ได้ยินเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติกลับมาจากอาการเหม่อ จากนั้นจึงพบว่าเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้เหินร่างเข้าสู่แนวเทือกเขามาแล้ว อีกทั้งมองไปเบื้องหน้ายังเห็นขุนเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง

เรียกว่ามันใหญ่โตทั้งตั้งตระหง่านโดดเด่นเหนือเขาลูกใด ประหนึ่งหงส์ในฝูงไก่!

ที่สำคัญที่สุดก็คือ มองไปแวบแรก ขุนเขาสูงชันตระหง่านนี้ แลดูเหมือนหมาป่ากำลังนั่งเชิดหน้าขึ้นมองฟ้า อ้าปากกระหายเลือดเห่าหอนออกมาปานจะร่ำร้องให้ดังก้องสวรรค์

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเหล่าผู้คนที่เหินร่างอยู่ด้านหน้าเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ได้โรยตัวลงไปจากฟากฟ้า และลงจอดยังยอดเขาหมาป่าชูคอหอนฟ้านั่น

ถึงแม้ยอดเขาจะมีรูปลักษณ์เสมือนปลายจมูกของหมาป่า จนแลดูไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ทั้งหมดเป็นเพราะยังอยู่ห่างไกล พอเหินร่างเข้าไปใกล้มากเข้า ก็พบว่ามันช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน กระทั่งให้ผู้คนนับหมื่นมายืนรวมตัวกันบนนั้นยังไม่แออัด เรียกว่าเหลือพื้นที่ให้นอนกลิ้งเล่นได้หลายตลบด้วยซ้ำ

“ลงไปกันเถอะ”

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยทักต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เหินร่างลงไปยังยอดเขาด้านล่าง ที่เสมือนส่วนจมูกของหมาป่าชูคอหอนฟ้านั่น…

ตุบ!

ต้วนหลิงเทียนที่โรยตัวตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลงมา ก็มาหยุดยืนบนยอดเขาข้างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น

บริเวณยอดเขาแห่งนี้ช่างผิดกับส่วนอื่นของเขาลูกนี้ลิบลับ มันไร้ซึ่งดอกไม้ใบหญ้าหรือพืชใดๆขึ้นอยู่ แถมพื้นส่วนใหญ่ยังเรียบปานกระจก ราวกับมันถูกดาบคมฟันขวางตัดปลายยอดที่แท้จริงจนกุดไป ไม่มีกองหินหรือเนินดินอะไรให้เห็น

ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่หันไปมองสำรวจยอดเขารอบๆก็พบเห็นว่า มีผู้คนมาถึงที่นี่และยืนรอคอยอยู่หลายพันแล้ว อีกทั้งในขณะที่เขากำลังหันมองก็ยังมีผู้ที่พึ่งเดินทางมาถึงและกำลังโรยตัวลงมาจากฟ้า

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอง ก็ลงมาหยุดยืนไม่ห่างต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่าไหร่ นอกจากนั้นก็มีเหล่าคนที่เหินร่างไล่หลังเขามาก่อนหน้าด้วย และพอต้วนหลิงเทียนหันไปมองยังขอบฟ้าไกล เขาก็พบว่ามีคนกำลังมุ่งหน้ามาสมทบอีกมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่ทิศทางเดียว มีผู้คนเร่งรุดเหินร่างมาจากทิศทางอื่นๆมากมาย พอมาถึงก็ดิ่งลงมาหยุดยืนบนยอดเขาด้วยความสนใจ

“สหายท่านนี้ ท่านมาเพราะมรดกสถานที่คาดว่าจักรพรรดิอมตะสร้างทิ้งไว้เหมือนกันหรือ?”

ไม่ไกลจากจุดที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่ ปรากฏร่างชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งหันมามองเขาสักพัก จากนั้นก็เดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย

“ข้าเกรงว่าคนที่มาที่นี่ ก็เพื่อมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะเหมือนกันหมดกระมัง?”

ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม

“แหะๆ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหล่ะ”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มโง่งม จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “ว่าแต่สหายมาจากที่ใดหรือ?”

“หลิงหลัวเทียนน่ะ”

ต้วนหลิงเทียนหันไปตอบชายหนุ่ม จากนั้นก็มองอีกฝ่ายทั้งถามกลับไปด้วยความสงสัย “ท่านเล่า มาจากที่ไหนหรือ?”

