WSSTH ตอนที่ 3,236 : สัตว์กึ่งเทพ มังกรชั่วร้าย
แหล่งกำเนิดแสงสีทองนั่นอยู่สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือยอดเขาแรงโน้มถ่วงเสียอีก แม้จะมีม่านเมฆปกคลุม หากแต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งแสงทองที่สาดส่องลงมาได้
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!ฟุ่บ!ฟุ่บ!
…
เงาร่างเลือนรางสายแล้วสายเล่าแหวกฟ้าพุ่งมาจากทั่ว 4 ทิศ 8 ทาง เพื่อมารวมตัวกันยังต้นแสงสีทองสว่างจ้ากลางฟ้า!
มองไปปราดเดียว ทั้งหมดก็เห็นว่าภายในดวงแสงสีทองนั่น ปรากฏประตูบานหนึ่งที่ให้กลิ่นอายผ่านพ้นวันเวลามานานนับอสงไขย เต็มไปด้วยความเก่าแก่โบราณ
ตัวประตูเป็นสีแดงสด ล้อมกรอบไว้ด้วยโลหะบางอย่างสีคล้ายทองสัมฤทธิ์โบราณ มีลวดลายและอักขระซับซ้อนมากมายจารึกสลักเอาไว้
ลวดลายบางอย่างมองไปแล้วคล้ายสัตว์อสูรบางอย่าง และเพียงมองจ้องไปก็เสมือนสัตว์อสูรในลวดลายคล้ายหวนกลับมามีชีวิต พุ่งออกมาจากลวดลายเขมือบร่างผู้ชมมองไปในหนึ่งคำ พาลให้ผู้ที่ชมมองเสียขวัญเหงื่อแตก
และทั้ง 2 ด้านของประตู ปรากฏสัตว์ประหลาด 2 ตัวที่มีลักษณะคล้ายมังกรตะวันออกกับตะวันออกรวมตัวกัน จะงูก็ไม่ใช่งู จะกิ้งก่าก็ไม่ใช่กิ้งก่า ร่างมันตระหง่านอยู่ตรงนั้น แผ่กลิ่นอายอันทรงพลังชวนสยอง
ประตูบานเขื่องเบื้องหลังของพวกมันแง้มเปิดออกเล็กน้อย มีหมอกดำไหลออกมาจากประตูดั่งหมอกควันเจือจางสายหนึ่ง ให้กลิ่นอายลี้ลับพิศวงนัก
“นี่มันสัตว์อมตะสายพันธุ์ใดกัน?”
ผู้ที่มาถึงก่อนก็คือเหล่าอัจฉริยะรากหญ้าและอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้มากนัก
พอแลเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดคล้ายมังกรทั้ง 2 ตัวเบื้องหน้า สองตาอัจฉริยะทั้งหลายก็ว่างเปล่า เพราะนี่เป็นครั้งแรกของพวกมันเลย ที่เคยเห็นสัตว์อมตะที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดแบบนี้
สัตว์ประหลาดทั้ง 2 น่าเกลียดทั้งแลดูน่ากลัวมาก เขี้ยวของพวกมันแหลมคม ปรากฏน้ำลายไหลย้อยหยดลงตลอดเวลา ดวงตา 3 เหลี่ยมของพวกมันส่องแสงเยียบเย็น ให้ความรู้สึกราวกับสัตว์ร้ายกระหายเลือดโหยหิว
ทั้งคู่ยืนตระหง่านตีคู่กันประหนึ่งเป็นผู้พิทักษ์ประตู คอยเฝ้าไว้ไม่ให้ใครล่วงล้ำ เอาแต่จ้องมายังพวกมันตลอดเวลา โซ่หนาเท่าร่างผู้ใหญ่ที่ผูกล่ามเอาไว้ก็ถูกดึงจนตึง!
บอกให้รู้ว่าหากไม่มีโซ่ดังกล่าวล่ามเอาไว้ ไม่พ้นสัตว์ประหลาดทั้ง 2 คงพุ่งเข้าใส่เหล่าอัจฉริยะไปแล้ว
“ดูเหมือนว่าด้านหลังประตูบานนั้น…จะเป็นแดนลับทวยเทพ!”
อัจฉริยะคนนหนึ่งกล่าว
“อีดเดือนนึง มันถึงจะเปิดให้เข้าไปสินะ!”
ดวงตาหลายคนทอประกาจ้า
“พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือ…ประตูนี่เหมือนมันจะแง้มเปิดแล้ว ขอเพียงผลักเปิดพวกเราก็น่าจะเข้าไปได้เลยกระมัง?”
อัจฉริยะที่มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางงคนผู้หนึ่งกล่าว หลังมองจ้องประตูไกลๆพลันกล่าวออกมาวองตาทอประกายเรืองวูบ
หลังจากนั้นคล้ายมันทนความอยากรู้ไม่ไหว ร่างพลันสั่นไหววูบวาบพุ่งไปดั่งเส้นสายอัสนี มุ่งตรงไปยังประตูด้านหลังสัตว์ร้ายตัวเขื่อง
และฉากเรื่องราวต่อมาก็ทำให้อัจฉริยะทั้งหลายไม่มีวันลืม
ทั้งหมดเห็นชัดถนัดตา ว่าร่างชายวัยกลางคนที่เหินไปด้วยความเร็วสูงนั้น พอเข้าใกล้ประตู สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็อ้าปากออก จากนั้นพลังน่ากลัวขุมหนึ่งก็เริ่มรวมรั้งรวดเร็ว!
“ฮู่มมม!!”
เสียงคำรามของสัตว์ร้าย ดังสนั่นลั่นออกมาอ้วยอานุภาพสะท้านสะเทือนแดนดิน! จากนั้นแลเห็นเป็นคลื่นพลังมหาศาลขุมหนึ่ง พุ่งยิงเข้าใส่ร่างชายวัยกลางคนดังกล่าวประหนึ่งลำแสงทำลายล้าง!!
ชายวัยกลางคนเองก็ตอบสนองเรื่องราวเร็วไว เร่งใช้ออกด้วยทักษะป้องกันทั้งหมดที่มี อนิจจาไม่ว่ามันจะทุ่มเทพลังอย่างไร ลำแสงทำลายล้างดังกล่าวก็กลืนร่างมันจนอันตรธานหายไปง่ายดาย จนเมื่อลำแสงพลังทำลายยล้างดับลง คนก็สาบสูญไปชวนใจหาย ไม่มีแม้แต่ละอองโลหิตใดๆหลงเหลือ…
เห็นเพียงแหวนพื้นที่เสียหายวงหนึ่ง กำลังร่วงตกลงมาจากกลางอากาศเท่านั้น
สำหรับอุปกรณ์อมตะทั้งชุดเกราะอมตะที่ชายวัยกลางคนนำออกมา มันสูญสลายหายไปหมดสิ้น
“นี่มัน…หรือจะเป็นพลังขอบเขตจักรพรรดิอมตะ!?”
หลายคนหันไปมองสัตว์ประหลาดที่ยิงงพลังออกมาด้วยความแตกตื่น ใจพวกมันสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ไม่มีใครคิดใครฝันเลยว่าสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวเขื่อง จะทรงพลังร้ายกาจขนาดนี้!
พลังนั่นไม่ใช่อะไรที่พวกมันจะต้านทานได้เลย
เมื่อครู่ลำแสงทำลายล้างที่อีกฝ่ายพ่นยิงออกมา ทำลายได้กระทั่งอุปกรณ์อมตะไม่เว้นชุดเกราะอมตะ เป็นขุมพลังงขอบเขตจักรพรรดิอมตะไม่ผิดแน่ ยังแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจแห่งกฏอันน่าสะพรึงกลัว!
“อึก! ต่อให้เป็นอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุด ข้าว่าก็ไม่มีปัญญารับลำแสงพลังนั่นได้ไหวกระมัง…”
อัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กล่าวออกมาด้วยความสยอง
“นั่น ไป๋หลี่หงเฟย!!”
จากนั้นไม่นานก็มีหลายคนสัเกตเห็นการมาถึงของไป๋หลี่หงเฟย และยังมีอีก 5-6 คนติดตามมาด้านหลังไป๋หลี่หงเฟย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนตระกูลไป๋หลี่
“พี่หงเฟย เจ้าตัวประหลาดนั่นมันเป็นสัตว์อมตะอันใดกัน?”
หลังคนตระกูลไป๋หลี่มาถึง สตรีที่เหินร่างติดตามอยู่ด้านหลังไป๋หลี่หงเฟยก็อดถามออกมาเสียงใสด้วยความอยากรู้ไม่ได้
จากนันสายตาของเหล่าอัจฉริยะในที่เกิดเหตุก็หันไปมองไป๋หลี่หงเฟยทันที
ไป๋หลี่หงเฟยจะอย่างไรก็คืออัจฉริยะจากตระกูลไป๋หลี่ 1 ใน 3 ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนทักษินยุทธ์ ความรู้ย่อมสุดที่คนทั่วไปจะเทียบได้
“หากข้าเดาไม่ผิด พวกมันทั้งคู่ไม่ใช่สัตว์อมตะ…แต่เป็นสัตว์กึ่งเทพ!”
ไป๋หลี่หงเฟยที่มองจ้องสัตว์ประหลาดทั้ง 2 อยู่ก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“สัตว์กึ่งเทพ!?”
ได้ยินคำตอบของไป๋หลี่หงเฟย แม้อัจฉริยะหลายคนจะพึ่งได้ยินคำว่าสัตว์กึ่งเทพเป็นครั้งแรก แต่พวกมันก็พอเดาได้ว่าสัตว์กึ่งเทพคืออะไร
นั่นคือสัตว์ที่หากโตเต็มวัย ก็จะถือครองพลังอำนาจใกล้เคียงกับตัวตนขอบเขตเทพ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือสัตว์อมตะทั้งมวล!
ท้ายที่สุดแล้วกระทั่งสัตว์อมตะทั้งหลาย ด่านพลังก็จะไปตันอยู่ที่จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศเหมือนเซียนอมตะทั่วไป หากคิดจะทะลวงผ่านขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศสู่ขอบเขตเทพ ก็ต้องพึ่งพาโชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ไม่ต่างอะไรกับเหล่าเซียนอมตะ
ถึงแม้ว่าสัตว์กึ่งเทพจะไม่ใช่สัตว์อมตะ
แต่ทว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์อมตะใดๆทั้งมวล
“พี่หงเฟย…สัตว์กึ่งเทพ มิใช่ว่าเหนือสัตว์อมตะในแดนดิน และใกล้เคียงกับการกลายเป็นสัตว์เทพมากที่สุดหรือไร?”
ชายหนุ่มอีกคนของตระกูลไป๋หลี่เอ่ยถาม
“ใช่”
ไป๋หลี่หงเฟยพยักหน้า “หากข้าจำไม่ผิด สัตว์ประหลาดทั้ง 2 เบื้องหน้าพวกเรา ก็คือมังกรชั่วร้าย…เป็นสัตว์กึ่งเทพที่ไร้สติปัญญา มีเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้เท่านั้น!”
สัตว์กึ่งเทพที่ไม่มีสติปัญญา มีเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้?
ปกติแล้วสัตว์ที่ไม่มีสติปัญญาและมีแต่สัญชาตญาณในการต่อสู้นั้น พวกมันไม่คิดหวั่นกลัวเลย
แต่สำหรับสัตวืกึ่งเทพตัวนี้ เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายไม่อาจไม่กลัว แค่มองยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกซู่!
“พี่หงเฟย ดูเหมือนมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวจะตั้งใจบังขวางประตูด้านหลังเอาไว้”
หญิงสาวของตระกูลไปหลี่คนก่อนหน้าเอ่ยออกอีกครั้ง
ได้ยินเรื่องนี้ไป๋หลี่หงเฟยก็พยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด กล่าวไปนี่ยังเป็นเรื่องปกติ กำหนดเปิดแดนลับอัจฉริยะนั้นยังเหลืออีก 1 เดือน ทั้งหมดเพื่อดึงเวลาให้อัจฉริยะทั้งหมดเดินทางมาเข้าสู่แดนลับทวยเทพได้ทัน”
“แต่หากใครคิดจะเข้าสู่แดนลับทวยเทพก่อน ก็จำต้องผ่านบททดสอบเข้าสู่แดนลับทวยเทพ…ตอนนี้ดูเหมือนมังกรชั่วร้ายจะเป็นบททดสอบที่ว่า แต่ข้าดูๆแล้วการจะฝ่าพวกมันเข้าสูแดนลับทวยเทพก่อนผู้ใด มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!”
อย่างน้อยๆตัวไป๋หลี่หงเฟยเอง ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถฝ่ามังกรชั่วร้ายอันน่ากลัวนั่นเข้าสู่แดนลับทวยเทพได้
มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ถึงแม้ว่าพวกมันอาจจะยังไม่ใช่มังกรชั่วร้ายตัวเต็มวัย แต่กลิ่นอายพลังของพวกมันที่แผ่ออกมาตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าก้าวข้ามขอบเขตจอมราชันอมตะไปไกลโข!
มังกรชั่วร้ายขอบเขตพลังจักรพรรดิอมตะ 2 ตัว กอปรทั้งพันธนาการที่สะกดพวกมันไว้ดูๆแล้วก็เสมือนแค่จำกัดอิสระภาพของพวกมันในระดับหนึ่ง ไม่ใช่อะไรที่ใครจะรับมือมันได้ง่ายๆ
“เอ่อ…เช่นนั้นหมายความว่าหากมีผู้ใดสามารถฝ่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เข้าไปได้ ก็จักได้เข้าสู่แดนลับทวยเทพก่อนผู้ใดงั้นหรือ?”
คนของตระกูลไป๋หลี่อีกคนเอ่ยถาม
“ประมาณนั้นล่ะ”
ไป๋หลี่หงเฟยพยักหน้า “แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงตายอย่างไร้ความหวัง เพราะรออีกแค่เดือนเดียว มังกรชั่วร้ายทั้งสองก็สมควรจากไป หรือไม่ก็มีอาคมจำกัดพวกมันเอาไว้ เพื่อให้พวกเราผ่านเข้าไปได้สะดวก”
“พี่หงเฟย แล้วหากหลังจากผ่านไป 1 เดือน พอมังกรชั่วร้ายนั่นปล่อยให้พวกเราเข้าไปได้ พวกเราจะอยู่ในแดนลับทวยเทพได้นานเท่าไหร่หรือ?”
“เพียง 3 วัน”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของคนตระกูลหลี่ อัจฉริยะทั้งหลายที่มาเฝ้ารออยู่ก่อนก็อึ้งไปเป็นแถบ!
หากไม่อาจเข้าสู่แดนลับทวยเทพล่วงหน้าได้ เพียงรอเข้าไปตามเงื่อนไขปกติ พวกมันก็จะอยู่ในแดนลับทวยเทพได้เพียง 3 วันเท่านั้น?
“3 วันเองหรือ? นี่จะไม่น้อยเกินไปหน่อยรึไง?”
กระทั่งคนของตระกูลไป๋หลี่ที่เหลือยังอดไม่ได้ที่โอดครวญออกมา เพราะพวกมันรู้สึกว่าเวลาที่เปิดให้อยู่ในแดนลับทวยเทพมันน้อยนิดเกินไป!
“ก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นล่ะ…”
ไป๋หลี่หงเฟยส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “แดนลับทวยเทพที่ว่า ด้านในคือซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลาย หากเจ้าโชคดีก็อาจพบเจอกระทั่งอุปกรณ์เทพที่ทรงพลังยิ่งกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเสียอีก…ทำไม? เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถอยู่ในนั้นได้จนกระทั่งถึงเวลาออกจากแดนลับอัจฉริยะรึไง?”
“เจ้าฝันเฟื่องแล้ว”
อันที่จริงหลายๆคนก็แอบหวังว่าจะสมารถอยู่ในแดนลับทวยเทพได้นานจวบจนถึงเวลาปิดตัวแดนลับอัจฉริยะ แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะอยู่ในนั้นได้แค่ 3 วันเท่านั้น
“โอย อยู่ได้ 3 วันมันจะไปพอยาไส้อันใดเล่า?”
“มารดามันเถอะ…เข้าไปได้แค่ 3 วัน ต้องโชคดีเบอร์ใดกันถึงจะพบอุปกรณ์เทพ?”
“เหอะๆ ดูเหมือนว่าจะมีแต่หาทางฝ่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นไปได้ ถึงจะมีโอกาสอยู่ในแดนลับทวยเทพได้นานขึ้น”
“ฝ่ามังกรชั่วร้าย? เอาที่สบายใจเลยสหาย…หากเจ้ามั่นหน้าว่าไหวก็ไปเถอะ ข้าจะให้กำลังใจเจ้าอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ และไม่ต้องกังวลไป ข้าจักดูแลภรรยาเจ้าให้อย่างดี…”
…
ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะต่างโอดครวญร่ำร้องกันด้วยความเสียดาย ก็มีผู้คนกลุ่มใหญ่เดินทางมาถึง
“นั่นคนของนิกายปีศาจพันกร!”
จังหวะนี้ก็มีอัจฉริยะหลาคนจดจำผู้มาใหม่ได้ว่าเป็นเหล่าศิษย์ของนิกายปีศาจพันกร และคนที่เหินร่างนำกลุ่มคนนิกายปีศาจพันกรมาก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น อวิ๋นเอี้ย อัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายปีศาจพันกร
“เฮ่ อวิ๋นเอี้ย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปดักรอต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่หอคอยจิตวิญญาณ แต่พอทั้งคู่ออกมา เจ้าก็รีบเปิดตูดหนีเลยรึ?”
ไป๋หลี่หงเฟยเห็นอวิ๋นเอี้ยมาถึงก็กล่าวเย้ยเยาะด้วยรอยยิ้มทันที “อะไรกัน? ไม่ใช่ว่าเจ้าลั่นคำดุดันนักหนาว่าจะล้างแค้นให้ศิษย์น้องอย่างอวิ๋นเซียวไม่ใช่รึไง?”
“ไป๋หลี่หงเฟย!!”
ได้ยินคำพูดของไป๋หลี่หงเฟย รวมถึงสายตาล้อเลียนของอีกฝ่าย อวิ๋นเอี้ยก็หน้าดำปานไปมุดกองถ่าน
มันรู้ได้ทันทีว่าลองไป๋หลี่หงเฟยกล่าวล้อเลียนมันออกมาแบบนี้ อีกฝ่ายไม่พ้นต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าหอคอยจิตวิญญาณแล้วแน่
อย่าให้มันรู้เชียวว่าเป็นนอ้ายอีตัวใดส่งข่าวนี้ให้ไป๋หลี่หงเฟย ไม่งั้นมันจะตีให้ตาย!
“เอ่อ ที่ไป๋หลี่หงเฟยกล่าวถึงมันเรื่องอะไรกัน?”
ยังมีอัจฉริยะหลายคนที่ไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าที่ไป๋หลี่หงเฟยกล่าวกับอวิ๋นเอี้ยนั้นมันอะไรยังไงกันแน่ จนเมื่อมีคนเล่าออกมา พวกมันจึงเข้าใจเรื่องราวได้
จากนั้นหลายคนก็หันไปมองอวิ๋นเอี้ยด้วยสายตาเย้ยหยันทันที
หลังจากนั้นไม่นานนัก คนของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำก็เดินทางมาถึงเช่นกัน
และขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายก็เริ่มทยอยกันมาถึง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลถัวปา นิกายจ้าวมังกรสัประยุทธ์ และเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์
เรียกว่าเหล่าคนของขุมกำลังระดับแนวหน้าแดนทักษินยุทธ์มาถึงแล้ว 6 ขุมกำลัง ขาดอีกแค่ 2 เท่านั้น
นิกายกระบี่หมื่นหายนะ กับเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ
ในแดนทักษินยุทธ์มีขุมกำลังระดับ 1 อยู่ทั้งสิ้น 8 ขุมกำลัง และในบรรดา 8 ขุมกำลังที่ว่า นิกายกระบี่หมื่นหายนะ เผ่าหงส์ฟ้าโบราณและตระกูลไป๋หลี่ เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด
อีก 5 ขุมกำลังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกอีก 3 ขุมกำลังฮุบกลืน พวกมันก็ได้แต่ผนึกกำลังเป็นพันธุมิตรกัน
แต่โชคดีที่ทั้ง 3 ขุมกำลังไม่คิดจะฮุบกลืนเพื่อรวมอำนาจอะไร หาไม่แล้วต่อให้อีก 5 ขุมกำลังรวมตัวกัน ก็ได้แต่รอวันถูกบุกถล่มเท่านั้น…