“อ่า”

ต้วนหลิงเทียนพนักหน้าตอบคำ และนั่นทำให้สีหน้าซุนเหลียงเผิงกลายเป็นแดงก่ำ สองตาทอประกายจ้าหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงราวที่สูบลม

“ประมุข…”

และในขณะที่ซุนเหลียงเผิงกำลังตื่นเต้นกับคำยยืนยันของต้วนหลิงเทียน ว่าสามารถช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้จริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ปกติแล้ว มีหนทางใดบ้างที่นักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือด จะสามารถล่วงรู้ตำแหน่งของข้า และไล่ตามไปฆ่าข้าได้ถูกที่?”

“ว่าอะไร!?”

ซุนเหลียงเผิงที่เดิมกำลังตื่นเต้นยินดี ก็มีอันต้องตกตะลึงไปเพราะคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน “เจ้าจะบอกว่า…นักฆ่ากะโหลกเลือด มันไล่ตามไปเข่นฆ่าเจ้าถึงอวี้หวงเทียนเลยงั้นหรือ?”

“ไม่ผิด”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “พวกมันไม่เพียงตามไปถึงอวี้หวงเทียน แต่พวกมันยังมุ่งหน้าไปคฤหาสน์เอี้ยนซานแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียนที่ข้าอยู่เสมือนนกรู้”

ต้วนหลิงเทียนยังคงจำได้ดี ว่าวันที่เขาพบเจอนักฆ่าทั้ง 2 นั้นอีกฝ่ายก็บอกมาเอง ว่าพอตามเข้ามาถึงคฤหาสน์เอี้ยนซานก็บังเอิญได้ยินข่าวลือเรื่องเจียงหลาน…ไม่ใช่ได้ยินข่าวลือแล้วจึงมา!

ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาอยากรู้นัก ว่านักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดหาตัวเขาเจอได้ยังไง กระทั่งใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายตามมาที่เดียวกับเขาได้

ราวกับอีกฝ่ายล่วงรู้แต่แรกว่าตอนเขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายออกกจากหลิงหลัวเทียนนไปอวี้หวงเทียน เขาจะไปเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานในแดนผิงเทียน!

“หากเป็นกรณีนี้…องค์กรกะโหลกเลือดต้องส่งปรมาจารย์ค่ายกลไปตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เจ้าใช้ไม่ผิดแน่”

ซุนเหลียงเผิงกล่าวออกด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง “อย่างไรก็ตาม หากจะตรวจสอบค่ายยกลเคลื่อนย้าย อย่างน้อยๆก็ต้องได้รับการอนุมัติจากตัวตนระดับ รองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเสียก่อน”

“แน่นอนว่าผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเองก็มีอำนาจดังกล่าว…อย่างไรก็ตามผู้นำคฤหาสน์ไม่เคยอนุมัติเรื่องนี้มาก่อนแม้กับคนใน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องให้ความร่วมมือกับคนนอกอย่างองค์กรกะโหลกเลือดเลย”

“ดังนั้นข้าเดาว่า…สมควรเป็นฝีมือผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวคนใดสักคน!”

กล่าวถึงประโยคท้าย น้ำเสียงของซุนเหลียงเผิงก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวไม่ผิดไปจากนี้แน่นอน!

และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ซุนเหลียงเผิงกล่าวจบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลง ในแววตายังเผยประกายเยียบเย็นเรืองวูบ “ประมุขหมายความว่า…คนที่จะร่วมมือกับองค์กรกะโหลกเลือดได้ ก็มีแต่ชนชั้นรองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้นสินะ ถึงทำให้นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นมันตามตัวข้าเจอ?”

“ใช่”

ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า

สองตาที่ทอประกายเยียบเย็นของต้วนหลิงเทียน ยิ่งมายิ่งเต็มไปด้วยจิตสังหาร เอ่ยถามซุนเหลียงเผิงออกไปเสียงเข้ม “แล้วรองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวมีกี่คน?”

