ตอนที่ 3,235 : สัญญาณชี้นำ
ในอดีตต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินมาจากเพลิงเทพโกลาหลว่า กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเปิดระนาบทวยเทพได้นั้น ก็มีวันตกตายเช่นกัน
และหลังจากที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดตกตาย ระนาบทวยเทพที่เปิดสร้างก็จะถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดอีกคนที่เป็นคนฆ่า ทำลายทิ้งอีกด้วย
เพราะในสวรรค์และโลกแห่งนี้ สามารถมีระนาบทวยเทพได้แค่ 18 ระนาบเท่านั้น
หากระนาบทวยเทพเดิมไม่หายไป ระนาบทวยเทพใหม่ก็ไม่อาจปรากฏขึ้นมาได้
“ในโลกนี้…มีซากระนาบทวยเทพที่ล่มสลายอยู่จริงๆหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถามเทพเบญจธาตุในร่างอย่างทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดู
และสิ่งที่ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพูดบอกเขาในวันนั้นก็เสมือนดังก้องในหูอีกรอบ
ทั้งหมดเป็นเพราะ มหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้สามารถรองรับระนาบทวยเทพได้พร้อมกันเพียง 18 ระนาบเท่านั้น
ยามเมื่อมีผู้แข็งแกร่งที่สุดคนใหม่ถือกำเนิดขึ้น และสามารถเข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เปิดระนาบทวยเทพได้ ก็จะสามารถทำลายระนาบทวยเทพของอีกฝ่าย จนเปิดระนาบทวยเทพแห่งใหม่ของตัวเองขึ้นมาได้
แต่หากสู้ไม่ได้แล้วตกตายเสียเอง ก็ทำได้แค่ตกตายไปอย่างโง่งม ไม่ต้องคิดฝันจะเปิดระนาบทวยเทพของตัวเองอันใด
…
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เพลิงเทพโกลาหลก็กล่าวตอบออกมาก่อนใครเพื่อน “ย่อมมีเป็นธรรมดา”
“ระนาบเทพเป็นระนาบที่เปิดสร้างโดยผู้แข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นตัวตนผู้แข็งแกร่งที่สุดด้วยกันก็สามารถทำลายมันได้ไม่ยาก และเพียงแค่ทำลายแกนกลางมันก็เท่านั้น…แต่โดยทั่วไปแล้ว ยามเมื่อผู้แข็งแกร่งที่สุดคิดทำลายยระนาบเทพของอีกฝ่าย ก็มักจะทุบทำลายแค่แกนกลางทิ้ง ไม่คิดจะเหนื่อยแรงไปไล่ทุบทำลายระนาบเทพให้แหลกเป็นผง”
“ประการแรกเลย เพราะมันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ขอแค่เพียงฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดและทำลายแกนกลางระนาบเทพของอีกฝ่าย ระนาบเทพที่ว่าก็จะถูกลบชื่อออกไปจากสวรรค์และโลก เท่านี้ก็สามารถเปิดสร้างระนาบเทพใหม่ของตัวเองได้แล้ว”
“ประการที่สอง หากแกนของระนาบเทพถูกทำลาย ปกติระนาบเทพทั้งระนาบก็จะล่มสลายหายไปเองหลังจากผ่านไปสักพัก ไม่ต้องเหนื่อยแรงทำอะไร เพราะหากคิดจะทุบทำลายให้สิ้นซากคามือ กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ต้องลงแรงอยู่บ้าง เช่นนั้นหลังฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นเป้าหมายและทุบทำลายแกนได้ ก็มักจะไม่เหนื่อยแรงอะไรสืบต่อ”
“ส่วนระนาบทวยเทพที่สูญเสียแกนกลางนั้น มันก็จะจมดิ่งสู่ห้วงมิติผันผวนประหนึ่งก้อนหินร่วงหล่นลงสระ หลังจากร่วงตกไปถึงก้นบึ้งแล้ว ก็แน่นิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้วงมิติผันผวนนั่น”
“และนั่นก็คือระนาบเทพที่ล่มสลายกลายเป็นซากปรักหักพัง”
“มีซากปรักหักพังของระนาบเทพไม่น้อย ที่ถูกจักรรพรรดิอมตะพบเจอโดยบังเอิญขณะเปิดสร้างโลกใบเล็ก…หากจักรพรรดิอมตะผู้นั้นพลังฝีมือกล้าแข็งพอ มันก็สามารถเปิดสร้างช่องทางเชื่อมต่อไปยังซากระนาบบเทพที่ล่มสลายได้…”
“อย่างไรก็ตามหากตัวจักรพรรดิอมตะเข้าสู่ซากปรักหักพังของระนาบเทพนั่นด้วยตัวเอง ระนาบเทพที่สูญสิ้นแกนกลางไปแล้วย่อมไม่อาจทานรับแรงกดดันที่เกิดจากตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้ ทำให้มันจะสลายตัวไปทันที”
“เช่นนั้นเรื่องที่พวกมันพูดเมื่อครู่ สมควรเป็นความจริง…แดนลับอัจฉริยะแห่งนี้น่าจะมีช่องทางที่จะนำไปสู่ซากระนาบเทพที่ล่มสลาย เพราะสุดท้ายหากไม่มีลมก็ไม่คลื่น”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“เจ้าหนู”
ตอนนี้เองเสียงเด็กน้อยหัดพูดของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินพลันดังขึ้น “หากมีระนาบเทพที่ล่มสลายจริงๆ เจ้านับว่าได้กำไรครั้งยิ่งใหญ่แล้ว…เพราะต่อให้เป็นแค่ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลาย อย่างไรก็ตามอาศัยพลังวิญญาณฟ้าดินที่ตกค้างในนั้น ก็ล้ำค่าสุดที่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะแห่งหนใดของระนาบเทวโลกจะเทียบได้”
“ในระนาบเทวโลกทั้งมวล ต่อให้เจ้ามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพช่วยเหลือในการบ่มเพาะพลัง แต่พลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทวโลกมันก็มีขีดจำกัดไม่น้อย มากจนพฤกษาเทพกำเนิดชีพช่วยเจ้าได้อย่างจำกัดนัก”
“กลับกัน หากเจ้าเข้าสู่ระนาบเทพที่กลายเป็นซากได้ล่ะก็ ด้วยมีความช่วยเหลือของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจ้าจะเพิ่มขึ้นนับสิบนับร้อยเท่า!”
กล่าวถึงจุดนี้เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็คึกคักขึ้นอักโข “ยิ่งไปกว่านั้น ในระนาบเทพที่ล่มสลาย ความเร็วในการตระหนักรู้และเข้าใจกฏต่างๆยังจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย!”
“และหากเทพเบญจธาตุที่ยังระดับต่ำๆอยู่เหมือนพวกเราได้เข้าสู่ซากระนาบเทพ พวกเราก็สามารถดูดซับพลังของธาตุทั้ง 5 ที่อยู่ในระนาบเทพนั่นได้เช่นกัน!!”
กล่าวถึงจุดนี้ปฐพีเทพแรกกำเนิดก็แลดูตื่นเต้นนัก
“นอกจากนั้น ในซากปรักหักพังของระนาบเทพ ย่อมมีอุปกรณ์เทพมากมาย…เพราะในยามที่ผู้แข็แกร่งที่สุดเข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดอีกคน ทั้งทำลายแกนของระนาบเทพทิ้ง แกนกลางที่ถูกทำลายจะปะทุพลังล้างผลาญออกมากวาดล้างสรรพชีวิตทั้งมวลในระนาบเทพนั้นๆจนสิ้นสูญ…”
“แน่นอนว่าสรรพชีวิตในระนาบเทพจะมากจะน้อยก็ต้องมียอดฝีมือขอบเขตเทพทั้งหลาย และอุปกรณ์อมตะไม่เว้นสมบัติชั่วชีวิตของพวกมันก็ยังคงอยู่ในซากระนาบเทพไม่ไปไหน”
“เพียงแค่ คิดจะค้นหาสมบัติที่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะยามที่ระนาบเทพพังทลาย ห้วงมิติก็เสมือนถล่มลงในฉับพลัน ฟ้าดินย่อมไม่ต่างใดจากพลิกคว่ำคะมำหงาย ทุกสิ่งล้วนกระจัดกระจายมั่วไปหมด มันจะไปซ่อนอยู่ตามหลืบไหน หรือฝังอยู่ในดิน ไม่เว้นตั้งแหมะอยู่โทนโท่ ก็สุดที่ใครจะบอกได้”
“แน่นอนว่านี่สำหรับคนธรรมดาเท่านั้น ส่วนเจ้าที่มีกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนและมีจิตวิญญาณกระบี่แล้วย่อมได้เปรียบกว่าใครเขา เพราะจิตวิญญาณกระบี่ของเจ้านั้นจะมีสัมผัสรับรู้อันแยบคาย ขอเพียงมีอุปกรณ์เทพอยู่ใกล้ๆนางย่อมค้นพบทั้งหมด”
กล่าวถึงจุดนี้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็หยุดลงชั่วคราว ค่อยกล่าวออกมาสืบต่อด้วน้ำเสียงอิจฉา “บางทีข้าก็อดอิจฉาเจ้าไม่ได้จริงๆเจ้าหนู อิจฉาในโชคของเจ้า ว่าทำไมมันถึงได้โชคดี ยังโชคดีกว่าผู้อื่นเขา”
หลังได้ยินคำพูดของเพลิงเทพโกลาหลกับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าซากระนาบเทพที่ล่มสลายไม่ใช่แค่ตำนานปรัมปรา…
มันมีอยู่จริง!
และในขณะที่ความคิดของต้วนหลิงเทียนกำลังโลดแล่น อยู่ๆก็มีสุรเสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหู และเป็นเสียงเดียวกับที่เคยประกาศไปทั่วแดนลับอัจฉริยะหลายครั้งก่อนหน้า
เสียงยังคงดังกึกก้อง กังวาลไปทั่วแดนลับอัจฉริยะ ประหนึ่งฟ้าร้องในหู
“แดนลับทวยเทพจะเปิดออกในอีกครึ่งปีหลังจากนี้…”
หลังเสียงดังกล่าวดังไปทั่ววแดนนับอัจฉริยะ เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็อื้ออึงไปพักหนึ่ง หลังดึงสติกลับมาได้แล้ว ทั้งหมดก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นยินดี!
“แดนลับทวยเทพไม่ใช่แค่เรื่องเล่าในตำนาน…แต่มีอยู่จริงๆงั้นหรือ!?”
“แดนลับทวยเทพที่ว่า ก็คือซากปรักหักพังของระนาบเทพใช่หรือไม่? เห็นว่าในระนาบเทพที่ล่มสลายเช่นนั้นไม่เพียงมีอุปกรณ์เทพอยู่ทุกแห่งหน แต่ยังมีซากของเทพอยู่เต็มไปหมด…ล้วนเป็นของล้ำค่าทั้งสิ้น!!”
“ข้าได้ยินมาว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพยังหนาแน่นกว่าในระนาบเทวโลกมาก การบ่มเพาะพลังในนั้นดั่งลงแรงแค่ครึ่งเดียวแต่ได้ผลลัพธ์เป็น 2 เท่า!”
“ใช่ เห็นว่าการตระหนักรู้และการทำความเข้าใจกฏในนั้นก็เช่นกัน!”
…
ด้วยมีประกาศว่าแดนลับทวยเทพจะเปิดออกครึ่งปีให้หลังดั่งไปทั่วแดนลับอัจฉริยะแบบนี้ เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็เสมือนเลือดในร่างเดือดพล่านกันเป็นแถบ
จังหวะนี้ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อ ก็เสมือนถูกเรื่องแดนลับทวเทพช่วงชิงแสงไฟที่ฉายส่องลงมาไปจนหมด
เพราะสุดท้ายแล้วแดนลับทวยเทพก็เป็นประโยชน์ต่อทุกคน
ส่วนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็แค่ทำลายสถิติให้พวกมันรู้สึกน่าดูชมเท่านั้น
แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่ขอบคุณต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ เพราะหากไม่มีทั้งคู่แดนลับทวยเทพก็คงไม่เปิดออก
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”
ก่อนที่เสียงประกาศเรื่องแดนลับทวยเทพจะดังขึ้น ก็มีเสียงประกาศเรื่องฮ่วนเอ๋อทำลายสถิติดังขึ้นก่อนแล้ว
นอกจากนั้นเมื่อครู่ฮ่วนเอ๋อยังได้รับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเป็นรางวัลแล้วด้วย และสิ่งที่นางได้ก็คือชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิ!
‘กว่าข้าจะได้ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิก้องทำลายสถิติไป 2 รอบ…แต่ฮ่วนเอ๋อทำลายสถิติรอบเดียวก็ได้มาเลย…’
‘ดูเหมือนว่าเพราะการทำลายสถิติครั้งนี้ของฮ่วนเอ่อมันมจะฝืนฟ้าเกินไปหน่อย นางจึงได้รับสิทธิพิเศษ’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา
เพราะถึงเขาจะทำลายสถิติของยอดเขาแรงโน้มถ่วงกับหอคอยจิตวิญญาณค่ายกล แต่สถิติของเขาก็เหนือจากสถิติเก่าไม่ได้มากมายอะไรมากนัก
แต่สถิติของฮ่วนเอ๋อนั้น กลับเหนือกว่าสถิติเดิม 20 กว่าเท่า!!
20 กว่าเท่า นี่จะให้คิดอย่างไร?
ตลอดระยะเวลา 5 เดือนหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อไปตระเวนท้าทายบททดสอบต่างๆ แต่บททดสอบเหล่านั้นมันยุ่งยากเกินไป และไม่ใช่อะไรที่เขาจะจัดการได้ด้วยกำลัง
อย่างเช่น บททดสอบจัดตั้งค่ายกล
ยังมีบททดสอบ หลอมโอสถอมตะ
จริงอยู่ที่เขาเคยหลอมโอสถอมตะตอนอยู่พื้นที่ชายแดน และเมื่อมีความช่วยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล ความสามารถเขาจึงไม่ใช่ชั่ว
อนิจจาตอนนี้เพลิงเทพโกลาหลยังพึ่งจะอยู่ในขั้น 3 เท่านั้น ไม่ผ่านเงื่อนไขต่ำสุดของบททดสอบด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังมีบททดสอหลอมสร้างอุปกรณ์อมตะ จารึกอาคมสร้างยันต์อมตะ ฯลฯ
‘ยังเหลือเวลาอีกเดือนนึงก่อนจะถึงวันที่แดนลับทวยเทพเปิดออก…แต่มันเปิดออกที่ไหนล่ะ แล้วเราจะรู้ได้ยังไง?’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยในเรื่องนี้
เพราไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ไม่รู้ กระทั่งเหล่าอัจฉริยะของขุมกำลังอื่นๆ ไม่เว้นขุมกำลังระดับ 1 ก็ไม่มีใครรู้กันสักคน
ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่อัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 บอก ทางเข้าสู่แดนลับทวยเทพก็ใช่ว่าจะเป็นจุดเดิมเสมอไป
ปกติแล้วก่อนที่มันจะเปิดออก ทุกคนจะได้รับการชี้นำบางอย่าง
‘ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น…ตามหลักแล้ว สัญญาณชี้นำอะไรนั่นก็สมควรปรากฏได้แล้วกระมัง ไม่งั้นอัจฉริยะที่อยู่ห่างไกลจะไปทันได้ยังไง’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
และหลังจากผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน ก็ปรากฏแสงสว่างสีทองสาดส่องออกมาเรืองรองปานดวงตะวันขึ้นไกลๆ ดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนทันที
“พี่หลิงเทียน นั่นใช่สัญญาณชี้นำไปแดนลับทวยเทพที่ท่านว่ารึเปล่า?”
ฮ่วนเอ๋อหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน
“แสงสีทองนั่น เกรงว่าทั่วทั้งแดนลับอัจฉริยะคงไม่มีใครมองไม่เห็น…มันสมควรเป็นสัญญาณชี้นำไปแดนลับทวยเทพอย่างไม่ต้องสงสัยเลย พวกเราไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเร่งเหินร่างเดินทางไปยังแสงสีทองดังกล่าวทันที
ในเวลาเดียวกัน เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายทั่วแดนลับอัจฉริยะก็สังเกตเห็นแสงสีทองสว่างจ้าดังกลาวเช่นกัน ทั้งหมดจึงตระหนักได้ว่าสิ่งนี้สมควรเป็นสัญญาณชี้นำของแดนลับทวยเทพ ต่างพากันละวางสิ่งที่กำลังทำอยู่ แล้วเร่งุรดมุ่งหน้าไปทันที!
“ทางเข้าแดนลับทวยเทพปรากฏขึ้นแล้ว…ที่ทางเข้านั่น น่าจะได้เจอต้วนหลิงเทียนผู้นั้น”
ซูหลี่เองก็เร่งรุดเดินทางไปยังต้นแสงสีทองทันที ขณะเดียวกันมันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ว่าอัจฉริยะรากหญ้านามต้วนหลิงเทียนที่เผยความสามารถไม่ธรรมดาคนนี้ จะใช่สหายเก่านามต้วนหลิงเทียนของมันหรือไม่
แน่นอนว่าลึกๆในใจของมัน ก็หวังไว้ว่าให้อัจฉริยะรากหญ้าคนนี้ ก็คือสหายเก่าของมัน!
ถึงแม้ใจมันจะคิดไปว่าสิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันก็อดคิดได้ว่าถ้าเป็นสหายเก่าที่มักสร้างปาฏิหาริย์อยู่บ่อยครั้ง ก็น่าจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้เหมือนกัน
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ไม่ว่าจะอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ก็ดี อัจฉริยะรากหญ้าก็ดี ล้วนเร่งรุดเดินทางไปยังต้นแสงสีทองนั่นทั้งนั้น
แดนลับทวยเทพ ต่อให้มีมงคลบีบรัดหัวแทบแตก พวกมันก็ยังจะเข้าไปให้ได้!!