู่ที่นั่น
เมืองฝูซาน ในฐานะที่เป็นเมืองใต้การปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวโดยตรง ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทวโลกต่างๆนั้น มีคุณภาพดีกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายไประนาบเทวโลกของเมืองอื่นๆไม่น้อย
เพราะค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของที่นี่ สามารถระบุสถานที่ๆจะไปได้
แน่นอนว่าสถานที่ๆจะไปนั้น ต้องเป็นสถานที่ใหญ่ในระดับหนึ่งอย่างคฤหาสน์เฉวียนโยวของหลิงหลัวเทียน
“แล้วพวกเราจะไปส่วนไหนของอวี้หวงเทียน?”
ในขณะที่เดินไปยังสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของเมืองฝูซานกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสงสัย
“คฤหาสน์เอี้ยนซานในแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว