WSSTH ตอนที่ 3,223 : ปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วง

‘ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะคนปัจจุบัน บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 6 ผสานตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่ถึงพันปีงั้นหรือ?’

ได้ยินบทสนทนาของผู้คนรอบๆ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ที่ประมุขของ 1 ใน 3 ขุมกำลังระดับ 1อันแข็งแกร่งที่สุดในแดนทักษินยุทธ์อย่างนิกายกระบี่หมื่นหายนะ จะเป็นอัจฉริยะแบบนั้น!

‘ในเมื่อสามารถทำลายสถิติเดิมและกลายเป็นเจ้าของสถิติคนใหม่ได้นานนับ 20,000 ปี ความเข้าใจในกฏต้องไม่ใช่ชั่วแน่นอน’

จุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้เช่นกัน

จากนั้นสักพัก ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็บรรลุถึงตีนเขาแรงโน้มถ่วงแล้ว

ตอนที่มาถึง เขาก็พบว่ามีคนนับสิบๆ มารออยู่

‘ดูเหมือนจะมีคนเข้ามาในแดนลับอัจฉริยะไม่น้อยเลยทีเดียว…’

ต้วนหลิงเทียนพึ่งได้ทราบว่ามียอดเขาแรงโน้มถ่วงแบบนี้ทั้งสิ้น 99 แห่ง แต่ทว่าที่นี่กลับมีคนมายืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว 30 กว่าคน

นอกจากนั้นยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเดินทางมา

‘แต่พอคิดๆดู มันก็สมควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว’

‘ถึงแม้อัจฉริยะที่บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันก่อนอายุพันปี แต่ละขุมกำลังจะไม่ได้มีมากมายอะไร…แต่แดนทักษินยุทธ์กว้างใหญ่ขนาดไหน? มีขุมกำลังเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่…พอรวมๆกันแล้วก็เยอะแยะมากมาย’

‘นอกจากนั้นคนที่เข้าสู่แดนลับอัจฉริยะก็ใช่ว่าจะเป็นคนของแดนทักษินยุทธ์เสียเมื่อไหร่ ยังมีคนนอกที่จงใจมาที่นี่โดยเฉพาะอีกด้วย’

แดนทักษินยุทธ์ ไร้จักรพรรดิอมตะสมญานามคอยปกครอง แต่ถูกขุมกำลังระดับ 1 ทั้ง 3 ที่ถ่วงดุลอำนาจกันปกครอง

เรียกว่าสภาพแวดล้อมในแดนทักษินยุทธ์จะค่อนข้างตึงเครียดกว่าดินแดนขั้นสูงอื่นๆอีก 7 แห่งของอวี้หวงเทียน คนของขุมกำลังระดับ 1 แต่ละฝ่าย ยามพบเจอกันเรียกว่าหากมีโอกาสก็อาจเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารกันทันที

สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภาวะแข็งขันแบบนี้ ย่อมทำให้ทุกขุมกำลังพยายามเพาะสร้างยอดฝีมือกันสุดกำลัง แต่ละคนเองก็พยายามยกระดับพลังตัวเองให้กล้าแข็งเร็วขึ้นที่สุด

‘ไม่รู้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะได้ข่าวที่นี่ แล้วเข้ามาด้วยรึเปล่า…’

คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลิงเจวี๋ยอวิ่น อีกฝ่ายเองก็ได้ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์เหมือนเขา

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นเป็นถึงอดีตคุณชายตระกูลลับในดินแดนแห่งทวยเทพ เดิมทีสมควรใช้คำว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แม้จะระหกระเหินแต่เด็กจนยากจะมีทรัพยากรติดตัวมามาก แต่อย่างไรเสียก็ต้องมีทรัพยากรบ่มเพาะติดตัวมาแน่นอน

ตอนนี้ในเมื่อตัวเขาสามารถบรรลุถึงจอมราชันอมตะได้ เขาเชื่อว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็สมควรทะลวงผ่านแล้วเช่นกัน

“พวกเจ้าดูนั่น มิใช่เอี้ยอวี่เฉินของนิกายปีศาจพันกรหรอกรึ! มันกำลังจะขึ้นยอดเขาแรงโน้มถ่วงแล้ว!!”

ในขณะที่สายตาของผู้คนจำนวนมากที่ยืนรอกันอยู่ใต้ยอดเขาแรงโน้มถ่วงกำลังเหม่อมองฮ่วนเอ๋อที่งดงามหาใดเปรียบจนตาลอย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นไกลๆ ปลุกสติของทุกคน และยังดึงดูดความสนใจจากต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อให้หันไปชมมอทันที

พอต้วนหลิงเทียนหันมองไป ก็แลเห็นร่างหนึ่งกำลังห้อเหยียดไปทางยอดเขาแรงโน้มถ่วง

ยอดเขาแรงโน้มถ่วงนั้น มองจากไกลๆก็เสมือนอดเขาสูงชันธรรมดา แต่พอมาดูใกล้ๆก็พบว่าเป็นนยอดเขา ที่มีบันไดทอดยาวขึ้นไปสุดลูกหูลูกตา

ระยะห่างของแต่ละขั้นบันไดของยอดเขาแรงโน้มถ่วงค่อนข้างสูงพอสมควร เพราะแต่ละขั้นมันสูงเหลื่อมล้ำกันถึง 10 หมี่

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ร่างในชุดสีดำพุ่งไปดั่งเงาพราย ก้าวๆโดดๆขึ้นบันไดแต่ละขั้นไปด้วยความเร็วสูง พริบตาก็โจนทะยานขึ้นไปแล้วกว่าพันขั้น

พันขั้นบันได ก็เท่ากับหมื่นหมี่!

อย่างไรก็ตามไม่ทราบยอดเขาแรงโน้มถ่วงนี้ผู้สร้างจงใจหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ มีแต่ต้องก้าวขึ้นถึงขั้นที่ 3,000 เท่านั้น ถึงจะอยู่สูงพอแตะก้อนเมฆ

ตอนนี้ร่างในชุดดำที่โจนทะยานขึ้นไปดั่งเงาพราย ก็ไต่ไปได้ 1 ใน 3 ของระยะทางระหว่างผืนดินกับก้อนเมฆแล้ว

“เจ้านั่นน่ะเหรออัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีของนิกายปีศาจพันกร เอี้ยอวี่เฉิน ที่ลือกันว่าพึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 4 รูปได้ไม่นาน?”

“เป็นมัน! ข้าเคยติดตามอาจารย์ไปทำธุระ จึงได้พบเจอมันครั้งหนึ่ง!”

“เอี้ยอวี่เฉินผู้นี้ ในบรรดาอัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีของนิกายปีศาจพันกร เห็นว่าพลังฝีมือของมันติดอยู่ใน 3 อันดับแรก…ไม่ทราบว่าผลงานการไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงของมันจะออกมาเป็นเช่นไร”

“แดนลับอัจฉริยะจะเปิดขึ้นทุกๆพันปี ทั้งยังกำหนดเงื่อนไขว่าต้องอายุไม่ถึงพันจึงเข้าได้ หมายความว่าทุกคนล้วนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นที่จะเข้าสู่แดนลับอัจฉริยะ…ไม่เพียงแต่พวกเราเท่านั้นจะเข้ามาเป็นครั้งแรก พวกอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ก็พึ่งเข้ามาครั้งแรกเหมือนกัน”

“เอี้ยอวี่เฉินผู้นี้ หากให้วัดกันในบรรดาอัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีจริงๆ ข้าเชื่อว่าพลังฝีมือของมันเพียงอยู่กลางๆค่อนไปทางสูงเท่านั้น”

ได้ยินบทสนทนาของผู้ที่ยืนอออยู่ที่ตีนเขา ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบว่าร่างที่ห้อเหยียดไต่บันไดขึ้นเขาไปก็คือ เอี้ยอวี่เฉิน แห่งนิกายปีศาจพันกร

แน่นอนว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่ออีกฝ่ายมาก่อน

หลายปีที่ผ่านมา ตอนเขาอยู่ในนิกายอมตะเสวี่ยหยาก็เอาแต่พยายามทะลวงผ่านด่านพลัง ตอนออกไปหาโอกาสด้านนอกก็ไม่ได้สนใจเรื่องซุบซิบพวกนี้ จึงไม่รู้ว่าขุมกำลังระดับ 1 นั้นมีขุมกำลังอะไรบ้าง และแต่ละคนร้ายกาจอะไรกันแค่ไหน

“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราก็ไปลองดูกันเถอะ”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตั้งใจจะปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วงเลย คล้ายกำลังเฝ้ารอดูคนอื่นก่อน ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยชวนฮ่วนเอ๋อและไปปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วงทันที

แรกๆทั้งคู่ก็จับมือกันไปหมายช่วยกันไต่ขึ้นเขา แต่ไม่คิดว่าพอก้าวเข้าเขตขั้นบันไดแรก จะมีพลังไร้สภาพอ่อนหยุ่นขุมหนึ่งผลักพวกเขาให้แยกออกจากนั้น

เห็นได้ชัดว่ามีค่ายกลจำกัดเอาไว้ ว่าการไต่บันไดขึ้นเขา ทำได้แค่พึ่งพาตัวเอง ไม่อาจร่วมมือกับบใคร

“เจ้าพวกนั้นคิดไต่ขึ้นเขาด้วย!”

“ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร แต่พอเห็นพวกมันถูกจับแยกกันข้ารู้สึกสะใจพิกล…แม้ข้าจะไม่รู้จักพวกมันมาก่อนก็ตามที”

“เฮ่อ ใครใช้ให้ไอ้หนุ่มชุดม่วงนั่นมีสาวงามขนาดนั้นข้างกายเล่า ตราบใดที่เป็นผู้ชายและใช้การได้ อย่างไรก็ต้องมีอิจฉามันบ้าง…อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตอนเห็นพวกมันจูงมือกันมา ข้าล่ะนึกอยากจะวิ่งผ่ากลางปล้อง ชนมือพวกมันให้แยกเสียให้รู้แล้วรู้รอด”

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อคิดไต่ยอดเขาแรงโน้มถ่วงด้วย ความสนใจของผู้ที่มายืนออใต้ยอดเขาแรงโน้มถ่วงก็หันกลับมาสนใจทั้งคู่อีกครั้ง ฟังจากคำพูดคำจาแต่ละคนเห็นชัดว่าอิจฉาต้วนหลิงเทียนกันไม่น้อย

“ไป! พวกเราจักรออันใด ขึ้นไปลุยกันเถอะ!!”

“จริง! ข้าก็ไม่เข้าใจว่าไฉนทุกคนพอมาถึงก็ละล้าละลังไม่มีใครขึ้นไปเสียที…ทั้งๆที่หากข้าจำไม่ผิดยอดเขาแรงโน้มถ่วงแต่ละแห่ง หากไต่ขึ้นไปเกิน 20,000 หมี่ ก็สามารถทิ้งชื่อเอาไว้ได้!!”

“เอ๊า! มีเรื่องเช่นนั้นด้วยรึ เช่นนั้นข้ารีบไปดีกว่า ให้ชื่อข้ามันขึ้นผ่านตาผู้คนสักวันก็ยังดี!!”

พริบตาต่อมา เหล่าคนที่ยืนออกันอยู่ ก็มีหลายสิบคนที่หิวแสง อยากชื่อขึ้นให้คนรู้จัก ก็เริ่มไต่บันไดยอดเขาแรงโน้มถ่วงเช่นกัน พากันโจนทะยานไล่ตามต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไปอย่างคึกคัก

‘อย่างที่คิด ยิ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…’

ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่แป๊บๆ ก็ไต่บันไดขึ้นไปใกล้ถึงพันขั้น ก็ใกล้จะผ่านระยะทาง 10,000 หมี่แรกแล้ว

ตอนที่พวกเขาพึ่งเข้ามา ก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรมากนัก

และความเร็วที่ทั้งคู่ใช้ไต่ขั้นไดไปจนถึงระยะ 10,000 หมี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเอี้ยอวี่เฉินแห่งนิกายปีศาจพันกรเลย กระทั่งกล่าวไปยังเร็วกว่าหลายส่วนด้วยซ้ำ

“เฮ่ เจ้า 2 คนนั่นมันเป็นใครกันแน่ ไฉนมันโดดโหยงๆขึ้นไปเร็วนักเล่า? นั่นมันเร็วกว้าเอี้ยอวี่เฉินอีกนะ!”

“ข้าก็ไม่รู้จัก…แต่หน้าตาดีขนาดนี้ ทั้งดูมากสง่าราศีแบบนั้น พวกมันจะใช่อัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ที่ไหนสักแห่งหรือไม่?”

“ไม่น่านะ…พอดีน้องสาวข้าชมชอบติดตามข่าวสารอัจฉริยะหนุ่มของขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลาย จึงพลอยให้ข้ารู้จักอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 แทบทุกคน แต่ข้ากลับไม่รู้จักพวกมันเลย มามีพวกเจ้าก็ไม่รู้จักมันอีก เช่นนั้นข้าว่าทั้งคู่ไม่น่าจะใช่อัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 แล้วล่ะ”

“ไม่แน่อาจจะเป็นอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ที่ถูกซ่อนไว้เป็นไพ่ตาย เพื่อให้มาเปิดตัวในแดนลับอัจฉริยะ!”

“ใครจะไปรู้ล่ะ อาจจะเป็นแค่อัจฉริยะรากหญ้าก็ได้…”

เห็นการแสดงอันโดดเด่นของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ทำให้เหล่าผู้ที่ไต่บันไดอยู่ รวมถึงผู้ที่ยังชมดูเรื่องราวด้านล่างของยอดเขาแรงโน้มถ่วงอดไม่ได้ที่จะคาดเดากันไปเรื่อยเปื่อย

‘เอี้ยอวี่เฉินนั่นพอถึงขั้นที่ 1,600 ความเร็วในการไต่บันไดของมันก็เริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด’

หลังไต่บันไดขึ้นไปถึงขั้นที่ 1,000 ต้วนหลิงเทียนที่แหงนมองขึ้นไป ก็พบว่าเอี้ยอวี่เฉินที่นำอยู่เริ่มช้าลงแล้ว

อย่างไรก็ตามเอี้ยอวี่เฉินยังไม่ทันข้ามผ่านบันไดขั้นที่ 1,700 เลย นั่นหมายความว่าแค่ระดับความสูง 17,000 หมี่ ก็สร้างปัญหาให้มันแล้ว

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อยังคงไต่บันไดขึ้นไปด้ววยความเร็วคงที่

ไม่นานนักในขณะที่เอี้ยอวี่เฉินไต่บันไดขึ้นไปถึงขั้นที่ 1,800 ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ไล่ตามอีกฝ่ายได้ทัน

“หืม?!”

เอี้ยอวี่เฉิน ผู้มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มในชุดสีดำ ชักสีหน้าเคร่งขรึมทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่กระชั้นเข้ามาจากด้านหลัง สุดท้ายพอเห็นว่ามีคนไล่จี้มาจนตามทันแล้ว สีหน้ามันก็เผยความประหลาดใจอยู่บ้าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันเห็นหน้าค่าตาทั้ง 2 คนชัด มันก็อดไม่ได้ที่จะเผยความตกใจยกใหญ่ “อัจฉริยะรากหญ้ารึ!?”

ในฐานะอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 อย่างนิกายปีศาจพันกร มันย่อมมั่นใจถึงที่สุดว่าในบรรดาขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลาย ไม่มีอัจฉริยะที่อายุน้อยกว่าพันปีอย่าง 2 คนนี้ดำรงอยู่แน่นอน!

อัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 มักมีงานที่ต้องพบปะสังสรรค์กันบ่อยครั้ง และตัวมันก็เข้าร่วมงานเหล่านั้นไม่เคยพลาด ในระดับหนึ่งจึงกล้าพูดว่า…มันเคยเห็นอัจฉริยะที่มีอายุไม่ถึงพันของขุมกำลังระดับ 1 ทุกคน!

ด้วยเหตุนี้มันจึงมั่นใจตั้งแต่แรกเห็น…

ว่าสองคนที่บัดนี้ได้แซงมันไปแล้ว ไม่ใช่คนของขุมกำลังระดับ 1 แน่นอน!

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

เอี้ยอวี่เฉินพึ่งเห็นหน้าตาฮ่วนเอ๋อกับต้วนหลิงเทียนทันไร ทั้ง 2 ก็วูบร่างไต่ขึ้นไปด้วยความเร็วแล้ว และพริบตาก็ทิ้งห่างมันไปถึง 49 ขั้นบันได

“กฏมิติงั้นรึ!?”

บัดนี้เอี้ยอวี่เฉินยังสังเกตเห็นรัศมีพลังสีเทาที่ปกคลุมไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกด้วย และจากกลิ่นอายพลังลี้ลับอันเป็นเอกลักษณ์นั่น มันก็ระบุได้ทันทีว่าทั้งคู่ใช้พลังของกฏมิติ!

“พับผ่าเถอะ! สองคนนั่นร้ายกาจกว่าเอี้ยอวี่เฉินซะอีก!!”

“ร้ายกาจจริงๆ จนบัดนี้ความเร็วของทั้งคู่ยังไม่ตกเลย…เช่นนี้สมควรข้ามผ่านระยะ 20,000 หมี่ได้แน่นอน!”

“พวกเจ้าดูแผ่นศิลาที่ตีนเขาสิ มีรายชื่อปรากฏออกมาไม่น้อยแล้ว…โหยวผิงจื่อ นั่นสมควรเป็นอัจฉริยะจากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ ไป๋หลี่เซิง แค่แซ่ก็รู้ว่าเป็นอัจฉริยะของตระกูลไป๋หลี่แน่นอน ยังมีโอวหยางเฉิน ของตระกูลโอวหยาง…แล้วก็ ฯลฯ”

(ขอแก้ชื่อตระกูลไป๋ลี่ เป็นไป๋หลี่นะครับ)

เหล่าคนที่อยู่ใต้ยอดเขาแรงโน้มถ่วงเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ตกใจไม่น้อย และในขณะที่พวกมันคาดเดาว่าทั้งคู่ต้องทะลุผ่านระยะ 20,000 หมี่และสามารถทิ้งชื่อไว้ได้แน่ ก็มีคนสังเกตเห็นแผ่ศิลาขนาดใหญ่ด้านล่าง ซึ่งบนศิลาดังกล่าวไม่ทราบปรากฏอักษรแสงแจ้งชื่อให้เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่

ด้านหลังชื่อที่ปรากฏขึ้นมา ยังมีบอกระยะทางที่สามารถทำได้เอาไว้อีกด้วย

ตัวอย่างเฉินไป๋หลี่เซิงที่เดิมทีอยู่ในอันดับ 2 ด้วยจำนวนขั้นบันได 2,113 ขั้น อยู่ๆก็แซงขึ้นไปเป็นที่ 1ในพริบตา เอาชนะคนที่อยู่ในอันดับ 1 ก่อนหน้าได้

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

และในขณะที่ทุกคนด้านล่างกำลังให้ความสนใจกับรายชื่ออันดับที่พึ่งปรากฏขึ้น ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ไต่บันไดบนยอดเขาแรงโน้มถ่วง ก็ก้าวขึ้นมาเหยียบบันไดขั้นที่ 2,000 เป็นที่เรียบร้อย

และทันทีที่เท้าย่ำเหยียยบบันไดขั้นที่ 2,000 ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันหนึ่งกดทับลงมาอย่างแรง แตกต่างจากก่อนหน้าลิบลับ

“พี่หลิงเทียนแรงกดดันที่นี่…ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเป็นอีกระดับเลย”

เสียงผ่านพลังของฮ่วนเอ๋อก็ดังขึ้นในหูเขาอยย่างประจวบเหมาะ

“ใช่ ข้าสัมผัสได้เหมือนกัน”

ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ

“โปรดทิ้งชื่อของเจ้าเอาไว้”

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพึ่งจะก้าวขึ้นมายังบันไดขั้นที่ 2,000 และพบว่าแรงกดดันได้เปลี่ยนไปเป็นหนักหน่วงขึ้น ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในหู

พริบตาต่อมา ในความว่างเปล่าเบื้องหน้าทั้งคู่ ก็ปรากฏเงาพู่กันด้ามหนึ่งผุดขึ้น

อย่างไรก็ตามเงาพู่กันดังกล่าว พอต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเอื้อมมือออกไป ก็สามารถจับเอาไว้ได้ราวมีสภาพ! จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มเขียนชื่อตัวเองลงในอากาศ

เมื่อทั้งคู่เขียนชื่อตัวเองเสร็จแล้ว ชื่อของทั้งคู่ก็ไปปรากฏอยู่ท้ายตารางจัดอันดับบนศิลาก้อนเขื่องที่อยู่ด้านล่างยอดเขาแรงโน้มถ่วงทันที

ฮ่วนเอ๋อ 2,000 ขั้น

ต้วนหลิงเทียน 2,000 ขั้น

และทุกคนที่อยู่ใกล้ๆยอดเขาแรงโน้มถ่วงก็เริ่มสังเกตเห็นชื่อทั้งคู่