ก่อนที่ข่ายพลังดาบของหงจีจะบรรลุเป้าหมายนั้น ร่างในชุดสีม่วงกลับอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า!

เช่นนั้นข่ายดาบอันเกรี้ยวกราดจึงได้แต่จู่โจมทำร้ายสายลม ล้มเหลวในการทำอะไรเป้าหมายโดยสมบูรณ์

“นี่มัน…อะไรกัน!?”

ที่ไฉนหงจีถึงได้ตกใจจนลืมถอนรั้งพลังนั้น เนื่องเพราะเห็นต้วนหลิงเทียนหายไปต่อหน้าต่อตานั่นเอง

“หงจี ซ้ายมือเจ้า!!”

จนเมื่อเสียงของถงฉี่ซานโพล่งดังขึ้น หงจีจึงเร่งตอบสนองมองไปตามคำชี้นำ สุดท้ายจึงพบว่าร่างในชุดสีม่วงได้ลอยห่างออกไปทางซ้าย 100 หมี่จากจุดเดิม

ทว่าอีกฝ่ายหลบข่ายพลังของมันอย่างไร เคลื่อนไหวไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง มันไม่อาจมองเห็นร่องรอยอะไรได้เลย

ราวกับอีกฝ่ายหายไปในความว่างเปล่า แล้วไปปรากฏตัวจากอากาศธาตุ ณ จุดนั้นในฉับพลัน

“เจ้า…เมื่อครู่เจ้าเห็นความเคลื่อนไหวของมันไหม?”

หงจีกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ค่อยเอ่ยยถามถงฉี่ซานออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ไม่เลย…”

ถงฉี่ซานส่ายหัวไปมา ก่อนจะตอบออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากข้าดูไม่ผิด…ความเคลื่อนไหวของมันเมื่อครู่สมควรเป็นความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ ของกฏแห่งมิติ”

“พลังจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของกฏแห่งมิตินั้น ระยะทางไม่ได้อิงกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง ขอเพียงแค่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ก็จะสามารถเคลื่อนไหวไปจุดใดก็ได้ในรัศมี 100 หมี่…”

“แต่เป็นธรรมดาว่ายิ่งด่านพลังฝึกปรือสูงเท่าใด ความถี่ในการใช้งานมันก็จะเพิ่มขึ้น…”

“กล่าวได้ว่าพลังฝึกปรือมิเกี่ยวกับระทาง หากแต่ผู้ใช้สามารถใช้มันได้ติดต่อแค่ไหน ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเป็นพลังขับเคลื่อน”

ฟังจากคำพูดของถงฉี่ซานแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ล่วงรู้เรื่องความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของกฏแห่งมิติไม่น้อย

“ความลึกซึ้ง เคลื่อนมิติ…”

ได้ยินคำพูดของถงฉี่ซาน หงจีพลันตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องราวใด “มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนความเคลื่อนไหวของมันถึงได้น่ากลัวปานภูตผี ที่แท้ก็เป็นพลังจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินี่เอง…”

“อย่างไรก็ตาม ความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินั่น มิใช่ความลึกซึ้งที่ยากเข้าใจที่สุดในกฏแห่งมิติหรือไร? แล้วไฉนเด็กน้อยอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นมันถึงเข้าใจได้เล่า?”

หลังส่งเสียงผ่านพลังคุยกับถงฉี่ซานแล้ว หงจีก็หันไปมองชายหนุ่มชุดม่วงอีกครั้ง

“ข้าว่ามันสมควรพบพานโชควาสนาอันใดบางอย่าง ทำให้หลังเข้าใจความหมายแห่งมิติแล้ว ก็โชคดีเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติได้เป็นอย่างแรก”

ถงฉี่ซานกล่าวเสียงเข้ม “แต่ถึงกระนั้น ขอเพียงด่านพลังฝึกปรือมันไม่ได้ด้อยไปกว่าข้ากับเจ้า หากพวกเราคิดไล่ตามจับตัวมัน นับว่ายากเย็นยิ่งกว่าให้คนธรรมดาปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก…”

“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันอายุไม่ถึงร้อยปี เช่นนั้นด่านพลังฝึกปรือของมันก็ไม่น่าจะทัดเทียมข้ากับเจ้าได้…ขอเพียงพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันด้อยกว่าพวกเรา ต่อให้มันจะสามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาได้ แต่ก็ต้องใช้เวลารวมพลัง…จึงไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเราจะไล่มันได้ทัน”

กล่าวถึงจุดนี้สองตาถงฉี่ซานก็ทอประกายสว่างจ้า เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจในด่านพลังฝึกปรือของมันกับหงจี

หงจีพยักหน้ารับ ค่อยหันไปมองชายหนุ่มชุดม่วงไม่ไกล พลางเอ่ยออกอีกครั้ง “เจ้าหนูจากคฤหาสน์เฉวียนโยว…ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งเคลื่อนมิติทั้งที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีได้…”

“เพียงแต่ หากเจ้าคิดว่าอาศัยความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินั่น จักสามารถหลบหนีพวกเราได้ล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป!”

เสียงของหงจีเต็มไปด้วยความถือดี เย่อหยิ่ง

“หนี?”

ต้วนหลิงเทียนที่วูบร่างหลบการโจมตีของหงจีไปได้อย่างอัศจรรย์ อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมาดังร่า

“ข้าไปพูดตั้งแต่เมื่อไหร่…ว่าข้าจะหนี?”

จากนั้นรอยยิ้มสดใสก็เริ่มคลี่กางขึ้นบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน

“เอาล่ะ ตอนนี้เชิญเจ้าลงมือเข้ามาได้เต็มที่…และเห็นแก่ที่พวกเจ้าใจดีไม่คิดฆ่าข้า เช่นนั้นข้าเองก็จะเมตตาละเว้นพวกเจ้าเหมือนกัน”

ขณะกล่าวประโยคท้าย ใบหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงคลี่กางร้อยยิ้มสดใสไม่ห่างหาย

“เมตตาละเว้นพวกเรา?”

ดั่งคำกล่าว อรหันต์ยังมีวันพิโรธ นับประสาอะไรกับหงจีและถงฉี่ซาน พอได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มมีโมโหขึ้นมาแล้ว

ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวผู้นี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมรับความหวังดีของพวกมัน แต่ยังหาญกล้ากล่าวคำว่าจะเป็นฝ่ายเมตตาละเว้นพวกมัน?

หรืออีกฝ่ายยังไม่ตื่นจากฝัน?

“เจ้าหนูเอย…เห็นทีหากข้าไม่ทุบตีเจ้าจนร่ำร้องโอดโอยเสียหน่อย ดูท่าเจ้าคงไม่อาจรู้ได้ว่าในโลกนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน…เช่นนั้นข้าจักให้เจ้ารับทราบถึงความแตกต่างระหว่างศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวกับพวกเรา ศิษย์ฝ่ายในคฤหาสน์หลิ่วสือจนซึ้งไปถึงทรวง!”

หงจีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากระงับโทสะอารมณ์ลงแล้ว มันก็มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุดัน กล่าวคำเสียงเย็น

พอกล่าวจบคำ แสงพลังสีทองทั่วร่างของมันก็ส่องสาดออกมาสว่างจ้า จากนั้นผิวกายของมันก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม ทั้งร่างสีทองของมันยังห้อมล้อมไปด้วยประกายอัสนีสีทองแลบลั่นแปลบปลาบ แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นอันตรายนัก!

“ความลึกซึ้งกายาทองคำ?”

สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีเล็กลง ไม่ยากที่เขาจะมองได้ออกว่าพลังที่หงจีกำลังใช้อยู่ ก็คือพลังจากความลึกซึ้งกายาทองคำของกฏแห่งทอง

ความลึกซึ้งกายาทองคำ ทำให้ทั่วร่างผู้ใช้อัดแน่นไปด้วยพลังของธาตุทอง เพิ่มพูนพลังสามารถทุกสาย ไม่ว่าจะความเร็วก็ดี พลังป้องกันก็ดี ยังมีการโจมตีอีกด้วย

หลังจากใช้ออกด้วยความลึกซึ้งกายาทองคำแล้ว แม้จะไม่ได้ใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอะไร หากแต่ทุกการโจมตีที่ปลดปล่อยออกมาก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลังธาตุทองอันแข็งแกร่ง

“เจ้าหนู วันนี้ข้าจะรับหน้าที่สั่งสอนบทเรียนให้เด็กน้อยเจ้าแทนผู้อาวุโสของเจ้าสักครา…ว่าหากยังไร้ความสามารถ ทีหลังก็อย่าได้อวดโอ่ทะนงตัว!”

ร่างหงจีไหววูบคราหนึ่ง จากนั้นคนก็พุ่งทะยานเข้ามาปานลำแสงสีทอง ทะลุผ่านห้วงอากาศด้วยสภาวะประหนึ่งดาวตกสีทอง

ซูววว!!

ประกายแสงสีทองลากตัดฟ้ามาฉับไว คล้ายไร้แรงต้านทานของอากาศ ประหนึ่งแรงต้านของอากาศไม่มีอยู่จริง!

“ความลึกซึ้ง ทะลวงเจาะ!”

ต้วนหลิงเทียนย่อมมองออกได้ทันทีว่าแม้ร่างหงจีจะพุ่งมาฉับไวปานไม่พบเจอแรงต้านทานของอากาศ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ว่ามันไม่พบเจอแรงต้านทานของอากาศ แต่มันพบเจอเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น!

