“ตอนนี้เจียงหลานนั่น สมควรคิดสะสมดวงจิตและโลหิตของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เหลือทั้งหมด และปล่อยให้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ดูดซับไปหล่อเลี้ยงตัวอ่อนผลเทพสังเวยสวรรค์ในคราวเดียว เพื่อให้มันเติบโตกลายเป็นผลเทพสังเวยสวรรค์”

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวสืบต่อ

ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ ลอบหันไปมองต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ทันที

จึงเห็นว่าม่านพลังที่กางกั้นรอบเกาะกลางน้ำนั่น ปิดกั้นดวงจิตและโลหิตของยอดเซียนอมตะที่ตายเอาไว้แข็งขัน ด้านต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ก็แผ่พลังดูดซับออกมาไม่หยุด หมายดูดกลืนสารอาหารให้จงได้! ด้วยกระบวนการดังกล่าวทำให้ดวงจิตและโลหิตของผู้ตายแนบติดไปกับม่านพลัง!!

เห็นได้ไม่ยากเลย ว่าหากม่านพลังโปร่งแสงนั่นหายไป ดวงจิตทั้งโลหิตต้องพุ่งละลิ่วเข้าหาต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์แน่นอน

และตอนนี้ขอบม่านพลังดังกล่าว ก็มีดวงจิตและโลหิตของยอดเซียนอมตะไปแนบชิดอยู่ 3 คนแล้ว

ในระหว่างที่ต้วนหลิงเทียนคุยกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็มียอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดตกตายไปอีก 2 คน โลหิตและดวงจิตของพวกมันที่ถูกพลังดูดซับของต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ก็เลยไปแนบชิดกับม่านพลังดั่งที่เห็น

“หืม?”

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนพลันพบว่ามียอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่งพุ่งเข่นฆ่ามาทางเขา! ในที่สุดก็มีคู่ต่อสู้คนใหม่มาเสียที หลังจากว่างอยู่นาน!

ขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหรือหลินเฟยหยาง ก็เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนใหม่ทั้งสิ้น

เป็นเจียงหลานตั้งใจทำแบบนี้

หลังตัวอ่อนของผลเทพสังเวยสวรรค์ปรากฏขึ้น เจียงหลันก็รีบร้อนอยากให้เซียนอมตะต้นกำเนิดขั้นสูงสุดตกตายเร็วไว เช่นนั้นจึงเร่งประสิทธิภาพค่ายกล ทำให้ต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นและหลินเฟยหยางพบพานคู่ต่อสู้คนใหม่ทันที

ขณะเดียวกันเหล่ายอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดที่พึ่งเข่นฆ่าคู่ต่อสู้ได้ ก็ไม่ทันได้พักหายใจอะไร คู่ต่อสู้คนใหม่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว!

แต่เป็นธรรมดาว่าในขณะที่เร่งประสิทธิภาพค่ายกลให้จัดหาคู่ต่อสู้เร็วๆนั้น เจียงหลานก็ยังคอยควบคุมดูแลหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยางเป็นพิเศษ ทั้งคู่ล้วนแล้วแต่พบเจอคู่มือที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการทั้งสิ้น ไม่พบเจอผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 4 เล็กน้อยเลย

เหตุที่ทำแบบนี้ เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุผิดพลาดจนต้องเสียหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยางไป

เดิมทีตอนที่มันไปชักชวนผู้คนมาเป็นเครื่องสังเวย มันก็คำนวณไว้แล้วว่าตัวอ่อนของผลเทพสังเวยสวรรค์สมควรปรากฏขึ้นในขณะที่เหลือยอดเซียนอมตะราวๆ 100 กว่าคน และมันคิดจะจัดการควบคุมค่ายกลช่วงสุดท้ายก่อนผลเทพสังเวยสวรรค์ปรากฏด้วยตัวเองเพื่อหาข้าทาส

อาศัยค่ายกลที่มันจัดตั้งไว้เมื่อชาติที่แล้ว เมื่อมันสอดมือเข้าแทรกแซงมันย่อมกำหนดได้ว่าจะให้ผู้ใดรอดชีวิต และตอนนี้มันก็เลือกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยาง ส่วนยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนอื่นๆก็ปล่อยให้ตกตาย ส่งดวงจิตและโลหิตไปกองรวมกันที่ขอบม่านพลัง รอเวลาปลดปล่อยให้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ดูดซับในคราวเดียวเพื่อเพิ่มโอกาสเกิดผลเทพสังเวยสวรรค์

ซู่ม! ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!

คู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียนรอบนี้เป็นผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการ อีกทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมประการที่ 4 อีกเล็กน้อย ลักษณะเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียว

ชายวัยกลางคนดังกล่าวสีหน้าเย็นชาเหลือเกิน เห็นหน้าต้วนหลิงเทียนไม่ทันไร ทั่วร่างก็ปะทุพลังเกรี้ยวกราด สร้างคมมีดวายุนับร้อยพัน ซัดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนดั่งห่าพิรุณกระหน่ำ!

“ตาย!!”

สองตาชายวัยกลางคนมองต้วนหลิงเทียนราวกับกำลังมองคนตาย หลังซัดห่าพลังคมมีดวายุไปแล้ว มันก็เสือกกระบี่ 3 ฉื่อในมือพุ่งร่างเข่นฆ่าสังหารเข้ามา หมายลงมือซ้ำให้ต้วนหลิงเทียนตกตายคาที่ ตัวกระบี่ของมันปรากฏพลังสีเขียวรุนแรงฉาบเคลือบ จากกลิ่นอายพลัง เห็นชัดว่ามันผสานความลึกซึ้งของกฏแห่งลมเอาไว้ 2 ประการ!

ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!

เสียงคนกระบี่พุ่งทะลวงอากาศแหลมเสียดหูนัก!

ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!

นอกจากเสียงคนกระบี่แหวกอากาศแล้ว ยังมีเสียงคมมีดวายุนับร้อยพันที่เข่นฆ่านำมา บังเกิดเป็นท่วงทำนองสังหารอันน่าพรั่นพรึงประการหนึ่ง!

ผู้ที่เข้าใจกฏแห่งลมนั้น ล้วนแล้วแต่เชี่ยวชาญเรื่องการโจมตีและมีความเร็วในการลงมือสูง ผิดกับผู้เข้าใจกฏแห่งดินลิบลับ

หากเลือกได้ล่ะก็ ต้วนหลิงเทียนขอปะทะกับชายวัยกลางคนนี้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการถึงขั้นตอนนความสำเร็จเบื้องต้นกับอีกประการที่เข้าใจเล็กน้อย ดีกว่าต้องเจอกับคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินแค่ 3 ประการ แต่ดันเข้าใจความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงกับสั่นสะเทือน!

เพราะเขาชอบการลงมือเข่นฆ่ากันตรงๆแบบนี้มากกว่า…

สำหรับคนที่ใช้กฏแห่งดินนั่น การลงมือของมันเน้นหนักไปเรื่องการกักขังทั้งใช้พลังค่อยๆเคี่ยวกรำทำลายเขาจากทุกทิศทาง แม้จะไม่อาจทำอันตรายให้เขาได้มากนัก แต่มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดและรำคาญเป็นอย่างมาก!

แม้คู่ต่อสู้เบื้องหน้าจะแข็งแกร่งและทรงพลังกว่า แต่รูปแบบการโจมตีก็คือการเข่นฆ่ากันซึ่งๆหน้าไม่ซับซ้อนลีลาอันใด…

“มาได้ดี!”

เห็นอีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ป้อนกระบวนท่าสังหารโจนทะยานเข้ามาเข่นฆ่าตรงๆ ต้วนหลิงเทียนที่เตรียมพร้อมไว้แต่แรก ทั่วร่างปรากฏพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็ปะทุลุกโชนขึ้น จากนั้นก็เริ่มผสานเข้ากับธาตุไฟจนคนคล้ายคนจมอยู่ในกองเพลิง!

ฟู่มมม!!

ต้นหลิงเทียนพุ่งร่างสวนเข้าหาชายวัยกลางคนปานลูกไฟ! ทุกที่ทางที่ผ่านห้วงอากาศปานจะถูกเผาไหม้ ส่งกลิ่นร้อนระอุ เงาเปลวเพลิงที่ทิ้งไว้ด้านหลังก็งดงามปานหางหงส์ไฟ!

ฮึง! ฮึง! ฮึง! ฮึง! ฮึง!

ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชนรอบกาย บังเกิดมวลพลังขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมาส่งเสียงฮึงๆ

หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงไฟนั้น ในมือกลับถือไว้ด้วยแหวนวงหนึ่ง และแหวนวงนั้นยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งกลิ่นอายพลังอันน่าครั่นคร้าม!

ยังพบว่าตัวแหวนลุกโชนไปด้วยเพลิงพลังสีแดงฟ้า และเพลิงพลังสีแดงฟ้าดังกล่าวอันเป็นต้นตอเสียงฮึงๆนั้น ก็เริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่พลังเพลิงแดงฟ้าแลดูงดงามอย่างประหลาด!

เผชิญหน้ากับคมมีดวายุที่โถมเข้ามาดั่งห่าพิรุณ พร้อมด้วยกระบี่ที่เสือกทะลวงแทงเข้ามาฉับไวน่ากลัว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แลดูหวั่นเกรงอันใด

ในเมื่อเขาฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 3 ประการได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยยังต้องกลัวผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการด้วย?

ถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนนี้จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น และเข้าใจประการที่ 4 บ้างแล้ว แต่นั่นก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น

ในแง่พลังความแข็งแกร่ง หากมันไปเจอกับผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแค่ 3 ประการมันคงเข่นฆ่าได้ไม่ยาก

แต่คิดจะฆ่าเขา อาศัยพลังเท่านี้ยังไม่พอ!

ดังนั้นฉากเรื่องราวเบื้องหน้าก็ไม่ได้ทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจแม้แต่น้อย

กระบี่พลังเพลิงฟ้าแดงที่เขาปลดปล่อยออกไป ไม่เพียงทะลวงฝ่าห่าคมมีดวายุได้อย่างง่ายดาย กระทั่งยังพุ่งเข่นฆ่าสังหารไปสืบต่อด้วยสภาวะพลังไม่ถดถอย!

และกระบี่พลังเพลิงฟ้าแดงอันเกิดจากการควบรวมพลังสองขั้วที่แตกต่างนั้น ก็ทำลายกระบวนท่าเสือกแทงของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย! แรกก็ทำลายพลังที่ฉาบเคลือบกระบี่ 3 ฉื่อของอีกฝ่ายก่อน จากนั้นเมื่ออีกฝ่ายถูกพลังสะท้อนจนผงะถอย กระบี่พลังเพลิงฟ้าแดงก็พุ่งทะลวงลำคอ จบชีวิตอีกฝ่ายไปได้อย่างเรื่องราว

“เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด…ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนนั่นมันจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟแค่ 2 ประการ แต่ด้วยอุปกรณ์อมตะจอมราชัน 2 ชิ้นที่รวมผสานกัน ทำให้กระทั่งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและหลินเฟยหยางก็มิใช่คู่มือของมัน!”

ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก เจียงหลานที่เห็นต้วนหลิงเทียนฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น 3 ประการ กับประการที่ 4 อีกเล็กน้อยก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่พึ่งตกตายคามือต้วนหลิงเทียนไป หากเทียบกับหินเฟยหยางแล้ว ไม่ได้อ่อนแอกว่ากันแม้แต่น้อย แต่หากเทียบกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็อ่อนด้อยกว่าอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตามหากเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ต้องเจอกับชายวัยกลางคนเมื่อครู่ แม้จะเอาชนะได้ แต่น่ากลัวต้องต่อสู้กันนานสองวันสามคืน…ไม่มีทางที่จะฆ่าอีกฝ่ายได้ง่ายดายเหมือนที่ต้วนหลิงเทียนกระทำ!

จากนั้นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหลินเฟยหยางก็ฆ่ายอดเซียนอมตะคนใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่ยากเย็น

อย่างไรก็ตามทั้งคู่พึ่งฆ่าคนได้ไม่ทันไร ศัตรูคนใหม่ก็ปรากฏตัวออกมาทันที ไม่มีเวลาให้พักหายใจแม้แต่น้อย

เนื่องจากตอนนี้เจียงหลานร้อนใจอยากสะสมดวงจิตและเลือดเนื้อของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เหลือให้ได้เร็วๆ มันจะได้รีบปล่อยให้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ดูดซับ จากนั้นก็ลุ้นว่าผลเทพสังเวยสวรรค์จะปรากฏขึ้นหรือไม่!

ด้านต้วนหลิงเทียนก็พบเจอคู่ต่อสู้คนใหม่เร็วไว

แน่นอนว่าเขาก็สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในเวลาอันสั้น และก็พบเจอคนใหม่อีกครั้ง…

ผ่านไปไม่ทันไร ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด 300 คนในโถงถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลก็ลดลงจนเหลือไม่ถึง 100 คน!

ซู่มมม!!

แหวน 9 วิญญาณหยินหยางของต้วนหลิงเทียนสำแดงพลัง ควบสร้างกระบี่เพลิงพลังฟ้าแดงฉับไว จากนั้นกระบี่พลังเพลิงฟ้าก็พุ่งไปเข่นฆ่าสังหารยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 3 ประการได้ในกระบี่เดียว…

“หืม?”

อย่างไรก็ตามหลังจากเขาฆ่ายอดเซียนอมตะคนดังกล่าวได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนพบว่าดวงจิตกับโลหิตของมันที่พุ่งไปแนบติดกับม่านพลังโปร่งแสงเพราะถูกพลังดูดรั้งของต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์นั้น…กลับทำให้ม่านพลังเริ่มสั่นสะเทือนและบังเกิดระลอกคลื่น ณ จุดที่แนบติดเป็นวงกำจาออกไปไม่หยุด!

ดูเหมือนว่าม่านพลังดังกล่าว จะไม่อาจต้านทานพลังดูดซับของต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ได้อีกนานนัก…

พริบตาต่อมาเมื่อมีโลหิตและดวงจิตของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่พึ่งตกตายพุ่งมาแนบม่านพลังสืบต่อ ม่านพลังก็เริ่มสั่นไหวกระเพื่อมไปอย่างรุนแรง ประหนึ่งจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ!

“เฮ่ ดูเหมือนม่านพลังนั่นจะปิดกั้นดวงจิตกับเลือดของคนที่ตายได้อีกไม่นานแล้ว…หรือพูดอีกอย่าง ม่านพลังของมันท่าทางจะต้านทานพลังดูดรั้งของต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไม่ไหว!”

ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปบอกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นในสิ่งที่เขาค้นพบทันที

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพอได้ฟังก็ลอบสังเกตเรื่องราวอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยส่งเสียงตอบกลับผ่านพลังอย่างเห็นด้วย “จริงด้วย…ท่าทางมันคงทนได้อีกไม่นาน”

“และดูท่า…หากมีดวงจิตกับโลหิตของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีกไม่กี่สิบคน ม่านพลังโปร่งแสงนี่สมควรพังทลายลงเพราะทนพลังดูดซับของต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไม่ไหว”

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้สองตาก็ลุกวาวทอแสงจ้า “ถึงตอนนั้น ก่อนที่ผลเทพสังเวยสวรรค์จะปรากฏ เจียงหลานน่าจะลงมือเข่นฆ่าคนที่เหลือด้วยตัวเอง…เพราะมันเองก็คงกลัวมีใครช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์ของมัน”

“ตอนนี้พวกเราเฝ้าจับตาดูม่านพลังนั่นให้ดี…หากมันพังลงเมื่อไหร่ พวกเราต้องระวังให้มาก”

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบ ก็ไม่ลืมเตือนต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เข้าใจแล้ว”

ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าส่งเสียผ่านพลังตอบกลับ

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลอบหารือกัน เจียงหลานเองก็ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นกัน “ดูเหมือนข้ายังประเมินพลังดูดซับของต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ต่ำเกินไป…มันช่างกระหายโลหิตและดวงจิตนัก”

“เมื่อม่านพลังนี่พังทลาย ดวงจิตกับโลหิตที่สะสมไว้ไม่พ้นต้องกรูกันเข้าไปยังตัวอ่อนผลเทพสังเวยสวรรค์ทันทีแน่…ถึงตอนนั้นเกรงว่ายังจะเหลือคนที่รอดตายอยู่อีกไม่น้อย”

คิดถึงจุดนี้เจียงหลานก็กวาดตามองไปยังต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆที่ยังรอดชีวิต ด้วยจิตสังหารอันน่าเกรงขาม!