จังหวะนี้ไม่ใช่แค่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ตกใจ คนอื่นๆเองก็ตื่นตกใจไม่น้อย

“คนเยอะขนาดนี้เชียว…ทั้งหมดล้วนมาเพราะมรดกสถานที่น่าจะเป็นของตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะเหลือทิ้งไว้หรือ?”

“ข้าไม่ทราบว่าผู้อื่นมาที่นี่เพื่ออะไร…แต่ข้ามาเพราะมรดกสถานที่อาจเป็นของจักรพรรดิอมตะจริงๆ อีกทั้งข้าก็มิใช่คนของอวี้หวงเทียนแต่มาจาก จี๋กวงเทียน โดยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก แล้วพวกเจ้าเล่า?”

“ข้ามาจากจี๋กวงเทียนเช่นกัน”

“ส่วนข้ามาจากหลิงหลัวเทียน”

“ข้ามาจาก ปี้สุ่ยเทียน”

“ข้ามาจาก ชิงเฉวียนเทียน”

“ส่วนข้าถึงจะเป็นคนของอวี้หวงเทียน แต่ที่ๆข้าอยู่ห่างไกลจากคฤหาสน์เอี้ยนซานของแดนผิงเทียนมาก…หากไม่มีตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะคุ้มกันข้าคงไม่อาจมาถึงที่นี่ได้เลย สุดท้ายจึงต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเช่นกัน”

หลายคนเริ่มบอกที่มาของตัวเอง จากนั้นทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง

คนที่ยืนออกันไม่กี่คนตรงนี้กลับมาจากระนาบเทวโลกที่แตกต่างกันถึง 5 ระนาบ อันได้แก่อวี้หวงเทียน จี๋กวงเทียน หลิงหลัวเทียน ปี้สุ่ยเทียน แล้วก็ชิงเฉวียนเทียน

และเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงโพล้เพล้ จำนวนของผู้คนที่มายืนรอคอยกันบนยอดเขาแห่งนี้ ก็เกิน 8,000 คนไปแล้ว อีกทั้งจนถึงบัดนี้ยังมีผู้คนทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ คล้ายจะมาเพิ่มกันไม่หยุดหย่อน!

ขณะเดียวกัน หลังผู้คนที่ยืนใกล้ๆเริ่มหันมาสนทนากัน ทั้งหมดจึงรับทราบว่า…

คนที่มีอายุมากที่สุดนั้น ก็ยังอายุไม่ถึง 200 ปี ทั้งหมดเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด และอย่างน้อยๆทุกคนก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการ เรียกได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งสิ้น!

“อายุไม่เกิน 200 ปีและเข้าใจความลึกซึ้งของกกฏ 2 ประการเป็นอย่างต่ำ…”

เมื่อข้อมูลดังกล่าวปรากฏออกมา แม้แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ เงื่อนไขในการคัดคนกลับสูงถึงขนาดนี้ ต่อให้เป็นทั้งเขตคฤหาสน์เฉวียนโยยวของแดนสวรรค์ใต้ ก็เกรงว่าผู้ที่ผ่านคุณสมบัติดังกล่าวจะมีเพียงแค่หยิบมือเดียว

“ความแข็งแกร่งของข้า…ในบรรดาผู้คนที่มารวมตัวกัน มันไร้ค่าขนาดนี้เชียวหรือ?”

มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สองตาแลดูเลื่อนลอยไม่น้อย

ในฐานะรุ่นเยาว์อัจฉริยะในรอบหลายพันปีของตระกูลมู่หรง มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั้นมักถือดีและมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงส่ง จนเมื่อได้พบกับต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋น นางถึงได้รู้ว่าในใต้หล้าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคนเสมอ…

แต่มาวันนี้พอได้รับทราบว่าผู้คนเรือน 10,000 ที่อยู่บนยอดเขานี่ ต่อให้หลับตาสุ่มชี้ใครสักคน ก็ไม่มีผู้ใดอ่อนด้อยไปกว่านางแม้แต่คนเดียว กระทั่งคนอายุไม่ถึง 200 ปีและเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการเช่นนางยังจัดว่าธรรมดาถึงขีดสุด! สิ่งนี้สะท้านจิตสะเทือนใจนางอย่างแรง ประหนึ่งความภาคภูมิใจชั่วชีวิตของนางที่แท้ไม่ต่างอะไรจากผายลม…

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ข้าเดาไว้ไม่ผิด…จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น มันไม่เพียงแต่จะต้องการยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมาสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์เท่านั้น แต่มันยังคัดมาแต่ชนชั้นอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด!”

เสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน “อย่างที่ข้ากล่าวไว้ก่อนหน้า การกระทำเช่นนี้ของมันต้องมีจุดประสงค์แน่นอน…หาไม่แล้วไฉนมันถึงต้องลำบากลำบนไปชักชวนชนชั้นอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแบบนี้ด้วย…”

“การรวบรวมสุดยอดอัจฉริยะนับหมื่นเช่นนี้ มิใช่เรื่องราวอันง่ายดายเลย…แม้มันจะรวบรวมคนมาจาก 5 ระนาบเทวโลก แต่อย่างน้อยๆเอาแค่ใช้จ่ายขณะเดินทางของมัน ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาอุปกรณ์อมตะระดับราชานับพันชิ้นไปละลายน้ำ…”

“มันลงทุนเฟ้นหาอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะถึงขนาดนี้…ให้บอกว่ามันไม่มีจุดประสงค์อะไร ข้าไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด”

“บางทีสิ่งที่ข้าเดาไว้ตอนแรกคงไม่ผิด…ยอดเซียนอมตะขั้นสูงุสดชนชั้นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และเชาว์ปัญญาสูงสมควรเพิ่มโอกาสที่ผลเทพสังเวยสวรรค์จะสุกงอมได้ในระดับหนึ่ง!”

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมารวดเดียวจบ

“อืม นอกจากเรื่องนี้ข้าเองก็มองไม่เห็นเหตุผลอื่น…แต่แบบนี้ก็นับว่าส่งผลดีกับพวกเราจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้วหากโอกาสเกิดผลเทพสังเวยสวรรค์มันมีแค่ 1 ใน 10 ส่วน ต่อให้พวกเราสองคนจะรอดจนจบ แต่โอกาสได้ผลเทพสังเวยสวรรค์ของพวกเราก็ริบหรี่เกินไป”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วยพลางกล่าว “ถ้าโอกาสที่ผลเทพสังเวยสวรรค์จะปรากกฏเพิ่มสูงขึ้น หากพวกเรารอดก็หมายความว่าพวกเรามีโอกาสได้รับมันมากขึ้น!”

“ถูก!”

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า สองตามันสั่นไหวไม่น้อย กระทั่งลึกลงไปในแววตายังเริ่มฉายแสงจ้าขึ้นมาทุกขณะ

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน แผ่นฟ้าย้ามนี้ล้วนกลับกลายเป็นสีแดงฉาน เมฆเบื้องบนจากที่ขาวก็กลับกลายคล้ายก้อนเลือด และคนที่ทยอยกันมาถึงยอดเขาแห่งนี้ก็ลดน้อยลงทุกขณะ เรียกว่าผู้มาใหม่มีแค่ประปรายแล้ว

แต่กระนั้น บนยอดเขาแห่งนี้ ก็มีผู้คนมารวมตัวกันเกินหมื่น!

กลุ่มคนที่มาถึงทีหลังพวกต้วนหลิงเทียน หรือกลุ่มคนที่มาถึงก่อน ฟังแล้วก็มาจากระนาบเทวโลก 5 ระนาบที่แตกต่างกัน ได้แก่ หลิงหลัวเทียน อวี้หวงเทียน ปี้สุ่ยเทียน ชิงเฉวียนเทียน จี๋กกวงเทียน

เป็นธรรมดาว่าคนของอวี้หวงเทียนเอง ก็ล้วนอยู่ห่างไกลจากที่นี่มากเช่นกัน ทุกคนล้วนใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเหมือนคนที่มาจากระนาบอื่น ที่น่าสนใจก็คือ…ไม่มีคนจากคฤหาสน์เอี้ยนซานของแดนผิงเทียนแห่งนี้แม้แต่คนเดียว!

เห็นได้ชัดว่าคนที่ไปชักชวน ไม่คิดจะชักชวนคนในพื้นที่!

ยังดูเหมือนจงใจหลีกเลี่ยงด้วยซ้ำ!

“หรือว่าแดนลับที่สมควรเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะนั่น จะจำกัดอายุผู้เข้า?”

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่งของปี้สุ่ยเทียนคาดเดา

“สมควรเป็นเช่นนั้น…หาไม่แล้วไฉนทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึง 200 ปี? เห็นได้ชัดว่าแดนลับมรดกสถานที่ว่า ไม่เพียงแต่จะจำกัดด่านพลัง แต่ยังจำกัดอายุอีกด้วย”

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากชิงเฉวียนเทียนคนหนึ่งกล่าวเห็นด้วย

หลายคนยังเริ่มพูดคุยกันถึงประเด็นนี้ และยิ่งมายิ่งยืนยันกันได้แน่ชัด ว่าสมควรเป็นแบบนี้แน่นอน

“ต้วนหลิงเทียน ท่านรู้สึกไหม ว่าดูเหมือนเรื่องราวครั้งนี้อาจมิได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น…”

ทันใดนั้นเองมีเสียงผ่านพลังฟังดูจริงจังหนึ่งส่งตรงถึงหูต้วนหลิงเทียน เป็นหลินเฟยหางที่ส่งเสียงมาถึงเขานั่นเอง “มีคนรวบรวมยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเช่นพวกเรามามากมายแบบนี้…จุดประสงค์เพื่อให้ช่วยเหลือกันฝ่าฟันมรดกสถานขอจักรพรรดิอมตะแน่หรือ?”

“หากว่ามันต้องการหาคนช่วยฝ่าฟันมรดกสถานขอจักรพรรดิอมตะจริง แค่มิกี่สิบหรือหลักร้อยก็น่าจะเพียงพอ แต่ไฉนต้องลำบากรวบรวมคนมากมายจากทั้ง 5 ระนาบเทวโลกแบบนี้ด้วยเล่า?”

หลินเฟยหยางเอ่ยถามผ่านพลัง

เวลานี้หลินเฟยหยางก็ไม่ได้ระแวงสงสัยต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป ว่าอาจจะเป็นคนที่รู้จักมันมาก่อน เพราะมันคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย และดูจากท่าทีเฉยๆของต้วนหลิงเทียนที่มีต่อมัน ก็เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้วางแผนคิดร้ายอะไรมันแน่นอน

เมื่อได้ยินเสียงผ่านพลังของหลินเฟยหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่หันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจ หากแต่เขาเองก็ไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายกลับไปอย่างไรดี

จากนั้นห้วงรัตติกาลก็มาเยือน ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุมไปทั่วยอดเขา

และบัดนี้ผู้คนที่มารวมตัวกันบนยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า ก็มีราวๆ 11,000 คน และไม่มีใครมาเพิ่มอีกแล้ว

“ว่าแต่ ไฉนเจ้านั่นยังไม่มาอีกเล่า?”

“นั่นสิ มันนัดให้พวกเรามา แต่ไฉนตัวมันถึงยังไม่มา?”

“มันทำอะไรของมันอยู่กัน…คงไม่คิดเอาพวกเรามาปล่อยทิ้งไว้ที่นี่เหมือนปล่อยนกพิราบหรอกนะ?”

“เหอะๆ…มันลำบากลำบนชวนคนมาขนาดนี้ หากมันคิดจะปล่อยให้พวกเราเคว้งอยู่ที่นี่ มันจะไม่ว่างเกินไปหน่อยหรือ?”

พอเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว หากแต่คนที่ชักชวนพวกมันทั้งหมดมาที่นี่ บัดนี้ยังไม่ปรากฏตัว หลายคนก็เริ่มหมดความอดทน หากแต่ยังมีหลายคนที่รอคอยอย่างสงบ ไม่พูดไม่จา

“พวกเจ้าไม่คิดเหรอ…ว่าเจ้านั้นมันไปชักชวนพวกเรามาแบบนี้ มันต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายขนาดไหน ที่สำคัญดูเหมือนมันจะไปแทบทุกพื้นที่ของ 5 ระนาบเทวโลกเลยด้วยซ้ำ มันคิดชวนพวกเรามาช่วงชิงมรดกในมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะจริงๆ?”

ทันใดนั้นเองยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากจี๋กวงเทียนคนหนึ่งพลันผสานพลังลงเสียง กล่าวออกมาให้คนทั้งหมดบนยอดเขาได้ยินกันชัดถนัดหู และเสียงผสานพลังของมันยังกลบเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของผู้คนได้อย่างชะงัด

และพอเสียงมันดังจบคำ ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบทันที

คนที่มารวมตัวกัน ณ ที่นี้หาใช่ตัวโงง่งมไม่ แทบทุกคนเอะใจเรื่องนี้อยู่แล้ว กระทั่งหลายคนยังแตกตื่นด้วยซ้ำเมื่อพบว่าคนนับหมื่นที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะไม่ต่างจากตัวเอง

“ข้าก็คิดเช่นนั้นแต่แรก…อีกทั้งยิ่งมาข้าก็ยิ่งสงสัย เดิมทีข้าก็โดนเจ้านั่นมาชวนเป็นการส่วนตัว ตอนแรกข้ายังหลงนึกไปด้วยซ้ำ ว่าคงมีแค่ 4-5 คนเท่านั้นที่จะเข้าไปช่วยยเหลือฟันฝ่ามรดกของจักรพรรดิอมตะ! แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะมาพบเจอผู้คนมากมายขนาดนี้!!”

“มิผิด ค่าใช้จ่ายสำหรับเคลื่อนย้ายไปพื้นที่ต่างๆของ 5 ระนาบเทวโลกเพื่อชวนผู้คนทั้งหมดมันไม่ใช่น้อยๆ หากบอกว่าที่เรียกพวกเรามาไร้แผนการอันใด ให้ตายข้าก็มิเชื่อ!”

“ที่แท้เจ้านั่นมันคิดจะทำบ้าอะไรกันแน่!?”

หลายคนเริ่มแตกตื่น กระทั่งไม่อาจทำใจเย็นอยู่ได้สืบไป จริงอยู่ว่ามรดกสถานของจักรพรรดิอมตะมันล่อลวงยวนยั่วใจ แต่บัดนี้พอพบว่าเรื่องราวมันต่างที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง ยิ่งมาในใจของพวกมันก็ยิ่งบังเกิดสังหรณ์อัปมงคล!

“ช่างหัวมัน! ข้าไม่เอาแล้ว มรดกสถานจักรพรรดิอันใดข้าไม่คิดเข้าไปอีก ข้าจะกลับ!”

ทันใดนั้นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนคนหนึ่งก็โพล่งดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จากนั้นคนก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้า คิดออกจากยอดเขาแห่งนี้โดยเร็ว!

วู้ม!

วู้ม!

อย่างไรก็ตาม ทุกคนพลันเห็นว่า ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของระนาบปี้สุ่ยเทียนที่กำลังจะเหินจากไปนั้น อยู่ๆห้วงอากาศเบื้องหน้าของมันพลันปรากฏม่านพลังโปร่งแสงหนึ่ง และม่านพลังดังกล่าวยังประถ้วยคว่ำ ที่หล่นร่วงลงมาจากฟ้าฉับไว พริบตาก็คลุมครอบไปทั่วยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า!!

เปรี๊ยงงง!!

ร่างยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนชนเข้ากับม่านพลังโปร่งแสงดังกล่าวอย่างจัง อย่างไรก็ตามม่านพลังเพียงสั่นไหวเบาบางก่อเกิดระลอกคลื่นกำจายออกไปไม่กี่วงก็สงบลง ไม่เสียหายแต่อย่างใด

“หืม?”

หลังอื้ออึงอยู่สักพัก ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของระนาบปี้สุ่เทียนก็หวนกลับมาครองสติ สีหน้ามันเปลี่ยนไปใหญ่หลวง “มารดามันเถอะ! ดูเหมือนที่ข้าเดาไว้จักมิผิดเลย มันชวนพวกเรามานี่ด้วยมีแผนร้าย!!”

ขณะที่กำลังโพล่งคำอย่างเดือดดาล ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของระนาบปี้สุ่ยเทียนดังกล่าว ก็เรียกศาสตราอมตะคู่กายของมันออกมาทันที จากนั้นก็เร่งเร้าพลังเต็มสิบส่วนออกกระบวนท่าหมายทะลวงฝ่าม่านพลัง!

อย่างไรก็ตามพลังเต็มสิบส่วนของมัน กลับไม่อาจทำอะไรม่านพังได้เลย เพียงทำให้ม่านพลังกระเพื่อมสั่นไหวทั้งเปล่งแสงพลังวูบวาบไม่กี่ครั้งและไม่นานก็หวนกลับมาเป็นปกติ ไม่มีทีท่าว่าจะพังทลายลงแต่อย่างใด!

“บัดซบ! พวกเราติดกับแล้ว!!”

“ให้ตายเถอะ! พวกเราซวยแน่!!”

“ช่วยกันเร็วเข้า! รีบทำลายม่านพลังนั่นเสีย!!”

จังหวะนี้เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายที่อยู่บนยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า นอกจากต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ยังคงยืนนิ่งสงบไม่นำพาเรื่องราวแล้ว คนอื่นๆไม่เว้นหลินเฟยหยาง มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ต่างหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ และพากันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า หมายผนึกกำลังกับผู้อื่นทำลายม่านพลัง

ผู้คนมากมายเริ่มหยิบควักอาวุธคู่กายออกมา บ้างก็เริ่มหยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมาบดขยี้เพื่อติดต่อขอความช่วยเหลือ

ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า!

หากทว่าทุกคนเหินร่างขึ้นมาบนฟ้าไม่ทันไร ยังไม่ได้ทันเร่งเร้าพลังเพื่อลงมือทะลวงม่านพลัง ก็บังเกิดเสียงดั่งน้ำเชี่ยวดังขึ้นระงมก้องฟ้า และพริบตาต่อมาทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับฉากเรื่องราวเบื้องหน้า!

กระทั่ฉากดังกล่าวยังสยดสยองชวนให้ทุกคนชะงักร่างไปด้วยความตกใจ!