ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ก่อนจะลุกออกจากห้องไป

เพื่อความปลอดภัย เขาคิดจะไปถามจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยให้รู้ชัด ว่าสามารถรับมือเผ่าจิ้งจอกมายาได้ไหวหรือไม่

เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเผ่าจิ้งจอกมายามีความแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน

ถึงแม้เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยจะเคยพูดให้เขาฟังไปแล้ววันก่อน ว่าไม่ได้กลัวเผ่าจิ้งจอกมายาเลย แต่ใครจะไปรู้ว่าใช่อีกฝ่ายพูดเพื่อเอาหน้าหรือไม่?

“ผู้อาวุโส”

ต้วนหลิงเทียนที่มาพบจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ก็ไม่คิดอ้อมค้อมใดๆ เลือกจะกล่าวออกไปตรงๆ “ข้าเกรงว่าอีกไม่นานหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายา ต้องมาหาความที่คฤหาสน์เฉวียนโยวอีกแน่…”

“คฤหาสน์เฉวียนโยวมีกำลังมากพอจะคุ้มครองฮ่วนเอ๋อน้องสาวของข้าได้หรือไม่?”

ขณะกล่าวถามชายชราเรื่องนี้ สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็จริงจังขรึมเคร่งนัก

“เกิดอะไรขึ้น?”

ชายชรายังไม่เข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่

“หัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาผู้นั้น ตอนนี้สิบในสิบไม่พ้นล่วงรู้แล้วว่าฮ่วนเอ๋อพักอยู่กับข้า หลังได้เบาะแสบางอย่างจากองค์กรกะโหลกเลือด หาไม่แล้วพวกมันคงไม่ส่งคนไปพื้นที่ชายแดน…”

ต้วนหลิงเทียนพูดอีกครั้ง ก็กล่าวบอกเรื่องที่ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวรายงานความเคลื่อนไหวของเผ่าจิ้งจอกมายาให้เขาออกไป

“ไฉนเผ่าจิ้งจอกมายาถึงได้จ้องจะเล่นงานฮ่วนเอ๋อเล่า? แล้วไฉนหัวหน้าเผ่าจิ้จอกมายาต้องย้อนกลับมาหาความเพราะนางอีก?”

ชายชราถาม

ได้ยินคำถามดังก่าวของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม “ผู้อาวุโส นี่ไม่ใช่เพราะข้าไม่อยากเล่า แต่บางเรื่องข้าก็ไม่สะดวกจะกล่าว…”

“ที่ข้ามาหาท่านตอนนี้ เพียงเพราะอยากถามท่านตรงๆ ว่าหากหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายามาหาความที่คฤหาสน์เฉวียนโยว ในคฤหาสน์เฉวียนโยวมีใครสามารถรับประกันความปลอดภัยให้ฮ่วนเอ๋อได้หรือไม่?”

นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน

“เจ้ายังคงเป็นกังวลเรื่องนี้อยู่อีกงั้นหรือ…?”

ชายชราส่ายหัวไปมา “ไม่ใช่วันก่อนข้าบอกเจ้าไปแล้วหรือไร ว่าต่อให้เป็นเผ่าจิ้งจอกมายาก็ไม่กล้าตอแยคฤหาสน์เฉวียนโยวของเรา…เจ้าไม่เชื่อข้ารึ?”

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อ ข้าแค่อยากยืนยัน”

ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง เพราะอย่างไรเสียที่เขามาถามย้ำอีกครั้งแบบนี้ ก็เพราะสงสัยในคำพูดของชายชราเมื่อวันก่อนจริงๆ

เพราะวันก่อนตอนชายชราเอ่ยถึงเรื่องนี้ ท่าทีแลดูเหมือนกล่าวอย่างขอไปที

“เจ้าอย่าได้กังวลไป…ไม่ต้องพูดถึงงเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาแดนสวรรค์ใต้เลย ต่อให้มีเผ่ามายาอย่างสาขาแดนสวรรค์ใต้เพิ่มอีก 2 เผ่า คฤหาสน์เฉวียนโยวก็ไม่มีกลัว!”

ฟังจากวาจาของชายชราแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ยึดถือเผ่าจิ้งจอกมายาเป็นจริงจังอะไร แววตายังเผยความดูแคลนหยันหยามให้เห็น

“เจ้าสามารถบ่มเพาะฝึกฝนได้อย่างสบายใจ พยายามยกระดับพลังฝึกปรือของเจ้าให้เร็วที่สุด…สำหรับเรื่องใดอื่น ขอเพียงมีข้าอยู่ในคฤหาสน์เฉวียนโยววันหนึ่ง เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเพิ่มอีกวัน”

ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

ต้วนหลิงเทียนป้องมือประสานกล่าวคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากนั้นก็กลับไปบ่มเพาะพลังสืบต่อ

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไปแล้ว สองตาชายชราก็ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “ดูเหมือนยาโถวน้อยนางนั้น มิพ้นเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายา ที่เผ่าจิ้งจอกมายาเผ่าหลักบน 7 ภูมิภาคเบื้องบนกำลังตามล่าอยู่…”

“อีกทั้งเผ่าหลักของจิ้งจอกมายาใน 7 ภูมิภาคเบื้องบนยังตั้งภารกิจในตลาดมืดเอาไว้…หากผู้ใดสามารถให้เบาะแสจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาได้ จักได้รับรางวัลมากมาย…”

“รางวัลนั่น…กระทั่งข้าเองยังหวั่นไหว…”

หลังจากกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆไปสักพัก ชายชราก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรเสีย มันก็เท่านั้น…ในเมื่อข้าทุ่มเดิมพันกับเจ้าหนูนั่นหมดหน้าตักแล้ว ข้าก็ได้แต่ต้องยืนหยัดข้างมันไปจนสุดทาง…”

พอกล่าวพึมพำถึงจุดนี้ ชายชราก็นิ่งเงียบไป และยังคงนั่งตกปลาริมทะเลสาบไปอย่างเอื่อยเฉื่อยตามเดิม คล้ายไม่มีเรื่องราวใดๆเกิดขึ้น

วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

ทางด้านครอบครัวและสหายของต้วนหลิงเทียนที่หลบหนีออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพได้สำเร็จ แต่ละคนก็เผชิญหน้ากับหนทางของตัวเอง

เป็นธรรมดาว่าหลายคนก็ไม่ได้พบพานการผจญภัยที่ตื่นเต้นหวือหวามากมายอะไร ไม่ประสบกับวาสนาโดยบังเอิญใดๆทั้งสิ้น

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พบพานการผจญภัยอันน่าตื่นตระหนก และประสบกับโชควาสนาโดยบังเอิญ

อย่างไรก็ตามแม้จะไม่พบพานวาสนาโดยบังเอิญหรือเผชิญหน้ากับการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น แต่ทั้งหมดก็เคยอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ และร่างกายก็ได้ผ่านการชำระขัดเกลาจากพลังวิญญาณฟ้าดินของแดนเทพมาแล้ว เช่นนั้นยามย้อนกลับมายังระนาบโลกียะ ความเร็วในการบ่มเพาะก็ต่างจากเดิมหลายขุม

กระทั่งให้กวาดตามองไปทั่วระนาบโลกียะนับหมื่นพัน ก็ยากจะพบพานผู้ใดที่มีความเร็วในการบ่มเพาะเทียบเท่า

ณ ระนาบหนามม่วง หนึ่งในระนาบโลกียะนับไม่ถ้วนภายใต้มหาสหัสโลกธาตุ…

ระนาบหนามม่วงแห่งนี้ ยังเป็นระนาบโลกียะขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่ามหาระนาบโลกียะ อันมีห้วงจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วน และแต่ละห้วงจักรวาลก็มีดาราจักรมากมายมหาศาล ที่ใหญ่โตไม่ด้อยกว่าดาราจักรทางช้างเผือก

“อาหญิงเฉวี่ยไน่ ท่านรีบหนีไปเถอะ…คนพวกนี้ให้ข้ารั้งพวกมันไว้เอง! วันหน้าท่านช่วยฆ่าพวกมันล้างแค้นให้ข้าด้วย!”

ณ ห้วงอากาศของดาราจักรแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างชายหนุ่มหล่อเหลาที่หยุดร่างลอยค้างกลางอวกาศอันมืดมิดกล่าวคำกับสตรีนางหนึ่งด้วยท่าทางเคร่งขรึมเด็ดเดี่ยว

ชายหนุ่มที่กล่าวคำอย่างเด็ดเดี่ยวเมื่อครู่ มีใบหน้าหล่อเหลานัก คิ้วคมเข้มปานมีดดาบ สองตากระจ่างใสทอประกายดั่งดวงดารา อย่างไรก็ตามหว่างคิ้วทั้งแววตาของชายหนุ่มยามนี้ กลับฉายให้เห็นถึงความวิตกกังวลนัก

“เนี่ยนเทียน เป็นเจ้าที่ต้องรีบหนีไป…หากกระทั่งเจ้าข้ายังดูแลไม่ได้ วันหน้าข้าจะไปสู้หน้าพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่หญิงเฟยเอ๋อได้ยังไง!”

สตรีอันมีใบหน้างดงามกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นไม่แพ้กัน กิริยาท่าทางของนางหนุนเสริมให้นางแลดูมากสง่าราศี ทั้งงดงามจนกลบรัศมีสรรพสิ่งโดยรอบ

ทั้ง 2 ร่างที่กำลังแย่งกันเสียสละตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นต้วนเนี่ยนเทียนกับหานเฉวี่ยไน่ ที่ถูกเซี่ยเจี๋ยส่งตัวออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ

ทั้งคู่ได้ถูกส่งมายังระนาบเดียวกัน ถึงแม้จะแยกจากกันในตอนแรก แต่หานเฉวี่ยไน่ใช้เวลาไม่นานก็ตามหาต้วนเนี่ยนเทียนจนเจอ

และหลังจากผ่านไปหลายปี เด็กชายตัวน้อยที่ชอบร้องให้ต้วนหลิงเทียนอุ้มครั้งยังอยู่ตำหนักเมฆาคราม ก็เติบโตเป็นหนุ่มแล้ว

“อาหญิงเฉวี่ยไน่…”

ในขณะที่ต้วนเนี่ยนเทียนคิดจะกล่าววาจาใดสืบต่อ ก็ปรากฏเสียงทะลวงผ่านห้วงอวกาศมาฉับไวพร้อมกลิ่นอายพลังดุร้าย พริบตาต่อมาสำนึกเทวะนับสิบๆสาย ก็แผ่มาปกคลุมร่างต้วนเนี่ยนเทียนกับหานเฉวี่ยไน่เอาไว้

“หึ! พวกเจ้ามิต้องเกี่ยงกันหรอก เพราะวันนี้พวกเจ้าทั้งคู่ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าหวังจักหนีรอดไปได้!!”

รอบๆต้วนเนี่ยนเทียนกับหานเฉวี่ยไน่ยามนี้ ปรากฏร่างเหินข้ามอวกาศมืดดำมาปิดล้อมเอาไว้หนาตา เอาแค่ชายฉกรรจ์ในชุดข้ารับใช้ก็มีราวๆ 20-30 คนแล้ว ไม่ต้องนับผู้ชราที่สมควรพลังฝีมือสูงส่งอีกนับสิบเลย และที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นสตรีชรานางหนึ่งที่นั่งบนหลังสัตว์อสูรตัวเขื่อง ในมือถือไว้ด้วยไม้เท้ารูปหัวอสรพิษ

“ท่านแม่ยาย ไม่ต้องเสียเวลาเสวนากับพวกมันแล้ว ในเมื่อพวกมันกล้าเข่นฆ่าฉีเอ้อ เช่นนั้นก็กลบฝังพวกมันไปพร้อมฉีเอ้อเลยเถอะ!!”

ข้างๆหญิงชรา ปรากฏชายยวัยกลางคนในชุดคลุมหรูหราหนึ่งยืนอยู่ สองตาของมันถลึงมองจ้องต้วนเนี่ยนเทียนกับหานเฉวี่ยไน่อย่างเยียบเย็น แลดูดุร้ายปานยักษ์มารใคร่กลืนกินเลือดเนื้อผู้คนสดๆ

เนื่องเพราะ บุรุษหนุ่มกับสตรีเบื้องหน้า ได้ฆ่าลูกชายคนเดียวของมันที่ภรรยาคลอดทิ้งไว้ก่อนจะลาโลกไป!