“เพียง 3”

หลังตอบต้วนหลิงเทียนแล้ว ซุนเหลียงเผิงก็เอ่ยข้อสันนิษฐานออกมาต่อ “อย่างไรก็ตาม รองผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้ง 3 ไม่มีทางให้ความร่วมมือกับองค์กรกะโหลกเลือดแน่นอน”

“เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผู้นำคฤหาสน์ก็ไม่มีทางปล่อยปละละเว้นพวกมันแน่”

“เช่นนั้นหากข้าเดาไม่ผิด รองผู้นำสมควรให้ความร่วมมือกับองค์กรกะโหลกเลือดโดยไม่รู้ตัว…นั่นก็คือไม่รู้ว่าคนที่ไปตรวจสอบค่ายกลคือคนขององค์กรกะโหลกเลือด…”

ซุนเหลียงเผิงจะอย่างไรก็เป็นประมุขนิกากยอมตะเป้าผู่ที่อยู่ในสายบังคับบัญชาของคฤหาสน์เฉวียนโยวมานาน ดังนั้นมันก็ย่อมรู้จักคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นอย่างดี

“และหากข้าเดาไม่ผิด..รองผู้นำคนนั้น คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกองค์กรกะโหลกเลือดหลอกใช้ จนเผลอให้ความร่วมมือเรื่องฆ่าเจ้า…”

“เพราะรองผู้นำคนนั้นก็ไม่อาจไม่หวั่นเกรงเรื่องนี้…เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ผู้นำคฤหาสน์ไม่มีวันละเว้นชีวิตมันแน่”

ซุนเหลียงเผิงกล่าวเสริม

“มันจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง แต่ที่ข้ารู้คือเพราะมันอำนวยความสะดวกให้องค์กรกะโหลกเลือด…หาไม่แล้วนักฆ่าทั้ง 2 ไม่มีวันตามตัวข้าเจอแน่”

สองตาต้วนหลิงเทียนฉายประกายเย็นชาจ้าขึ้นอีกรอบ ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สิบในสิบเขาได้กลายเป็นผีโง่งมเพราะนักฆ่ากะโหลกเลือดทั้ง 2 ไปแล้ว

“แล้วนักฆ่ากะโหลกเลือดทั้ง 2 คนที่ตามล่าเจ้ามันเป็นนักฆ่าระดับใด?”

ซุนเหลียงเผิงเอ่ยยถาม

“ก็มีนักฆ่าที่ลอบสังหารข้าครั้งสุดท้ายคนนึง กับนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักอีกคน”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

“อะไร?!”

สีหน้าซุนเหลียงเผิงเปลี่ยนไปใหญ่หลวง เพราะมันจดจำได้ว่านักฆ่ากะโหลกเลือดคนสุดท้ายที่มาลงมือที่ชายขอบนิกาย ก็เป็นราชาอมตะ 9 ตำหนักเข้าไปแล้ว ทว่านักฆ่าคนนั้นไม่เพียงตามไปฆ่าต้วนหลิงเทียนถึงอวี้หวงเทียนคนเดียว แต่ยังพานักฆ่าราชาอมตะ 9 ตำหนักไปด้วยอีกคน?

2 นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก!

แค่คิดถึงเรื่องนี้ หนังศีรษะซุนเหลียงเผิงก็ด้านชาหนึบๆแล้ว!

นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักขององค์กรกะโหลกเลือด อย่าว่าแต่ 2 คนเลย ต่อให้มาแค่คนเดียวถึงจะมีซุนเหลียงเผิงเป็นสิบๆคน เกรงว่ายังไม่พอให้อีกฝ่ายฆ่า!

หลังจากอารมณ์ซุนเหลีงเผิงพุ่งพล่านไปด้วยความหวาดหวั่นครู่หนึ่ง มันก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนเสียงขรึม “ต้ววนหลิงเทียน แล้วเจ้ารอดพ้นเงื้อมมือนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 2 มาได้อย่างไร?”

มันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงหลบหนีมาภายใต้เปลือกตานักฆ่าราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้งสองได้…

‘หรืออุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองของต้วนหลิงเทียน ที่จริงยังสามารถใช้ได้?’

ขณะที่เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนออกไป ซุนเหลียงเผิงก็มีคาดเดาในใจไว้เช่นกัน ‘หากเป็นเช่นนั้นจริง และนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักทั้งสองมาพบต้วนหลิงเทียนตอนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏหลายประการจากผลเทพสังเวยสวรรค์ คิดจะหลบหนีภายใต้สายตาของพวกมันย่อมกระทำได้ มิแน่ว่าต้วนหลิงเทียนอาจเข่นฆ่าพวกมันทั้งคู่ไปแล้วก็ได้!’

“พอดีสหายของข้าได้ใช้ยันต์อมตะหลบหนีที่มีอานุภาพไม่ด้อยกว่ายันต์เงาวายุที่ประมุขให้ข้าวันก่อน พาข้าหนีมาได้น่ะ”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

“สหายเจ้ารึ?”

ซุนเหลียงเผิงตกใจ

“คนที่ได้อันดับ 1 หลังออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออกครั้งล่าสุด หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ที่เข้านิกายอมตะอวิ๋นไถผู้นั้น”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ “ผลเทพสังเวยสวรรค์ปรากฏขึ้น 2 ผล…เป็นข้ากับมันแบ่งกันคนละผล”

“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!?”

ซุนเหลียงเผิงประหลาดใจไม่น้อย “หรือว่า…พวกเจ้าทั้งคู่ร่วมมือกันและช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์มาจากตัวตนจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด?”

“ประมาณนั้นล่ะ”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

“นิกายอมตะอวิ๋นไถนับว่ามีโชคไม่น้อยเลยทีเดียว….”

ซุนเหลียงเผิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ “หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้น เมื่อเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยว มันก็ต้องโดดเด่นเฉิดฉายเช่นเจ้า…ถึงตอนนั้นลาเฒ่าหัวโล้นของนิกายอมตะอวิ๋นไถพวกนั้นไม่พ้นได้รางวัลจากผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวยกใหญ่แน่”

อย่างไรก็ตาม แม้ซุนเหลียงเผิงจะกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ แต่มันก็ไม่ได้เผยความอิจฉาอะไร

เพราะนิกายอมตะอวิ๋นไถมีหลิงเจวี๋ยอวิ๋น แต่นิกายอมตะเป้าผู่ของมันก็มีต้วนหลิงเทียนเช่นกัน!

“ไม่หรอก เพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้กลับมาหลิงหลัวเทียนพร้อมกับข้า แต่เลือกที่จะรั้งอยู่อวี้หวงเทียนต่อ”

ต้วนหลิงเทียนได้ยิน ก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าว

“ฮ่าๆๆ!!!”

ได้ยินคำพูดนี้ของต้วนหลิงเทียนซุนเหลียงงเผิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่าด้วยความสะใจ “ดูเหมือนพวกลาเฒ่าหัวโล้นของนิกายอมตะอวิ๋นไถ จักมิอาจรักษาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาไว้ได้!”

หลังระเบิดเสียงหัวเราะดังร่าอยู่พักหนึ่ง ซุนเหลียงเผิงก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังแฝงซาบซึ้ง “ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณเจ้ามาก”

ซุนเหลียงเผิงย่อมรู้ดีแก่ใจ

ว่าอันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงย้อนกลับมานิกายอมตะเป้าผู่เลย

ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายเลือกที่จะกลับมา เห็นชัดว่าตั้งใจเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวในนามคนของนิกายอมตะเป้าผู่!

และเมื่อต้วนหลิงเทียนเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวในนามนิกายอมตะเป้าผู่ และไปฉายแสงที่นั่น ตัวมันซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ในฐานะตัวตนที่แนะนำต้วนหลิงเทียนให้เข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยว ย่อมไม่มีทางถูกคฤหาสน์เฉวียนโยวละเลยแน่นอน!

“ประมุขไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก หากไม่ใช่เพราะวันนั้นประมุขมอบยันต์เงาวายุให้ข้า ข้าคงยากจะหลบหนีไปภายใต้เปลือกตานักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักนั่นได้…และเพราะข้าหนีไปได้ในวันนั้น จึงทำให้ข้ามีโอกาสได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์อย่างวันนี้”

ได้ยินคำขอบคุณจากใจของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้สำหรับข้าแล้ว ให้เทียบระหว่างอวี้หวงเทียนที่ไม่คุ้นเคยกับหลิงหลัวเทียนที่ข้าอยู่มาสักพัก…การเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับข้า”

หลังจากกล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอให้ซุนเหลียงเผิงตอบโต้อะไร เลือกที่จกล่าวถามออกมาสืบต่อว่า “ว่าแต่ท่านประมุข ตอนนี้หากข้าคิดเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวเร็วๆ…ท่านพอจะมีวิธีใดหรือไม่?”

“ฮาย! ด้วยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้คิดจะเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวยังจะเป็นเรื่องยากอันใดอีกเล่า?”

ขณะกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ ซุนเหลียงเผิงก็เร่งสะบัดมือเรียกยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณออกมาบดขยี้ทันที

ครู่ต่อมาซุนเหลียงเผิงที่ยืนหน้าต้วนหลิงเทียนก็แลดูเหม่อลอยไปสักพัก พอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง มันก็หันมาคลี่ยิ้มสดใสให้ต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น “ต้วนหลิงเทียนข้าแจ้งอาจารย์ลุงของข้าไปแล้ว…3 วันหลังจากนี้อาจารย์ลุงจะมารับเจ้าไปคฤหาสน์เฉวียนโยวด้วยตัวเอง”

“อาจารย์ลุงของประมุขรึ?”

ดวงตาทั้งคู่ของต้วนหลิงเทียนเปล่งแสงวาบหนึ่ง “ใช่ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการณ์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวหรือไม่?”

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่ เขาก็ได้ยินคนพูดถึงหลายครั้งว่านิกายอมตะเป้าผู่เองก็มีสัมพันกับ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว และคนผู้นั้นยังเป็นชนชั้นบรรพบุรุษคนหนึ่ง

ชนชั้นบรรพบุรุษคนนั้น ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นอาจารย์ลุงของซุนเหลียงเผิง

ต้วนหลิงเทียนก็เลยถามออกไปแบบนั้น

“ใช่แล้ว”

ซุนเหลียงเผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พอท่านอาจารย์ลุงข้าทราบว่าเจ้าอายุไม่ถึงร้อยปีแต่ได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์ จนทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้แล้ว ท่านอาจารย์ลุงก็บังเกิดความสนใจในตัวเจ้าอย่างยิ่ง…กระทั่งบอกว่าเจ้าผ่านมาตรฐานการเข้าสู่นิกายอมตะเป้าผู่ไปเกินร้อยส่วน กระทั่งความสามารถของเจ้าอาจเป็นได้ถึง ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”

“ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”

ต้วนหลิงเทียนเผยความสงสัยอยู่บ้าง เพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้พิทักษ์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวมาก่อนเลย

“ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย เป็นตำแหน่งที่พิเศษสำหรับคฤหาสน์เฉวียนโยวมาก และคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ไร้ผู้ดำรงตำแหน่งนี้มานานกว่า 30,000 ปีแล้ว…ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของคฤหาสน์เฉวียนโยวจึงค่อยๆถดถอยลงทุกวันๆ กระทั่งบัดนี้หลายคนในคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ลืมเลือนไปแล้วว่ายังมีตำแหน่ง ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยอยู่”

พอซุนเหลียงเผิงกล่าวถึงจุดนี้ สองตาที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนก็กระพริบวาบ “ต้วนหลิงเทียน เดี๋ยวรอให้อาจารย์ลุงมาถึง…ด้วยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้ สมควรผ่านการทดสอบสำหรับผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยได้แน่ และเจ้าอาจเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนแรกในรอบ 30,000 ปี!”

“ตลอด 30,000 ปีที่ผ่าน ไม่มีใครในคฤหาสน์เฉวียนโยวได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเลยรึ?”

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย “ประมุข คิดจะเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมันยากขนาดนั้นเลยหรือ?”

“ยากเย็นยิ่งนัก”

ซุนเหลียงเผิงกล่าวตอบออกมาทันที สายตายังเริ่มฉายความยำเกรงออกมา “ครั้งสุดท้ายที่ปรากฏผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ก็เมื่อ 30,000 กว่าปีก่อน”

“ตอนนั้น ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยพึ่งมีอายุเกือบ 200 ปี แต่ก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักได้แล้ว ทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้ถึง 5 ประการ”

ขณะกล่าวเล่าออกมาสืบต่อ สายตาของซุนเหลียงเผิงก็ฉายความนับถือชัดขึ้นทุกขณะ

“อายุไม่ถึง 200 ปีบรรลุขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก ทั้งเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 5 ประการ?”

ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน

เขารู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนักก่อนอายุ 200 ปี ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมได้ 5 ประการเลย

ทว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยว กลับปรากฏตัวตนเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ?