ก่อนจะเจอตัวต้วนหลิงเทียน เหลิ่งเอี้ยเองก็คิดว่าสิบในสิบต้วนหลิงเทียนสมควรตกตายไปแล้ว

แต่ในเมื่อตอนนี้มันรู้ดีแก่ใจว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย เช่นนั้นจึงตั้งใจให้หวังเชียนจ้านตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งหมดเพื่อให้มันมีคำพูดไปกล่าวบอกต่อองค์กรว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย ทำให้องค์กรออกภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนดังเดิม

“ใต้เท้าเหลิ่งเอี้ย…”

หวังเชียนจ้านคลี่ยิ้มขื่นขม ค่อยบดขยี้ยันต์อมตะส่งเสียงไปอย่างขมขื่น “เรื่องนี้ท่านคงไม่ทราบ…แต่หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนหลบหนีออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ใต้จมูกท่านวันนั้น ข้าก็โดนซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ขับไล่ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่แล้ว….”

“หากตอนนี้ข้ายังเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่อยู่ เรื่องไปตรวจสอบลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนที่ตั้งโทนโท่ในโถงวิญญาณคงไม่นับเป็นอันใด…แต่ตอนนี้ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้อีก”

หวังเชียนจ้านกล่าว

“เหอะ!”

ได้ยินคำพูดของงหวังเชียนจ้าน เหลิ่งเอี้ยก็สบถคำเสียงเย็น ค่อยกล่าวสืบต่อ “ต่อให้เจ้าจะไม่ใช่ผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่แล้วอย่างไร หรือเจ้าไม่มีญาติสนิทมิตรสหายสักคนในนิกายอมตะเป้าผู่? คิดให้พวกมันตรวจสอบลูกแก้ววิญญาณต้วนหลิงเทียนว่ายังอยู่ดีหรือไม่ ข้าว่ามันคงไม่ยากอะไรกระมัง?”

“ใต้เท้าเหลิ่ง…ตอนข้าอยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่ข้าล่วงเกินผู้คนมากมาย ตั้งแต่ที่ข้าออกจากนิกายอมตะเป้าผู่มาข้าต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ…คนที่เคยเรียกหาเป็นพี่น้องทั้งสหายกับข้าในวันวาน ยามข้ารุ่งเรืองพวกมันล้วนยินดีช่วยเหลือข้า วันนี้พอข้าลำบาก พวกมันก็ไม่แม้แต่จะเหลียวแล นับประสาอะไรจะช่วยข้า…”

หวังเชียนจ้านกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย้ยเยาะตัวเอง

“ทำให้ดีที่สุดก็พอ…หากเจ้าทำได้ข้าจะแนะนำเจ้าให้เข้าเป็นนักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดของเรา”

เหลิ่งเอี้ยกล่าว

แทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงข้อความประโยคนี้ของเหลิ่งเอี้ย สองตาหวังเชียนจ้านก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที ใบหน้ายังฉายชัดถึงความประหลาดใจถึงที่สุด “ตะ…ใต้เท้าเหลิ่ง ที่ท่านกล่าว…จริงหรือ?”

“ก็ต้องดูว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่…”

เหลิ่งเอี้ยกล่าว

“ขอใต้เท้าเหลิ่งอย่าได้ห่วง…ข้าน้อยจักจัดการให้เรียบร้อย!”

หวังเชียนจ้านลั่นวาจาออกไปเป็นมั่นเหมาะ

ถึงแม้เรื่องที่มันกล่าวกับเหลิ่งเอี้ยจะเป็นความจริง แต่กับอีแค่หาคนไปดูลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนในโถงวิญญาณนิกายอมตะเป้าผู่ก็ไม่นับว่ายากเย็นอะไร ขอแค่มันยอมจ่ายราคาบางอย่าง ก็มีหลายคนพร้อมช่วยมัน

“อาวุโส 3”

หวังเชียนจ้านควักลูกแก้ววิญญาณของอาวุโส 3 นิกายอมตะเป้าผู่ออกมาก่อนจะบดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณติดต่อหาอีกฝ่ายทันที และหลังจากที่อีกฝ่ายได้รับการติดต่อของหวังเชียนจ้าน มันก็แปลกใจไม่น้อย “อะ..อาวุโสใหญ่!?”

“ข้าไหนเลยจักเป็นอาวุโสใหญ่อันใดอีก…อาวุโส 3 ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ที่ข้าติดต่อมาหาท่านเพราะมีเรื่องคิดให้ท่านช่วยเหลือ แน่นอนว่าเรื่องที่ข้าจักขอให้ท่านช่วยสำหรับท่านก็ง่ายดายปานพลิกฝ่ามือ มิทำให้ท่านต้องลำบากใจอันใดแน่นอน ทั้งข้ายังไม่ให้ท่านช่วยเปล่าๆแต่จักจ่ายราคาให้ท่านอย่างงาม”

หลังได้ยินข้อความของหวังเชียนจ้าน สองตาอาวุโส 3 นิกายอมตะเป้าผู่ก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที “อาวุโสใหญ่เรื่องีท่ท่านอยากให้ข้าช่วยเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงหรือ? แล้วจ่ายให้อย่างงามที่ท่านกล่าวที่แท้มันอย่างไร?”

จ่ายให้อย่างงามที่ว่าคืออะไร?

ได้ยินคำถามละโมบของอาวุโส 3 หวังเชียนจ้านก็ไม่ได้แยแส

จ่ายหนักไหม?

ก็อาจจะหนัก!

ทว่าเมื่อเทียบกับการได้เข้าร่วมองค์กรกะโหลกเลือดแล้ว ต่อให้จ่ายหนักกว่านี้ก็ไม่มีปัญหา!

หลังจากบอกรายละเอียดอะไรไป และเฝ้ารออยู่ราวๆครึ่งชั่วยาม ในที่สุดอาวุโส 3 นิกายอมตะเป้าผู่ก็ส่งข้อความติดต่อกลับมายังหวังเชียนจ้านอีกครั้ง และข้อความดังกล่าวก็ทำให้สีหน้าหวังเชียนจ้านมืดลงทันที ยังอดถามกลับไปไม่ได้ว่า “อาวุโส 3…ท่านแน่ใจหรือว่าลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนในโถงวิญญาณยังอยู่ดีมิได้แตกสลายอันใด?”

“ข้าแน่ใจ”

อาวุโส 3 นิกายอมตะเป้าผู่ก็ตอบกลับอย่างไม่รอช้า “เป็นข้าไปดูมันด้วยตาตัวเอง ทั้งยังไปสอบถามเพื่อขอคำยืนยันกับอาวุโสโถงวิญญาณซ้ำหลายรอบ…ลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนยังคงอยู่ดีจริงๆ”

“เอาล่ะ ข้าทราบแล้ว”

หวังเชียนจ้านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นสีหน้ามันก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เอาล่ะอาวุโส 3 ท่านไปนำสิ่งนั้นได้เลย…ข้าซ่อนมันไว้ที่…ฯลฯ”

ฟังจากข้อความที่หวังเชียนจ้านตอบกลับไปรอบนี้ เห็นชัดว่าสิ่งที่มันจ่ายค่าจ้างอาวุโส 3 ก็คือสมบัติที่มันซุกซ่อนไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่

ในเมื่อตอนนี้มันไม่มีโอกาสกลับไปเอาแล้ว เช่นนั้นให้ผู้อื่นไปก็ไม่ถือว่าเสียหายอะไร

“ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นทั้งๆที่มันถูกจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกให้ไปเป็นเครื่องวังเวยต้นไม้เทพสวรรค์แล้วแท้ๆ แต่มันกลับยังงรอดชีวิตมาได้…”

สองตาหวังเชียนจ้านฉายแววไม่พอใจเป็นที่สุด มันยากจะยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าวจริงๆ สุดท้ายก็ได้แต่กล่าวปลอบใจตัวเอง “บางที…จักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดผู้นั้น ยังไม่ทันได้ใช้มันเป็นเครื่องสังเวย…หลังจากนี้ไม่นานมันอาจจะตายก็เป็นได้”

หลังกล่าวปลอบใจตัวเองอยู่พักหนึ่ง หวังเชียนจ้านก็เริ่มติดต่อไปหาเหลิ่งเอี้ยเพื่อรายงานเรื่องราวทันที “ใต้เท้าเหลิ่ง ข้าน้อยยืนยันได้แล้วว่าลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนยังอยู่ดีไม่บุบสลาย…มันยังไม่ตาย!”

“เอาล่ะ”

หลังเหลิ่งเอี้ยตอบกลับ มันก็บอกให้หวังเชียนจ้านใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเดินทางไปยังสาขาย่อยแห่งหนึ่งขององค์กรกะโหลกเลือด จากนั้นมันจะไปรับตัวหวังเชียนจ้านเข้าร่วมองค์กรกะโหลกเลือดด้วยตัวเอง

หวังเชียนจ้านก็ไม่รอช้าเร่งรุดเดินทางทันที

เหลิ่งเอี้ยก็ไม่ได้หลอกหวังเชียนจ้านแต่อย่างไร หลังรับตัวหวังเชียนจ้านและแนะนำอีกฝ่ายจนได้เข้าร่วมองค์กรกะโหลกเลือดด้วยตัวเองแล้ว มันก็ให้หวังเชียนจ้านเป็นพยานเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนยังไม่ตายทันที

และด้วการจัดแจงของเหลิ่งเอี้ย รวมถึงมีหวังเชียนจ้านอดีตอาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ยืนยัน ในที่สุดองค์กรกะโหลกเลือดก็ยอมรับว่าต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตอยู่จริงๆ

จากนั้นภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนที่พึ่งจะถูกเพิกถอนเป็นการชั่วคราวได้ไม่ทันไร ก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

“อะไรกัน?”

“ภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ถูกเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งงั้นหรือ?”

หลังพบว่าภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ‘เฉินหลี’ ลูกชายของเฉินหยวนซานรองผู้นำองค์กรกะโหลกเลือด ก็ได้รับการติดต่อจากบิดาทันที

“ต้วนหลิงเทียนนั่น มันมิใช่ว่าถูกจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกให้ไปเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์แล้วหรือไร? ไฉนมันยังมีชีวิตอยู่ได้เล่า?”

เฉินหลีรู้สึกเหลือเชื่อนัก

“ที่แท้มันยังไม่ตายจริงๆ…”

เฉินหยวนซานกล่าวติดต่อกลับมาเสียงหนัก “เป็นธรรมดาที่พวกเราคงยากจะรู้ได้ ว่าทั้งหมดเป็นเพราะจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดผู้นั้น ยังไม่ทำการสังเวยมันหรืออะไรกันแน่…หากเป็นเช่นนั้นจริง อีกไม่นานมันก็คงต้องตาย!”

“ต้องเป็นเพราะแบบนั้นแน่นอน…ต่อให้จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นจังมีพลังฝึกปรือไม่สูงมาก แต่อาศัยฝีมือย่อยของมัน ต่อให้มี 10 ต้วนหลิงเทียนก็ไม่พอให้มันละเล่นในกำมือ!”

เฉินหลีกล่าว

“แต่แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง…ต้วนหลิงเทียนนั่นมันรอดพ้นเงื้อมมือของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดได้จริงๆ และมิได้ถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย”

เฉินหยวนซานกล่าวต่อ

ในขณะที่เฉินหลี รู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินข้อความดังกล่าวของบิดา

ณ แดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน ค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวหนึ่งในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็ปรากฏร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ชวนให้ฝุ่นละอองแถวนั้นคละคลุ้งขึ้นมา

“ที่นี่มันที่ไหนล่ะเนี่ย?”

ร่างที่พึ่งปรากฏจนทำให้ฝุ่นที่จับรอบๆค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวแห่งหนึ่งของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวฟุ้งขึ้นมา ก็คือต้วนหลิงเทียนที่พึ่งใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก กลับมาจากเมืองเทียนจี่ในเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานของแดนผิงเทียนแห่งอวี้หวงเทียนนั่นเอง

“เมืองหงซาน?”

หลังจากถามผู้คนแถวนั้น ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าเขามาโผล่เมืองไหน และเขาเองก็รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวทันที เพราะเขาได้ดูแผนที่ของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวตอนไปหอตำราฝ่ายในนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว

เขาจึงรู้ว่าเมืองหงซานนั้น มันตั้งอยู่ทางทิศใต้ของนิกายอมตะเป้าผู่ ห่างจากนิกายอมตะเป้าผู่พอสมควร

อย่างไรก็ตาม ด้วยความเร็วของเขาตอนนี้ คิดจะเดินทางไปนิกายอมตะเป้าผู่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานมากมายอะไร

หลังผ่านไปสองสามวัน ในที่สุดต้วนหลิงเทียน ก็เหินร่างกลับมาถึงหน้าประตูใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่

“ข้าพึ่งจากไปไม่นานแท้ๆ…แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับนานเป็นชาติ…”

ต้วนหลิงเทียนเหม่อคิดกลางฟ้าด้านหน้าประตูใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่สักพัก ก็เหาะเข้าไปในนิกายอมตะผู่ทันที

และทันทีที่มาถึง เขาก็ถูกกลุ่มคนขวางทางเอาไว้

“ศิษย์ที่แท้จริง!!”

เมื่อเห็นป้ายประจำตัวที่ต้วนหลิงเทียนยกขึ้นมาแสดง เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนก็โค้งคำนับให้ต้วนหลิงงเทียนทันที หลังต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆแล้วเหินร่างจากไป พวกมันก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวกระซิบกระซาบด้วยความสงสัย

“นิกายอมตะเป้าผู่เรา มีศิษย์ที่แท้จริงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“เจ้าพึ่งกลับมาจากการทำภารกิจเป็นผู้ช่วยผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่ไปสร้างพรรคคุมพื้นที่ทางตะวันออกคงไม่รู้ ว่าตอนนี้ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนสุดท้ายที่ว่างเว้นอยู่ของนิกาอมตะเป้าผู่เรามีคนผู้หนึ่งรับไปแล้ว…มันเรียกว่าต้วนหลิงเทียน และพึ่งจะเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่เราได้ไม่นาน”

“หากข้าเดาไม่ผิดชายหนุ่มชุดม่วงเมื่อครู่สมควรเป็นต้วนหลิงเทียนคนนั้น!”

“ช้าก่อน ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดหรือไร? เมื่อครู่ข้าไม่เห็นจะสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกฏอันใด แต่ไฉนมันเหาะไวขนาดนั้นเล่า? ความเร็วระดับนั้นมิใช่ระดับขุนนางอมตะแล้วหรือไร?”

“หรือมันจะทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะแล้ว?”

“เหอะๆ…ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดอายุไม่ถึงร้อยปีหรือ?”

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างจากมาไกลแล้ว ย่อมไม่ได้ยินบทสนทนาของหน่วยลาดตระเวน

หลังเข้ามาในนิกายอมตะเป้าผู่ ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ที่พักประจำตำแหน่งประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ทันที อีกฝ่ายก็มายืนรอเขาอยู่แล้ว

“ประมุข”

เนื่องจากซุนเหลียงเผิงรับทราบการกลับมาของต้วนหลิงเทียนและแจ้งไปล่วงหน้า จึงไม่มีใครขัดขวางต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นพอเขาเข้ามาไม่ทันไร ก็พบเจอซุนเหลียงเผิงที่มายืนรอเขาอยู่ในลานด้านหน้า

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

พอเห็นต้วนหลิงเทียน สองตาซุนเหลียงเผิงก็ฉายแสงวับวาวทันที

ก่อนหน้านี้ไม่นานนักมันก็ได้ยินข่าวเรื่องราวอันน่าตกใจจากด้านนอก ว่ามีจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด ได้ปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไว้ตั้งแต่ชาติก่อน และหลอกสุดยอดอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจาก 5 ระนาบเทวโลกไปเป็นเครื่องสังเวย กอปรทั้งก่อนต้วนหลิงเทียนจากไปก็ได้บอกเหตุผลไว้แต่แรกว่าจะไปเพราะผลเทพสังเวยสวรรค์

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากที่มันจะเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน

ซัว!

คำถามดังกล่าวของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนเลือกจะถอนรั้งพลังของทองเทพสุดลี้ลับออก จากนั้นก็แผ่พลังวิญญาณออกมาให้ซุนเหลียงเผิงสัมผัสได้ชัดเจน

“นี่มัน…”

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียน ลูกตาซุนเหลียงเผิงก็อดหดเล็กลงไม่ได้!

เพราะกลิ่นอายพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียน ก็คือกลิ่นอายพลังวิญญาณขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ!

“เจ้า…เจ้าชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้!?”

ถึงแม้ซุนเหลียงเผิงจะคาดเดาเรื่องราวได้ทันที หลังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณที่ต้วนหลิงเทียนแผ่ออกมา แต่มันก็อดถามไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามันอยากได้ยินคำยืนยันจากปากของต้วนหลิงเทียน!