“เหอะ!”

ต้วนเนี่ยเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนับสิบ ไม่เผยท่าทีหวั่นหวาด มองจ้องตาชายวัยกลางคนพลางกล่าวออกมาด้วยสีหน้ารังเกียจ มุมปากแสยะยิ้มเย้ยหยัน “หากไม่ใช่เพราะลูกชายตัวดีของเจ้า สะเออะมาทำรุ่มร่ามวางท่ากับอาหญิงเฉวี่ยไน่ของข้าก่อน ทั้งคิดใช้กำลังบีบคั้นผู้คนเยี่ยงเศษสวะ มีหรือที่พวกเราจะจัดการมัน?!”

“มันตายไปก็นับว่าสมควรแล้ว! หากเจ้าจะโทษก็ลูกชายอุบาทว์ของเจ้าเถอะ!!”

ใบหน้าอ่อนวัยที่ยังเหลือเค้าโครงความไร้เดียงสา บัดนี้ฉายชัดถึงธาตุทระนงและไม่ยอมสยบ สองตากระจ่างยังมองจ้องชายวัยกลางคนอย่างไม่ลดละ

“เนี่ยนเทียน กับตัวบัดซบอย่างพวกมันพูดไปก็เสียเวลา…หากพวกมันอยากสู้ก็สู้เถอะ!”

หานเฉวี่ยไน่กล่าวออกเสียงเบา จากนั้นเพียงโบกมือเบาๆคราหนึ่ง ห้วงอวกาศรอบกายคล้ายจะปรากฏไอเย็นยะเยือก ควบรวมก่อตัวก่อเกิดเป็นคมมีดน้ำแข็ง พุ่งทะยานออกไปฉับไว ไม่ทันไรก็ปลิดปลงศีรษะผู้ที่ห้อมล้อมไป 3 คน!

อย่างไรก็ตามแม้การลงมือส่งๆของนางจะเข่นฆ่าสังหารไปคราเดียว 3 คน แต่นางก็ไม่ได้ยินดีอะไร เนื่องเพราะ 3 คนนั่นเป็นแค่ลิ่วล้อที่ติดสอยห้อยตามมาเท่านั้น

“หาที่ตาย!!”

การเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารของหานเฉวี่ยไน่ ย่อมทำให้หญิงชราบนร่างอสูรตัวเขื่องมีโมโหทันที ทั่วร่างชราเหี่ยวย่นปะทุพลังเกรี้ยวกราดดุดัน คนโจนทะยานผ่านห้วงอวกาศไปดั่งยายเฒ่าคะนองศึก! ไม้เท้าหัวอสรพิษของนางควงขวับๆปาน จักรผันรวมรั้งพลังฟาดทุบไปทางหานเฉวี่ยไน่อย่างดุร้าย!!

ชายวัยกลางคนที่ยืนข้างหญิงชราเมื่อครู่ ก็โจนทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนเนี่ยนเทียนเช่นกัน!

คนอื่นๆที่ติดตามหญิงชรามาก็ควบรวมพลังจู่โจมสนับสนุนออกไปตามกำลัง

ที่กำลังปะทะเข่นฆ่ากันอยู่ ณ ห้วงอวกาศจุดนี้ พลังฝีมือสูงสุดคือสตรีชรา รองลงมาก็คือหานเฉวี่ยไน่ และชายวัยกลางคนเป็นลำดับถัดไป

อย่างไรก็ตาม การลงมือของหญิงชราแค่คนเดียวก็ทำให้หานเฉวี่ยไน่ตึงมือจนแทบไม่ว่างดูแลต้วนเนี่ยนเทียนแล้ว

สำหรับต้วนเนี่ยนเทียน แม้พลังฝีมือจะไม่อ่อนด้อยไปกว่าผู้ที่ปิดล้อมโดยรอบ แต่ก็อ่อนด้อยกว่าชายวัยกลางคนที่ป้อนกระบวนท่าสังหารเข้ามาอยู่บ้าง ทำให้ต้านทานรับมือไปไม่กี่สิบกระบวนท่า ก็เริ่มตกเป็นรองผู้อื่นเขา…

“สารเลวน้อย! ไปลงนรกเสีย!!”

เมื่อสบโอกาสเหมาะ ชายวัยกลางคนก็แผดเสียงออกมาอย่างดุร้าย กระแสพลังราวเส้นไหมพุ่งออกไปจากปลายนิ้วทั้ง 10 ปานด้ายมรณะ! จี้ตรงเข้าใส่ต้วนเนี่ยนเทียนที่กำลังโซเซ!!

“เนี่ยนเทียน!!”

เมื่อเหลือบไปเห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว หานเฉวี่ยไน่ก็ใจหายวาบ จากนั้นก็เพิกเฉยการลงมือของหญิงชรา ปล่อยให้อีกฝ่ายฟาดทุบเข้าใส่อย่างจังจนบาดเจ็บภายในสาหัส หากทว่านางอาศัยพลังทุบฟาดนี้ดั่งแรงส่ง หนุนร่างให้พุ่งไปทางต้วนเนี่ยนเทียนปานจุดระเบิด ก่อนจะคลี่คลายกระบวนท่าสังหารของชายวัยกลางคน ที่เข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนเนี่ยเทียนได้ทันเวลา!

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หานเฉวี่ยไน่บาดเจ็บภายในสาหัสนัก ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะสู้ต่อแล้ว นับว่าสำหรับนางการต่อสู้มีอันต้องจบลงเพียงเท่านี้ ต่อไปคือการเข่นฆ่าสังหารตามอำเภอใจของผู้อื่นเขาแล้ว…

“เนี่ยนเทียนเจ้าเป็นไรหรือไม่?”

หานเฉวี่ยไน่กับต้วนเนี่ยนเทียน ลอยร่างกลางห้วงอวกาศโดยหันหลังชนกัน สีหน้าทั้งคู่แลดูซีดเซียว เอ่ยถามกันด้วยความกังวล

“อาหญิงเฉวี่ยไน่ ข้ายังไหว ท่านเล่า…?”

และต้วนเนี่ยนเทียนในตอนนี้ก็ไม่ได้แลเห็นสีหน้าที่ซีดลงปานจะไร้สีเลือดของหานเฉวี่ยไน่เลย เนื่องเพราะไม่ทันได้เห็นตอนหานเฉวี่ยไน่ทนรับการโจมตีของหญิงชราเมื่อครู่ เพื่ออาศัยแรงปะทะในการส่งตัวมาช่วยมัน…

“เฮอะ! นังแพศยา!ลำพังตัวเจ้ายังเอาตัวเองไม่รอด ยังคิดจะปกป้องสารเลวน้อยนั่นอีกรึ?!”

หญิงชราหัวเราะเยาะหานเฉวี่ยไน่ พลางกล่าวออกมาด้วยสีหน้าดูแคลนเย้ยหยัน

“สารเลวน้อยเจ้าก็เช่นกัน! วันนี้ปีหน้าจักเป็นวันครบรอบวันตายของพวกเจ้าอาหลาน!!”

ชายวัยกลางคนเองก็หัวเราะเยาะต้วนเนี่ยนเทียนเช่นกัน ราวกับในสายตาของมัน ต้วนเนี่ยนเทียนกับหานเฉวี่ยไน่ก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต้วนเนี่ยนเทียนไม่ได้สนใจคำเสียดสีถากถางของมันแม้แต่น้อย สองตาเพียงเหม่อมองไปยังห้วงอวกาศไกลห่าง ราวกับมีบางสิ่งกำลังดึงดูดความสนใจไปหมดสิ้น

ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนก็หันไปมองตามสายตาของต้วนเนี่ยนเทียนทันที

และพอมองไปปราดเดียว ก็เห็นเป็นร่างหนึ่งกำลังเหินข้ามห้วงอวกาศมืดดำมาแต่ไกล สุดท้ายก็มาหยุดลงไม่ใกล้ไม่ไกล

เป็นสตรีในชุดสีม่วงนางหนึ่ง ลอยร่างค้างกลางห้วงอวกาศอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน รูปร่างเย้ายวนปานปีศาจของนางพร้อมด้วยใบหน้าที่เลอโฉมดดั่งเทพธิดานั่น นับว่ามีอำนาจปั่นหัวสรรพชีวิตให้หลงใหลโดยแท้ ประหนึ่งโฉมงามที่หลุดออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น

เส้นผมงามสลวยของนางพริ้วไสวแม้ไร้ลม

ทั่วร่างยังปรากฏอัสนีพลังสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบ ม้วนวนไปทั่วราวกับห้วงพายุสายฟ้า

“พี่หญิงเฟยเอ๋อ!!”

และในขณะที่หญิงชราหันไปมองตามสายตาชายวัยกลางคน หานเฉวี่ยไน่เองก็สังเกตเห็นสตรีในชุดม่วงที่พึ่งมาถึงเช่นกัน

“ท่านแม่!?!”

ต้วนเนี่ยนเทียนที่เหม่อมองร่างบางที่เหินมาแต่ไกล ดวงตาอันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเริ่มแดงรื้นขึ้นมา แววตายังกลายเป็นพร่ามัวราวมีหมอกสลัวปกคลุม

เนื่องเพราะสตรีในชุดม่วงที่พึ่งลุมาถึงไม่ใกล้ไม่ไกลนั้น ก็คือลี่เฟยที่ได้ออกตามหาต้วนเนี่ยนเทียนและคนอื่นๆในระนาบหนามม่วงมาหลายปีแล้ว

และในที่สุดเมื่อวาน นางก็พึ่งได้เบาะแสของลูกชาย

สุดท้ายในขณะที่ชีวิตของลูกชายกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นตาย นางก็มาถึงได้ทันเวลา…

“ท่านแม่! รีบหนีไปเร็วเข้า!!”

อย่างไรก็ตาม พอฉุกคิดถึงสถานการณ์ยามนี้ ต้วนเนี่ยนเทียนก็ดึงสติกลับมาเร็วไว รีบตะโกนเตือนลี่เฟยด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดี หวังให้นางเร่งรุดหลบหนีไปจากที่นี่!

เพราะในสายตาของเนี่ยนเทียน พลังฝีมือของมารดาอย่างดีตอนนี้ก็สมควรทัดเทียมกับตัวเอง ถึงแม้อาจจะเหนือกว่าตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเหนือกว่ามากนัก

และในเมื่อกระทั่งอาหญิงเฉวี่ยไน่ยังไม่ใช่คู่มือของสตรีชรา เช่นนั้นต่อให้เป็นมารดาก็ไม่น่าจะทำอะไรได้

“พี่หญิงเฟยเอ๋อ รีบหนีเร็ว!!”

สีหน้าท่าทีหานเฉวี่ยไน่ก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวงเช่นกัน เร่งส่งเสียงผ่านพลังกระตุ้นเตือนลี่เฟยอย่างร้อนใจ อย่างไรก็ตามนางไม่แลมองไปทางลี่เฟย ทำราวกับไม่รู้จักกัน ด้วยหวังว่าการกระทำนี้จะสร้างความสับสนให้สตรีชรา และมีส่วนช่วยให้ลี่เฟยหนีไปได้เพิ่มสักนิดก็ยังดี

“พวกเจ้า…”

ลี่เฟยที่ลอยร่างกลางห้วงอากาศ หลังมองต้วนเนี่ยนเทียนกับหานเฉวี่ยไน่ด้วยความตื่นเต้นแล้ว ก็เริ่มกวาดตามองคนอื่นรอๆด้วยสายตาเยียบเย็น

และในเวลาเดียวกับที่สายตาลี่เฟยเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ทุกผู้คนที่ปิดล้อมสองร่างตรงกลาง ก็รู้สึกเสมือนห้วงอวกาศรอบกายเย็นลงถนัดตา ราวกับฤดูหนาวมาเยือนห้วงอวกาศอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว…