หลังเหล่าศิษย์และอาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยวในลานและในตำหนักคุยกันไปสักพัก ก็เห็นพ้องต้องกันว่า…

ศิษย์ฝ่ายนอกนาม ต้วนหลิงเทียน ที่ผู้ตรวจการฉีพามาส่งเป็นการส่วนตัวเมื่อราวๆหนึ่งชั่วยามก่อน สมควรต้องใช้วิธีขี้โกงอะไรบางอย่างในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเพื่อเอาแต้มมาแน่นอน!

หาไม่แล้วชายหนุ่มที่อายุไม่ถึงร้อยปี ไฉนสามารถติดอยู่ใน 100 อันดับแรกได้?

“หรือว่าผู้ตรวจการฉีขอให้มันโกงเป็นพิเศษ…แต่ถ้าหากมันไม่ติด 20 อันดับแรก จะโกงไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรไม่ใช่รึ?”

หลายคนเอ่ยความเห็นออกมาด้วยความงุนงง

“ตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่กี่วันก่อนที่จะล้างอันดับแล้ว…ต่อให้จะเข้าไปโกงจริง ก็ไม่น่าจะติด 20 อันดับแรกได้มิใช่หรือ?”

“ก็ไม่แน่นักหรอก…หากคนของคฤหาสน์อมตะอื่นๆที่พอมีคะแนนสูงเข้าหน่อย เลือกจะรับสินบนและช่วยโกงคะแนนให้มันเล่า? เรื่องติด 20 อันดับแรกก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่?”

“ที่เจ้าว่ามามันก็อาจเป็นไปได้…ไม่แน่ผู้ตรวจการฉีอาจจะจงใจพามันมาแบบรับความอัปยศโดยเฉพาะ เพื่อให้มันโกงจนติดอยู่ใน 20 อันดับแรก!”

“บัดซบ! นี่คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราตกต่ำถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! กระทั่งเพื่อให้ติด 20 อันดับแรก จำต้องใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้แล้วหรือ?”

หลังเหล่าศิษย์และอาวุโสของคฤหาสน์เฉวียนโยวเริ่มเห็นพ้องต้องกันว่า ต้วนหลิงเทียน สมควรเป็นคนที่ผูตรวจการฉีพามาแบกรับความอัปยศในการโกงเพื่อให้ติด 20 อันดับแรก พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน…

คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกมัน ตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วหรือ?

เพื่อให้ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ก็ต้องอาศัยวิธีโกงคะแนนแบบนี้แล้ว?

เป็นธรรมดาว่ายังมีคนที่เห็นต่าง

“ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริงๆ หากคิดจะโกงเพื่อให้ติด 20 อันดับแรกจริง ไฉนไม่ให้ศิษย์พี่โจวหงเจี๋ยเป็นคนรับแต้มแทนมันเล่า? เพราะขาดแค่ไม่กี่แต้มก็ติด 20 อันดับแรกแล้วไม่ใช่หรือไร จำเป็นต้องไปหาเด็กอายุน้อยกว่า 100 ปีมารับหน้าที่โกงคะแนนด้วยหรือ? แถมเจ้าหนูนั่นก็ไม่มีแต้มติดตัวสักแต้ม แล้วต้องจ่ายไปเท่าไหร่กันถึงจะได้คะแนนมากพอ?”

“ฟังเจ้าพูดแล้วข้าปวดหัวตึ๊บเลย…มันก็จริงของเจ้า! หากจะโกงมิสู้ให้โจวหงเจี๋ยเป็นคนรับแต้มเสียประเสริฐกว่า ไฉนต้องไปหาคนอื่นมาด้วย”

“แต่ถ้าคะแนนที่ได้มาไม่ใช่เพราะการโกง…เหตุไฉนชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อย ถึงติด 100 อันดับแรกได้ทั้งที่เข้าไปไม่ทันไรเล่า?”

“พวกเจ้าว่า…มันจะเป็นไปได้รึเปล่า ที่เจ้าหนูนั่นมันเดินดุ่มๆไปเจอคนที่กำลังสู้กันอยู่ และพอดีทั้งดันคู่ตกตายไปพร้อมกัน มันเลยได้แต้มมาแบบงงๆ?”

“เหอะๆ…เรื่องพรรค์นี้กล่าวไปแทบเป็นไปไม่ได้เลย…แต่ก็นะใต้หล้าพิสดารมากมี ใครจะไปรู้เล่า…เจ้าหนูนั่นอาจจะแค่บังเอิญโชคดีจริงๆก็ได้”

“โชคดีหรือไม่เดี๋ยวก็รู้ พวกเราเพียงรอดูไปอีกสักพัก หากมันโกงจริงๆ อีกไม่นานคะแนนของมันต้องเพิ่มขึ้นแน่…แต่ถ้ามันได้แต้มมาเพราะโชคจริงๆ คะแนนมันก็สมควรหยุดอยู่แค่นั้นล่ะ!”

“หากข้าเป็นมัน ลองได้รับโชคหล่นทับแบบนี้ ข้าต้องรีบออกมาแน่…อายุไม่ถึงร้อยปีแบบนั้น ไม่ว่าเจอผู้ใดก็ล้วนถูกฆ่าตายได้ง่ายๆทั้งสิ้น!”

เหล่าคนของคฤหาสน์เฉวียนโยวคิดว่า หากจะโกงคะแนนให้ติด 20 อันดับแรกจริงๆ สมควรเลือกโจวหงเจี๋ยจะดีกว่า เพราะอย่างไรโจวหงเจี๋ยก็แข่งแกร่งที่สุดในบรรดาขุนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยว

ถึงแม้โจวหงเจี๋ยจะไม่ติด 20 อันดับแรกมาเกือบปีแล้ว แต่เดือนนี้คะแนนก็อยู่ห่างจากการติด 20 อันดับแรกไม่เท่าไหร่

เช่นนั้นหากคฤหาสน์เฉวียนโยวคิดโกง ก็สมควรเลือกผู้รับแต้มเป็นโจวหงเจี๋ย เพราะค่าใช้จ่ายในการซื้อตัวคนคฤหาสน์อมตะอื่นก็ไม่มากมาย ไหนเลยจำเป็นต้องเลือกชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยให้มารับแต้มเพราะโกงแบบนี้ด้วย?

หลังจากคุยกันไปสักพัก ในที่สุดทุกคนก็เริ่มสรุปผลไปอีกทาง

ว่าสาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้แบบนี้ สมควรเป็นเพราะโชคดีมากกว่า!

แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่จับตาดูอันดับในตารางของต้วนหลิงเทียน ว่าจะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรอีกหรือไม่

เข้าไปไม่ถึง 1 ชั่วยามแต่ได้มา 6 คะแนน โชคดังกล่าวนับว่าขู่ขวัญผู้คนแล้วจริงๆ

ในประวัติศาสตร์ของคฤหาสน์เฉวียนโยว พวกมันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครโชคดีถึงขนาดนี้

คฤหาสน์หลิ่วสือเองก็เป็นคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ศักดิ์ศรีเทียบได้กับคฤหาสน์อมตะเฉวียนโยว

ในคฤหาสน์หลิ่วสือเองก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางอยู่ด้วยกัน 2 จุด

และตอนนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจุดหนึ่ง ก็ปรากฏร่างสะบักสะบอมผุดจากความว่างเปล่า จากนั้นก็มีอีกร่างปรากฏขึ้นมาตามติด ราวกับผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าเช่นกัน

“หงจี? ถงฉี่ซาน?”

ทันทีที่ทั้ง 2 คนปรากฏตัว พวกมันก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์คฤหาสน์หลิ่วสือไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มีหลาคนที่จดจำพวกมันได้

“หงจี ถงฉี่ซาน ดูจากสภาพของพวกเจ้าทั้งคู่แล้ว…สมควรทำลายป้ายหยกหลบหนีออกมาใช่หรือไม่?”

ชายวัยกลางคนอันเป็นศิษย์ฝ่ายในของคฤหาสน์หลิ่วสือคนหนึ่งเอ่ยทัก เมื่อเห็นสารรูปดูไม่ได้ของหงจี

“ใช่”

ถงฉี่ซานพยักหน้าตอบ ขณะเอื้อมมือไปประคองร่างหงจี “คราวนี้พวกเราเจอดีเข้าให้แล้วจริงๆ…”

“หือ? พวกเจ้าทั้งคู่ร่วมมือกันก็สามารถต่อสู้คนที่ติด 100 อันดับแรกท้ายตารางได้อย่างไม่มีปัญหาไม่ใช่รึ? กระทั่งอันดับท้ายๆบบางคนยังสู้พวกเจ้ายามแยกกันลงมือไม่ได้ด้วยซ้ำ…เช่นนั้นคนที่เอาชนะพวกเจ้าได้ไม่น่าจะไร้ชื่อเสียงแน่ แล้วนี่เจ้าไปโดนผู้ใดเล่นงานมาเล่า?”

ศิษย์ฝ่ายในคฤหาสน์หลิ่วสืออีกคนที่มีรูปลักษณ์เป็นชายชราเอ่ยถาม

“เจ้านั่น ข้าเกรงว่าพวกเจ้าคงไม่มีใครรู้จัก…”

ได้ยินคำถามของชายชรา ทั้งเห็นสายตาอยากรู้ของสหายศิษย์โดยรอบ ถงฉี่ซานได้แต่คลี่ยิ้มแห้งๆกล่าวตอบ “เจ้านั่นชื่อว่าต้วนหลิงเทียน หลังจากได้รับคะแนนจากพวกเรา…ตอนนี้มันสมควรติดอยู่ใน 100 อันดับแรกแล้วแน่นอน”

ขณะกล่าว ถงฉี่ซานก็หันมองไปยังม่านแสงตารางจัดอันดับไม่ไกล ก่อนจะสังเกตเห็นชื่อหนึ่งท้ายตารางเร็วไว

ต้วนหลิงเทียน

‘อันดับที่ 93…’

สองตาถงฉี่ซานทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง ลอบกล่าวในใจอย่างเชื่อมั่น ‘เจ้านั่นฝีมือร้ายกาจขนาดนั้น…หากมีโชคหน่อย เผลอๆมันจะติดอยู่ใน 50 อันดับแรกของเดือนนี้ด้วยซ้ำ’

มันได้เห็นความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนมากับตา

ด้วยเหตุนี้มันจึงเชื่อมั่นนัก ว่าด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน คิดจะติด 50 หรือ 40 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณยังนับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย!

ทว่าคราวนี้ต้วนหลิงเทียนเข้ามาสายเกินไป แม้จะเป็นแค่ 50 อันดับแรก ก็จำต้องพึ่งโชค

หากโชคดีพบเจอคู่ต่อสู้ที่มีคะแนนมากพอ และไม่แข็งแกร่งเท่าก็คงไม่มีปัญหาอะไร…

“ต้วนหลิงเทียน?”

หลังได้ยินเสียงกล่าวทั้งเห็นสายตาของถงฉี่ซาน หลายคนก็หันไปมองตาราจัดอันดับทันที ก่อนที่จะพบเจอชื่อที่ถงฉี่ซานกล่าวออกมาเมื่อครู่

“นั่นไง อันดับที่ 93!”

“ต้วนหลิงเทียน ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวรึ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย…คฤหาสน์เฉวียนโยวมีคนเช่นมันตั้งแต่เมื่อใด?”

“นั่นสิ ขุนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่ฝีมือไม่ใช่ชั่ว ข้าว่าข้าก็จดจำพวกมันได้หมดทุกคน…แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียนมาก่อนเลย”

“ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน ลองมันเอาชนะหงจีกับถงฉี่ซานจนติด 100 อันดับแรกได้ ไม่น่าจะใช่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม…พวกเจ้ามีผู้ใดรู้จักมันหรือไม่?”

เหล่าศิษย์และอาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสือหันหน้าถามไถ่กันไปมา แต่สุดท้ายทั้งหลายก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะไม่รู้จักมักคุ้น…

ไม่นานสายตาทุกคนก็หันไปหยุดลงยังร่างหงจีกับถงฉี่ซานอีกครั้ง

“ถงฉี่ซาน ลองเจ้านั่นมันเอาชนะเจ้ากับหงจีได้ หมายความว่าอย่างน้อยๆมันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดกฏหนึ่งได้ถึง 6 ประการใช่หรือไม่?”

อาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสือมองถามถงฉี่ซาน

“มิผิด”

ถงฉี่ซานพยักหน้า ค่อยกล่าวออกเสียงขรึมว่า “แถมเจ้านั่นไม่เพียงแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึง 6 ประการเท่านั้น…ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือกฏที่มันเข้าใจคือกฏมิติ!”

กฏมิติ!

สิ้นคำกล่าวของถงฉี่ซาน สรรพเสียงโดยรอบก็เงียบหายไปในฉับพลัน!

เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติ 6 ประการ?

กฏมิตินั้น ทุกคนรู้กันดีว่าเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดและยากที่จะเข้าใจอย่างยิ่ง

คนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ถึง 6 ประการ ให้มองทั่วคฤหาสน์หลิ่วสือของพวกมัน ดูเหมือนจะมีแค่คนเดียวเท่านั้น…

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ว่าก็เป็นผู้อาวุโสระดับสูงและมีลำดับอาวุโสในคฤหาสน์หลิ่วสือของพวกมันสูงมาก ยังเป็นจอมราชันอมตะแล้วด้วย…

นอกจากอาวุโสผู้นั้นแล้ว ในคฤหาสน์หลิ่วสือก็ไม่อาจหาผู้ใดเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ถึง 6 ประการอีกเป็นคนที่สอง…

ทว่าตอนนี้ถงฉี่ซานกลับบอกพวกมันว่า…

ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวนามต้วนหลิงเทียนผู้นั้น กลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติ 6 ประการ!?

“ถงฉี่ซาน ที่เจ้ากล่าวเป็นความจริงหรือ? ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยวมีขุนนางอมตะ 10 ทิศคนไหนจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติถึง 6 ประการ…”

ศิษย์คฤหาสน์หลิ่วสือคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ไม่ต้องกล่าวถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติได้ถึง 6 ประการหรอก กระทั่งข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีขุนนางอมตะ 10 ทิศคนใดของคฤหาสน์เฉวียนโยวเข้าใจกฏแห่งมิติด้วยซ้ำ…ถงฉี่ซานเจ้าใช่เข้าใจอะไรผิดหรือไม่?”

อาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสืออีกคนเอ่ยถาม

ขวับ!

ในขณะที่ทุกคนมองถงฉี่ซานด้วยสายตาคลางแคลงสงสัย ถงฉี่ซานพลันสะบัดมือคราหนึ่ง ก็ปรากฏลูกแก้วลูกหนึ่งขึ้นเหนือฝ่ามือ

“ลูกแก้วเงาลอย!?”

เห็นลูกแก้วที่ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือถงฉี่ซาน สองตาทุกคนก็สว่างจ้าขึ้นมาทันที

เพราะนั่นคือลูกแก้วเงาลอย!

และการที่ถงฉี่ซานเลือกจะนำลูกแก้วเงาลอยออกมาตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายสมควรบันทึกฉากเรื่องราวยามประมือกับศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวนามต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเอาไว้เป็นแน่!

วู้ม!

เมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของถงฉี่ซานถ่ายทอดลงสู่ลูกแก้วเงาลอยได้ไม่ทันไร ม่านแสงหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศต่อหน้าต่อตาเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสือ

ในม่านแสงที่ว่า ก็ปรากฏร่างคน 2 คนฉายอยู่

หนึ่งในนั้นก็คือหงจีที่พวกมันรู้จักดี ศิษย์ฝ่ายในคฤหาสน์หลิ่วสือที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 5 ประการ

ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มชุดม่วง หันหน้าเข้าหาม่านแสงพอดี ทุกคนจึงเห็นหน้าค่าตาชัดเจน

ถึงแม้ว่าหน้าตาของชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้จะไม่คุ้นเคย แต่คนของคฤหาสน์หลิ่วสือก็เดาได้ไม่ยาก

ว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้สมควรเป็นศิษย์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวนามว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแน่

“หงจีลงมือแล้ว!”

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ฉากเรื่องราวในลูกแก้วเงาลอยก็เปลี่ยนไป หงจีได้เร่งเร้าพลังสร้างดาบสีทองก่อนจะตวัดฟันคลื่นพลังสีทองออกไปดั่งข่ายดาบเข่นฆ่าสังหารไปทางชายหนุ่มชุดม่วง

ทุกคนยังเห็นชัดจากฉากเรื่องราวในม่านแสงเบื้องหน้า ว่าข่ายพลังดาบสีทองของหงจีพุ่งทะยานไปฉับไวและทรงพลังขนาดไหน

อย่างไรก็ตามในห้วงเวลาสุดท้าย ร่างชายหนุ่มชุดม่วงนั่นกลับอันตรธานหายไปราวภูตผี!

พอเห็นอีกทีคนก็ไปปรากฏตัวอยู่ทางซ้ายของหงจี และห่างออกไปจากจุดเดิมราวๆ 100 หมี่เรียบร้อยแล้ว

“นี่มัน…ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ!”

อาวุโสของคฤหาสน์หลิ่วสือคนหนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ของกฏมิติ!”

หลายคนที่ชมดูอยู่อดไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนทราบดีว่าความลึกซึ้งเคลื่อนมิตินั้นเป็นความลึกซึ้งที่ยากจะเข้าใจที่สุดของกฏแห่งมิติ!

เมื่อเข้าใจมันแล้ว ก็สามารถใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตาได้อย่างไร้ร่องรอย!

“พวกเจ้า…ดูป้ายที่ห้อยแขวนที่เอวของเจ้านั่นสิ ป้ายนั่นมัน…”

ศิษย์ของคฤหาสน์หลิ่วสือที่ตาไวหน่อย ก็สังเกตเห็นป้ายที่ห้อยแขวนอยู่บริเวณเอวของต้วนหลิงเทียน และนั่นทำให้ลูกตามันหดเล็กลงทันที

“บ้าน่า…เจ้านั่นเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวงั้นเหรอ!?”