“อ้อ ข้าเดิมก็เป็นคนของอวี้หวงเทียนนี่ล่ะ…แต่ข้าก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกมาเหมือนกัน เพราะที่ๆข้าอยู่มันไกลจากที่นี่มาก ไม่งั้นข้าคงไม่มีปัญญามาถึงที่นี่ หรืออย่างน้อยๆก็คงไม่อาจมาทันเวลาได้แน่นอน”

ชายหนุ่มกล่าว

“สหาย ข้าเรียกว่าหลินเฟยหยาง ท่านชื่ออะไรหรือ?”

ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกรอบ

“ต้วนหลิงเทียน”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

อันที่จริงเขาสังเกตเห็นแต่แรก วว่าชายหนุ่มนามหลิงเฟยหยางผู้นี้ได้หันมามองเขาตั้งแต่ตอนที่เขามาถึง อีกทั้งเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายจะคุยกับใครเลย แต่อยู่ๆก็ดันเข้ามาคุยกับเขาซะงั้น สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกงุนงงสงสัยอยู่บ้าง

ต้องทราบด้วยว่า เดิมทีหลิงเฟยหยางผู้นี้ยืนอยู่ห่างเขาหลายช่วงตัว และมีคนที่อยู่ใกล้มันมากกว่าเขาอย่างน้อยๆ ก็ 5-6 คน แต่อีกฝ่ายไม่สนใจใคร เพียงเดินบึ่งเข้ามาทักเขาเฉยเลย

“เจ้าหนู ในร่างเจ้าหนุ่มหลินเฟหยางนี่ มีวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 อยู่…อย่างไรก็ตามวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ของมันสมควรเป็นสมบัติที่มีมาแต่กำเนิด และยังไม่ตื่น”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังงุนงงว่าไฉนหลินเฟยหยางเดินเข้ามาชวนเขาคุย เสียงของทองเทพสุดลี้ลับพลันดังขึ้นพอดี และทำให้เขาตกใจไม่น้อย

“วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2!?”

ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน

วารีเทพชำระโลกา ก็เป็น 1 ใน 5 ธาตุเทพ ไม่ต่างอะไรจากทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินในร่างเขา…

เทพแห่งธาตุทั้ง 5 นั้นนอกเหนือจากทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐบพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินแล้ว เขายังมีพฤกษาเทพครองสวรรค์อีกอย่าง

อย่างไรก็ตามพฤกษาเทพครอสวรรค์ที่เขามี มันยังเป็นแค่ขั้นที่ 1 เท่านั้น จึงยังไม่มีสำนึกสติใดๆ และบัดนี้ก็ได้มาอยู่ในร่างของเขาแล้ว ตำแหน่งของมันก็อยู่ใกล้ๆหัวใจเขา และเกิดการสั่นพ้องบางประการกับพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่หยั่งรากอยู่ในหัวใจของเขา

“ที่ท่านว่าสมควรเป็นสมบัติแต่กำเนิด…มันหมายความว่าอย่างไรหรือ?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามทองเทพสุดลี้ลับ

“ความหมายก็คือก่อนที่มันจะลืมตาดูโลก หรือก็คือตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ก็ได้รวมผสานเข้ากับร่างของมันไปแล้ว…และจากการตรวจสอบของข้า วารีเทพชำระโลกาในร่างของมันก็ยังไม่เคยตื่นขึ้นมา”

ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตามแม้วารีเทพชำระโลกาในร่างของมันยังไม่ตื่น แต่เนื่องจากมันเกิดมาพร้อมวารีเทพชำระโลกา ทำให้มันได้รับความสามารถบางอย่างของวารีเทพชำระโลกามาด้วย กระทั่งยังสัมผัสได้ถึงการดำนงอยู่ของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ธาตุอื่นๆ”

“อย่างเช่นในตอนนี้ สาเหตุที่ไฉนมันเข้าหาเจ้า เพราะมันสมควรรู้สึกอย่างคลุมเครือว่าในร่างเจ้ามีเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ดำรงอยู่…แน่นอนว่าตอนนี้มันอาจจะยังไม่รู้ว่าเทพแห่งธาตุทั้ง 5 คืออะไร แต่มันสมควรพบว่าเจ้าให้ความรู้สึกคุ้นเคยและดึงดูดมันไม่น้อย”

ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวสืบต่อ

“ข้า? ให้ความรู้สึกคุ้นเคยทั้งดึงดูด?”

ได้ยินคำพูดของทองเทพสุดลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็หายสงสัยทันที

หากเป็นแบบนี้ก็อธิบายได้ไม่ยาก ว่าไฉนอีกฝ่ายถึงไม่คิดจะคุยกับคนอื่นๆ แต่เลือกที่จะเดินเข้ามาชวนเขาคุย

“ว่าแต่ในเมื่อวารีเทพชำระโลกาในร่างของมันก็เป็นขั้นที่ 2 แล้ว แต่ไฉนยังไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเล่า?”

ต้วนหลิงเทียนอดถามไม่ได้

“เทพแห่งธาตุทั้ง 5 ที่อยู่ในขั้นที่ 2 ขึ้นไปสามารถเลือกร่างต้นได้…ในบรรดาวิธีการเลือกร่างต้นทั้งหมด ที่เสี่ยงที่สุดก็คือเลือกร่างต้นที่ยังไม่คลอดออกมา หรือก็คือเลือกร่างต้นตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา เหมือนวารีเทพชำระโลกาในร่างเจ้าหนุ่มนี้ สิ่งนี้จะทำให้ร่างต้นที่ยังเป็นตัวอ่อนได้รับผลกระทบจากพลังของเทพแห่งธาตุนั้นๆตั้งแต่เกิด…อย่างเช่นความสามารถในการทำความเข้าใจกฏแห่งน้ำได้เร็วเป็นพิเศษ”

ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลงเล็กน้อยค่อยกล่าวสืบต่อ “นอกจากนั้นการที่วารีเทพอยู่ในร่างเจ้าหนุ่มนี่ตั้งแต่มันยังเป็นตัวอ่อน ก็จะช่วยให้เจ้าหนุ่มนี่เปิดชีพจรสวรรค์ได้มากยิ่งขึ้น และช่วยให้เจ้าหนุ่มนี่สามารถสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินได้ดีขึ้น กล่าวได้ว่ามันพยายามขัดเกลาส่งเสริมร่างต้นให้มีรากฐานแน่นหนาตั้งแต่เป็นตัวอ่อน”

“ในขณะเดียวกัน เนื่องจากเจ้าหนุ่มนี่มันใกล้ชิดกับวารีเทพชำระโลกตั้งแต่เกิด ทำให้มันมีความเข้าใจในกฏแห่งน้ำสูงตามธรรมชาติ เรียกว่าความเร็วในการทำความเข้าใจกฏแห่งน้ำของมันถึงขั้นท้าทายสวรรค์…ตัวตนเช่นมัน หากให้เวลามากพออย่างไรก็ต้องเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ครบทั้ง 9 ประการแน่นอน…”

กล่าวถึงจุดนี้ ทองเทพสุดลี้ลับก็กล่าววออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอน “อย่างไรก็ตามการตัดสินใจเลือกร่างต้นเช่นนี้นับว่าวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 เสี่ยงเกินไปแล้วจริงๆ…เพราะการที่ต้องตกอยู่ในสภาพหลับไหลแบบนี้ หากไปบังเอิญพบเจอคนที่มีวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 เหมือนกันหรือเหนือกว่า มันจักไม่มีความสามารถในการต่อต้านอันใดได้เลย ทำได้แค่ถูกอีกฝ่ายดูดกลืนทันที เป็นได้แค่อาหารเสริมของผู้อื่นเท่านั้น”

“เพราะสุดท้ายแล้วการเลือกที่จะเข้าไปผสานกับร่างตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน ต้องใช้พลังและความพยายามอย่างมาก…เช่นนั้นจึงต้องเข้าสู่ห้วงนิทราไปเพราะความอ่อนล้าสิ้นพลัง…กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลานับร้อยปี ไม่แน่ก็อาจจะนานกว่านั้น”

“อย่างไรก็ตามข้าดูแล้วต้องบอกเลยว่าวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ในร่างเจ้าหนูนี่มันมีโชคสูงยิ่ง เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่เคยพบเจอวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 หรือเหนือกว่านั้นเลยสักครั้ง หาไม่แล้วคงถูกกลืนไปแต่แรก”

“น่าเสียดายที่ในนร่างเจ้าไม่มีวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 อยู่ หาไม่แล้วเจ้าสามารถฆ่าเจ้าหนุ่มนี่ทิ้งและดูดกลืนวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ในร่างของมันได้อย่างง่ายดาย!”

กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสียงของทองเทพสุดลี้ลับก็ฉายความเสียดายออกมา

“และน่าเสียดายนักที่วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ในร่างเจ้าหนุ่มนี่ยังไม่ตื่น หาไม่แล้วเจ้าแค่ชักชวนให้ละทิ้งเจ้าหนุ่มนี่แล้วมาอยู่ในร่างเจ้าก็ได้…”

“ถึงตอนนั้น ในร่างเจ้าก็จักมีเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ครบองค์ประกอบ!”

เสียงกล่าวประโยคท้ายของทองเทพสุดลี้ลับ เผยความมุ่งหวังประการหนึ่ง

‘หลินเฟยหยางผู้นี้…’

หลังได้ยินคำกล่าวของทองเทพสุดลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ด้านหลินเฟยหยางอยู่ๆก็ถูกเขาแผ่สำนึกเทวะมาปกคลุมแบบนี้ ก็สะดุ้งตกใจอยู่บ้าง

“อายุไม่ถึงร้อยปีรึ…”

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรที่พบว่าอีกฝ่ายมีด่านพลังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือหลินเฟยหยางก็มีอายุพอๆกับเขาหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ยังไม่ถึงร้อยปี!

หลังสะดุ้งไปเพราะอยู่ๆก็ถูกต้วนหลิงเทียนแผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบ คิ้วหลินเฟยหางขมวดย่นเป็นปมเล็กน้อย หากแต่ไม่นานก็คลาย เห็นได้ชัดว่าไม่คิดติดใจเอาความอะไรต้วนหลิงเทียน

“กฏที่ท่านเข้าใจ ใช่กฏแห่งน้ำหรือไม่?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามหลินเฟยหยางออกมา ด้วยอยากรู้ว่าสิ่งที่ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวบอกจะเป็นความจริงหรือไม่

หากหลินเฟยหยางผู้นี้เป็นดั่งที่ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวไว้จริงๆ และมีความสามารถในการทำความเข้าใจกฏแห่งน้ำท้าทายสวรรค์ นั่นหมายความว่ากฏที่อีกฝ่ายใช้สมควรเป็นกฏแห่งน้ำ และไม่น่าจะเป็นกฏอื่นไปได้

“ท่านรู้ได้อย่างไร?!”

หลินเฟยหยางตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน

ต้องทราบด้วยว่าท่ามกลางผู้คนมากมายในที่นี้ มันไม่รู้จักใครและไม่น่าจะมีใครรู้จักมัน อีกทั้งมันไม่ได้ประมือกับใครหรือใช้พลังอะไรออกมาสักครั้ง สิ่งนี้หมายความว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่จะมีคนล่วงรู้ว่ามันใช้กฏแห่งน้ำ

“ท่านแค่ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบข้า…ท่านก็บอกได้แล้วหรือว่ากฏที่ข้าเข้าใจคือกฏแห่งน้ำ!?”

หลินเฟยหยางมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เพราะมันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าไฉนสำนึกเทวะของอีกฝ่ายกลับตรวจพบกฏที่ตัวมันเข้าใจได้

“ถึงท่านจะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี…แต่สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้หลายประการแล้วสินะ 3 หรือ 4 เล่า?”

ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องหลินเฟยหยางพลางถามออกมาอีกครั้ง

ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน สายตาที่หลินเฟยหยางใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ!

มันไม่เข้าใจและไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่าไฉนชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า พอเอ่ยปากถามก็เปิดโปงความลับของมันออกมาได้ทุกครั้ง…

“ท่าน…นี่ท่านคงไม่รู้จักข้ามาก่อนหรอกนะ?”

หลินเฟยหยางมองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างระแวง

บนยอดเขาแห่งนี้ ท่ามกลางผู้คนนับร้อยพัน มีต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกคุ้นเคยและดึงดูด อย่างที่มันเองก็อธิบายไม่ถูก

ยิ่งคำถามแต่ละอย่างของต้วนหลิงเทียน ก็ยิ่งสร้างความตกใจทำให้มันบังเกิดความสงสัยมากขึ้น

หรือชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้ จะรู้จักมันมาก่อน ทำให้ทราบข้อมูลส่วนตัวของมัน?

“ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ข้ามาเยือนอวี้หวงเทียน…แล้วท่านคิดว่าข้าจะเคยรู้จักท่านมาก่อนไหม?”

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ จากนั้นก็ละสายตาออกมาจากหลิงเฟยหยาน ไม่ได้สนใจจะคุยอะไรกับอีกฝ่ายสืบต่อ

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่เริ่มหันมองไปรอบๆก็พบว่าจำนวนผู้คนยิ่งมาก็ยิ่งมากแล้ว!

จากที่เขามองกะประมาณด้วยสายตา อย่างน้อยๆบนยอดเขาแห่งนี้ก็มีคนยืนอยู่ไม่ต่ำกว่า 5,000 คน!

‘จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น…มันไปชวนคนมาเท่าไหร่กันแน่!?’

ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจทั้งสงสัยนัก