ทั้งหมดเป็นเพราะ

ในขณะที่เหินทะยานเข้ามา หงจีได้ใช้ความลึกซึ้งทะลวงเจาะ!

ความลึกซึ้งทะลวงเจาะก็สมดั่งชื่อ มันทะลวงเจาะห้วงอากาศได้อย่างง่ายดาย จนเสมือนพบพานกับแรงต้านทานของอากาศแค่น้อยนิด เรียกว่าแทบไม่พบเจอแรงเสียดทานอันใด!

‘จนถึงตอนนี้ หงจีได้แสดงความลึกซึ้งของกฏแห่งทองออกมา 5 ประการแล้ว…’

‘เมื่อครู่ก่อนที่ข้าจะเคลื่อนย้ายมิติหลบหนี การโจมตีของมันผสานไว้ด้วยความลึกซึ้ง ความหมายแห่งทอง เฉือน ตัดผ่า’

‘มาตอนนี้ มันก็ใช้ความลึกซึ้ง กายาทองคำ อีกทั้งความลึกซึ้งทะลวงเจาะ…’

ด้วยสายตาของต้วนหลิงเทียน ย่อมมองออกไม่ยากว่าหงจีใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งทองประการใดออกมาบ้าง และรวมทั้งสิ้นก็มี 5 ประการ

หลังหงจีเปิดเผยพลังออกมา 2 ครั้งและครั้งนี้ยังเพราะความโมโห เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็แทบจะมั่นใจได้แล้วว่า

หงจีผู้นี้ สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองแค่ 5 ประการ…

‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันต้องร่วมมือกับผู้อื่น…ที่แท้ก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้แค่ 5 ประการ’

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา จากนั้นเขาก็ใช้เคลื่อนมิติหลบหลีกการพุ่งจู่โจมของหงจีได้อย่างง่ายดาย แต่คราวนี้หงไม่ได้ยืนตะลึงอึ้งค้างอีกต่อไป สองตาของมันหดหยีเล็กลงจากนั้นคนก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งทะยานกลางหาว จู่โจมออกไปอีกครั้ง ทว่าต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนย้ายมิติเปลี่ยนตำแหน่งไปอีกครา

“นี่มัน…”

ห่างออกไปไกลๆ ถงฉี่ซานที่จับตามองความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนอยู่ตลอด สีหน้าแต่เดิมที่สงบนิ่ง บัดนี้แปรเปลี่ยนไปจนดูแทบไม่ได้ “มัน…มันก็เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศเหมือนกัน!!”

เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนได้ใช้เคลื่อนมิติออกถึง 2 ครั้งติดต่อในเวลาไล่เลี่ยกัน!

ทำให้ถงฉี่ซานพลันตระหนักได้ทันที…

พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียน สมควรอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศด้วย! หาไม่แล้วระยะเวลาหน่วงก่อนที่จะทำการเคลื่อนย้ายข้ามมิติคงไม่สั้นถึงเพียงนี้!

“ขะ…ขุนนางอมตะ 10 ทิศ…อายุไม่ถึงร้อยปี?”

พอนึกถึงอายุของต้วนหลิงเทียนขึ้นมา หนังศีรษะของถงฉี่ซานกลับกลายเป็นด้านชาไปทันใด

เพราะมันรู้ดีว่าเรื่องอายุนั้นไม่อาจหลอกลวงได้

กลิ่นอายเลือดเนื้อสดใหม่ไม่ถึงร้อยปี จะมีก็แต่ในผู้ที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีเท่านั้น กระทั่งจักรพรรดิอมตะ หรือแม้แต่เทพเจ้าในตำนานก็ไม่อาจปลอมแปลงได้!

‘ความลึกซึ้ง เขตแดน’

ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนพลันเคลื่อนย้ายข้ามมิติอีกครั้ง และมาผุดโผล่ด้านหลังหงจีที่ยังไม่พบตัวเขาปานภูตผี ขณะเดียวกันรัศมีพลังของเขาก็แผ่ออกจากร่างปานสายฟ้า ปกคลุมรัศมี 10 หมี่รอบกายเขาชั่วพริบตา

เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!

ทันใดนั้นความผันผวนของห้วงมิติก็เริ่มกระหน่ำจู่โจมเข้าใส่หงจีจากทั่วสารทิศ ทั่วร่างของมันปรากฏรอยแผลเล็กๆน้อยขึ้นในชั่วพริบตา

‘กักกัน!’

‘บิดเบือน!’

พริบตาต่อมา ก่อนที่หงจีจะทันได้ตอบสนองเรื่องงราวใด ต้วนหลิงเทีนก็ใช้ความลึกซึ้งแห่งกฏมิติออกมาเพิ่ม 2 ประการ

ทันใดนั้นความว่างเปล่ารอบกายหงจีก็เริ่มแข็งตัวราวห้วงมิติถูกผนึกแข็ง ทั้งยังมีพลังบิดเบือนห้วงมิติเคี่ยวกรำกระหน่ำเข้ามา จนหงจีที่เสมือนอยู่ท่ามกลางมรสุมรู้สึกสิ้นไร้พลัง ไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนได้

ทันใดนั้นร่างที่เปล่งแสงสีทองอร่ามของมันก็สั่นสะท้านไปอย่างแรง บัดนี้เนื้อตัวของมันเริ่มปรากฏชิ้นเนื้อแหลกเหลวหลุดร่อนออกไปทุกขณะ! แต่คนก็ยังพยายามเร่งเร้าพลังเต็มพิกัด แสงสีทองยิ่งมายิ่งส่องสว่างเจิดจ้า หมายทำลายพลังกักขังและพลังที่กร่อนทำลายไปทั่วร่างของมันสุดชีวิต!

ในตอนนี้หงจีย่อมตื่นตระหนกตกใจกับการลงมือต่อเนื่องอย่างดุดันของต้วนหลิงเทียนถึงขีดสุด หากแต่ความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างทำให้มันไม่มีเวลามานั่งตกใจ!

“พังให้ข้า!!”

หงจีตะโกนออกมาสุดเสียง จากนั้นแสงพลังสีทองทั่วร่างก็คล้ายจะระเบิดลุกโชนออกมา พวกมันเริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นคมมีดสีทองเล่มเขื่อง เปล่งพลังเฉือนผ่ากรงมิติของต้วนหลิงเทียนทันที!

“คิดทำลายกรงมิติบิดเบือนของข้าหรือ…”

การจู่โจมสุดชีวิตของงหงจี ทำให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามไม่น้อย เพราะหากปล่อยให้หงจีปะทุพลังจู่โจมทะลวงฝ่าเช่นนี้สืบต่อ เกรงว่ากรงมิติบิดเบือนของเขาเองก็คงยากจะกักขังอีกฝ่ายได้นาน

ในห้วงเวลาคับขันดังกล่าว ลูกตาต้วนหลิงเทียนพลันควบแน่น จากนั้นมือก็ตวัดออกไปปานจะกรีดฟ้า

พริบตาต่อมา

เปรียะ!

บริเวณขอบกรงมิติของต้วนหลิงเทียน ความว่างเปล่าพลันปริฉีก จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยแยกมิติอันมืดดำน่ากลัว

พร้อมกันนั้นเอง

ซัว!

แสงพลังสะบั้นสีเทาหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากรอยแยกมิติ ประหนึ่งแสงกระบี่ที่ฟันฟาดมาจากมิติอื่น พุ่งไปปะทะเข้ากับคมมีดสีทองของหงจีทันที!

เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!เวิง!

แสงคมมีดสีทองกับแสงกระบี่สีเทาลุกโหมส่องสาดไปทั่ว อย่างไรก็ตามยิ่งมาแสงพลังสีทองยิ่งถดถอยอ่อนโทรม เนื่องเพราะแสงกระบี่สีเทานั้นทรงพลังเกินไป

อย่างไรก็ตามพริบตาต่อมาแสงพลังสีทองพลันส่องสาดออกจากร่างหงจี ก็ได้ควบรวมก่อเกิดคมมีดสีทองอีกเล่มพุ่งไปตามซ้ำ จนในที่สุดก็สามารถทำลายแสงสีเทาได้สำเร็จ!

หากทว่ามันพุ่งไปหมายฟาดผ่ากรงมิติได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏรอยแยกมิติอุบัติขึ้นเบื้องหน้าอีกครา

และพร้อมกันนั้นเอง รอยแยกมิติดังกล่าวยังไปเชื่อมต่อกับรอยแยกมิติที่ฉีกเปิดก่อนหน้า

ทันใดนั้นรอยแยกมิติที่รวมตัวกันจนเป็นรอยแตกกว้างใหญ่กลางอากาศ ก็เหมือนกับปากของอสูรกายร้ายกระหายเลือด ฮุบกลืนคมมีดสีทองที่ฟาดเข้ามาไปในหนึ่งคำ!

จนเมื่อรอยแยกมิติดังกล่าวปิดตัว และความว่างเปล่าหวนคืนสู่สภาพเดิม แสงคมมีดสีทองก็อันตรธานหายไปแล้ว ราวกับถูกห้วงมิติกลืนกินหายไป

“นั่นมัน…”

ไกลออกไปเล็กน้อย ถงฉี่ซานที่มองชมเรื่องราวอยู่ก็ถึงกับอ้าปากค้าง “ความลึกซึ้งเขตแดนมิติ? กักกัน? บิดเบือน?”

“อีกทั้ง…ยังมีความลึกซึ้งผ่ามิติ!?”