ตอนที่ 3,251 : เผือกร้อน!

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าเหลิ่งเอี้ยทิ้งทันที สีหน้าของคนองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง

“เฉิน หยวน ซาน!!”

ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดง ผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่แผลเต็มตัว ก็หันไปมองจ้องร่างหนึ่งด้านหลังมันด้วยสองตาแดงฉาน กล่าวออกเสียงหนัก “จุดเริ่มต้นของทั้งหมด เป็นเพราะลูกชายตัวดีของเจ้ามันไปค้ำประกันออกภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน! วันนี้หากองค์กรกะโหลกเลือดของพวกเรามีอันต้องล่มสลาย เจ้าจักเป็นคนที่บาปหนาที่สุด!!”

“ท่านผู้นำ…ตอนนี้ใช่เวลาที่ท่านจะมากล่าวโทษข้าหรือ?”

เฉินหยวนซานได้แต่คลี่ยิ้มขมขื่น กล่าวว่า “ต้วนหลิงเทียนผู้นี้เห็นได้ชัดว่าไม่คิดปล่อยองค์กรกะโหลกเลือดของพวกเราไป…หาไม่แล้วไฉนมันถึงเลือกจะบุกมาถล่มสำนักงานใหญ่ของพวกเราทันทีไม่พูดไม่จา?”

ได้ยินคำของเฉินหยวนซาน สีหน้าชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงก็เปลี่ยนไปทันที

จริงอย่างว่า…

“ท่านผู้นำ สู้เถอะ…หากเราแพ้จะอย่างไรก็แค่ตาย หากไม่สู้ก็ตายอยู่ดี เช่นนั้นแทนที่จักรอความตาย ไฉนไม่สู้ตายไปเลยเล่า?”

เฉินหยวนซานกล่าว

ไม่นานภายใต้การยุยงของเฉินหยวนซาน เหล่าระดับสูงขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดทั้งหมด ก็เลือกที่จะลงมือจู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนสุดกำลัง ห่าพลังกระบวนท่าปานพลุไฟหลากสี โถมถันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด

“มาได้ดี”

สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงเล็กน้อย จิตต่อสู้เริ่มพวยพุ่งจากลูกตา จากนั้นคนก็เริ่มเหินร่างออกไป ไม่ใช้เคลื่อนมิติ แต่เลือกจะเปิดกางเขตแดนมิติ ห้วงมิติบิดเบือน พายุแม่เหล็กออกมาเต็มกำลัง ต้านทานรับทุกกระบวนท่าขององค์กรกะโหลกเลือดตรงๆ

ทันใดนั้นมือซ้ายพลันตวัดออกไปส่งๆ ปรากฏคุกมิติผุดจากความว่างเปล่า ล้อมกักร่างเฉินหยวนซาน ก่อนคุกดังกล่าวจะหดเล็กลงฉับไว บดขยี้ร่างมันจนแหลก…

จากนั้นมือขวาที่สะบัดออกไปพร้อมๆกันกับมือซ้าย ก็ผสานใช้พลังจากความลึกซึ้งพายุแม่เหล็กผนวกรวมเข้ากับเขตแดนห้วงมิติบิดเบือน สร้างสนามพลังสังหารเคี่ยวกรำผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดอย่างอำมหิต มันที่เค้นพลังชั่วชีวิตมาต้านทาน สุดท้ายก็ต้านได้ไม่ถึงครึ่งลมหายใจ ถูกพลังมิติกร่อนทำลาย ร่างสลายหายไปอย่างง่ายดาย

2 คนที่แข็งแกร่งที่สุดขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เพียงพบเจอหนึ่งกระบวนท่าก็ตกตายไม่เหลือแม้แต่ซาก เหล่าอาวุโสระดับสูงที่พึ่งเห็นฉากเรื่องราว พบว่าไม่เพียงการลงมือของตัวไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ร่างผู้อื่น กระทั่งผู้นำกับรองผู้นำของพวกมันยังไม่อาจรับได้แม้แต่ท่าเดียว ก็ประหนึ่งฝูงลิงแตกฮือหลังไม้ใหญ่โค่นล้ม

เรียกว่าตอนนี้ไม่มีใครในองค์กรกะโหลกเลือดหลงเหลือความคิดต่อสู้สืบไป พากันปะทุพลังชั่วชีวิตเหินร่างหลบหนีกันจ้าละหวั่น

ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!

อย่างไรก็ตาม คมมีดมิติ 9 สายที่พุ่งด้วยความเร็วฉับไวดั่งประกายแสงสีเทา ก็พุ่งผ่านร่างพวกมันทุกคนในเวลาไล่เลี่ยกัน ศีรษะมากมายถูกปลิดปลงหล่นร่วง ดวงตาของแต่ละหัวที่กลิ้งหลุนๆบนพื้นยังเบิกโพลง ฉายชัดถึงความไม่ยินยอม

“ตอนเจ้าอายุเท่านี้…ดูเหมือนจะยังทะลวงไม่ถึงจอมราชันอมตะเลยใช่ไหม?”

แต่ต้นจนจบจูเก่ออวิ๋นเฝ้ามองการลงมือของต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงบ จนเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนสามารถจบการต่อสู้ลงอย่างง่ายดาย นางก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามพี่ชายฝาแฝด

ผู้ที่ถูกถามก็เอ่ยตอบกลับมาเสียงเบา “เจ้าก็ด้วย”

ไม่ว่าจะจูเก่ออวิ๋นก็ดี จูเก่อฟงก็ดี ตอนที่ทั้งคู่มีอายุเท่าต้วนหลิงเทียน แต่ละคนยังไม่บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะด้วยซ้ำ

ยังป้วนเปี้ยนอยู่ในขอบเขตราชาอมตะอยู่เลย

ต้องทราบด้วยว่าพวกมันได้เข้าสู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะตั้งแต่เด็ก ได้รับการปลูกฝังในสภาพแวดล้อมอันยอดเยี่ยม ไหนจะมีทรัพยากรบ่มเพาะเลิศล้ำประเคนเข้ามาไม่ขาด แต่ความสำเร็จของพวกมันตอนอายุเท่าต้วนหลิงเทียน กลับไม่อาจเทียบต้วนหลิงเทียนได้ ยังด้อยกว่าอยู่มากด้วย

ดังนั้นพอเห็นต้วนหลิงเทียนประสบความสำเร็จด้วยวัยเพียงเท่านี้ พวกมันจึงละอายใจอยู่บ้าง

“ฆ่าหมดแล้ว เจ้าจะไปไหนต่อเล่า หรือจะกลับเลย?”

จูเก่ออวิ๋นเอ่ยถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม

“ท่านผู้อาวุโส ข้ายังเหลือเรื่องที่ต้องทำเป็นเรื่องสุดท้าย และเรื่องนี้ข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่านด้วย ข้าคิดไปเยือนเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาหลักในแดนไร้สิ้นสุดของหลิงหลัวเทียน…เนื่องจากข้ากังวลว่าคนของตระกูลเหอ จะแพร่ข่าวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับคฤหาสน์เฉวียนโยวออกไป จนทำให้เผ่าจิ้งจอกมายาของแดนไร้สิ้นสุดหันไประบายโทสะกับคฤหาสน์เฉวียนโยว”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อ พลางกล่าวเสียงเครียด “นอกจากนั้น ฮ่วนเอ๋อมีชีวิตอยู่เพิ่มหนึ่งวัน พวกมันก็คิดจะจับตัวฮ่วนเอ๋อไปเพิ่มอีกวัน…”

“จับฮ่วนเอ๋อ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของจูเก่ออวิ๋นหายไป ถูกความเย็นชาเข้ามาแทนที่ “เผ่าจิ้งจอกมายา ช่างกล้านัก!”

“ฮ่วนเอ๋อเป็นจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่จะปรากฏขึ้นในรอบหลายล้านปีของเผ่าจิ้งจอกมายา…แต่เพราะนางเป็นคนของตระกูลตู้ ทำให้ตระกูลจางกับตระกูลหยวนไม่อาจปล่อยให้นางเติบโตได้…”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ด้วยมีผู้อาวุโสทั้งสองไปกับพวกเรา…พอเราไปถึงเผ่าจิ้งจอกมายา ข้าอยากรบกวนอาวุโสทั้ง 2 ให้กล่าวคำข่มขู่พวกมัน ต่อไปพวกมันจะได้หวาดกลัวจนไม่กล้ามายุ่งกับฮ่วนเอ๋ออีก”

“แค่ขู่? เท่านั้นพวกมันไม่กกลัวหรอก…”

จูเก่ออวิ๋นเอ่ยออกเสียงเย็น “อย่างน้อยๆก็คงต้องฆ่าจักรพรรดิอมตะของพวกมันทิ้งสักคนสองคนเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู พวกมันจักได้รู้ว่าความกลัวเป็นเช่นไร…”

วาจานี้ของจูเก่ออวิ๋นทำให้ต้วนหลิงเทียนพูดไม่ออกจริงๆ

ฆ่าจักรพรรดิอมตะทิ้งสักคนสองคน?

จูเก่ออวิ๋นช่างกล่าวออกมาได้ง่ายดาย ราวจะไปซื้อหัวผักกาดในตลาดสักหัวสองหัว…

‘เมื่อไหร่ที่ข้าจะพูดวาจาอหังการแบบนี้ได้บ้าง…’

ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนอยู่ในใจ

เขารู้ดีว่าถึงตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาจะยกระดับพัฒนาไปมากจนเทียบได้กับจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดทั่วๆไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะใช้พลังทั้งหมดของเขาได้ตามอำเภอใจ

กระทั่งต่อหน้าพี่น้องจูเก่อ เขาก็ไม่กล้าจะใช้ไพ่ที่เขามีด้วยซ้ำ

ถึงแม้ดูแล้วตอนนี้พี่น้องจูเก่อจะเป็นคนดี แต่ผู้ใดจะไปรู้ ว่าหากทั้งคู่ค้นพบความลับในโลกใบเล็กของเขา ยังจะรักษาความดีเอาไว้ได้?

ในโลกมนุษย์ที่เขาเคยอยู่เมื่อชีวิตแรก เรื่องราวพี่น้องแท้ๆเข่นฆ่าแย่งชิงมรดกมีให้เห็นถมเถ กระทั่งบางครั้งเพื่อเงินไม่เท่าไหร่ก็ไม่ลังเลที่จะทำร้ายผู้อื่น และบางทีต่อให้สนิทกันมากแค่ไหน แต่พอเป็นเรื่องผลประโยชน์ก็เสมือนเปลี่ยนโฉมหน้ากลายเป็นปฏิปักษ์ทันที

ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ดี…

ต่อให้เขาจะมีกลวิธีมากมาย แต่ก็ไม่อาจใช้พวกมันอย่างเปิดเผยได้ เว้นเสียแต่จะถึงคราวจำเป็นจริงๆ

ในอดีตเขาพบแต่คนธรรมดาที่มีวิสัยทัศน์ไม่กว้างขวาง จึงไม่รู้จักเทพเบญจธาตุ…แต่ตอนนี้เขาอยู่ในแวดวงที่สูงขึ้น ระดับของคนรอบกายแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คนที่รู้จักเทพเบญจธาตุย่อมมีไม่น้อย

กระทั่งพี่น้องจูเก่อคู่นี้ ไม่แน่ก็อาจล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของเทพเบญจธาตุ กระทั่งรู้จักเทพเบญจธาตุ

“ผู้อาวุโส ท่านเคยได้ยินเรื่องเทพเบญจธาตุหรือไม่?”

ในขณะเดินทางไปยังตำหนักค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทววโลกเพื่อขึ้นไปยังแดนฟ้าสิ้นสุด 1 ใน 7 ภูมิภาคเบื้องบนของหลิงหลัวเทียน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามจูเก่ออวิ๋นกับจูเก่อฟงด้วสีหน้าสงสงสัย

“ย่อมต้องเคยได้ยิน”

จูเก่ออวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เทพเบญจธาตุเป็นสมบัติฟ้าดินอันเลิศล้ำ…พวกมันสามารถวิวัฒน์พัฒนา ยกระดับของตัวเองได้ ทำให้จะมีพลังอำนาจเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และมีคำกล่าวขานกันว่า ผู้ใดที่ครอบครอบเทพเบญจธาตุ ไม่ว่าจะธาตุใด ขอเพียงเทพเบญจธาตุนั้นๆพัฒนาถึงขั้นที่ 6 ก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตเทพได้แน่นอน!”

กล่าวถึงจุดนี้แววตาของจูเก่ออวิ๋นก็ฉายความโลภถึงที่สุด

‘เป็นอย่างที่คิดจริงๆ’

ได้ยินคำพูดของจูเก่ออวิ๋นทั้งเห็นสีหน้าแววตาอีกฝ่าย ผิวเผินต้วนหลิงเทียนยังเฉย แต่ในใจลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็น และรู้ว่าไม่อาจเปิดเผยเรื่องเทพเบญจธาตุออกไปโดยง่าย

และเขามั่นใจได้เลย ว่าตอนนี้หากเขาใช้พลังของเทพเบญจธาตุต่อหน้าจูเก่ออวิ๋นกับจูเก่อฟง ทั้งคู่ต้องตระหนักได้ทันทีว่าเขามีเทพเบญจธาตุ และไม่ใช่พลังจากพรสวรรค์แต่กำเนิดอะไรทั้งสิ้น

“ไฉนจู่ๆเจ้าจึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า?”

จูเก่ออวิ๋นมองถามต้วนหลิงเทียน

“ตอนที่ข้าอยู่ในแดนลับอัจฉริยะ ขณะผ่านไปบริเวณสถานที่ทดสอบหลอมโอสถอมตะ ข้าได้ยินอัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าเพลิงเทพโกลาหลที่เป็นเทพเบญจธาตุ และได้ยินมาว่ามันสามารถใช้ได้ทั้งหลอมโอสถอมตะกับอุปกรณ์อมตะ”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ข้าก็เลยได้รู้ว่านอกจากเพลิงอมตะแล้ว ยังมีเปลวเพลิงวิเศษแบบนี้อยู่ในฟ้าดินด้วย”

“เพลิงเทพโกลหลเป็น 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุเท่านั้น…”

จูเก่ออวิ๋นส่ายหน้าไปมา ยิ้มกล่าวว่า “นอกจากนั้นยังงมี ทองเทพสุดลี้ลับ ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน วารีเทพชำระโลกา และพฤกษาเทพครองสวรรค์…เทพเบญจธาตุใดๆหากเป็นแค่ขั้นที่ 1 ผู้คนจะไม่พบความวิเศษของมัน และอาจคิดว่ามันเป็นแค่สิ่งของไร้ประโยชน์”

“ถึงแม้ว่าเทพเบญจธาตุขั้นแรก จักไม่มีสิ่งใดในระนาบเทวโลกทำลายมันได้ กระทั่งต่อให้เป็นระนาบเทพเองก็อาจยืนยันไม่ได้ว่ามันคือเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เพราะใต้หล้ามีสิ่งที่ละม้ายคล้ายกันมากมายที่ไม่อาจทำลายได้ ทว่ามิใช่เทพเบญจธาตุ”

พอจูเก่ออวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงเรื่องทองเทพสุดลี้ลับ ที่ ‘เซี่ยเจี๋ย’ อา 3 ในชาติที่แล้วของเค่อเอ๋อมอบให้เขาโดยบอกว่าไม่รู้ว่ามันคืออะไร

เซี่ยเจี๋ยนั้นเป็นตัวตนขอบเขตเทพจากระนาบเทพ

อีกฝ่ายต้องล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของเทพเบญจธาตุแน่นอน แต่อาจจะไม่รู้ว่านั่นเป็นทองเทพสุดลี้ลับ

ก่อนหน้านี้เขาก็งุนงงอยู่บ้าง ว่าไฉนในเมื่อกระทั่งจูเก่ออวิ๋นนยังรู้จักเทพเบญจธาตุ แต่ทำไมเซี่ยเจี๋ยถึงไม่รู้จัก? แต่ที่แท้ดูเหมือนว่าไม่ใช่เซี่ยเจี๋ยไม่รู้จักเทพเบญจธาตุ แค่ไม่รู้ว่านั่นคือทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 เท่านั้น

“มีเพียงเทพเบญจธาตุตั้งแต่ขั้นที่ 2 ขึ้นไปถึงจะระบุเทพเบญจธาตุได้…ดังนั้นปกติแล้วยามที่เทพเบญจธาตุขั้นที่ 2 ถือกำเนิดขึ้น ไม่ว่าจะปรากฏที่ใด ก็มักสร้างทะเลโลหิตแห่งการช่วงชิงขึ้นที่นั่น อย่าว่าแต่จอมราชันอมตะ กระทั่งจักรพรรดิอมตะก็ยังอยากครอบครอง”

จูเก่ออวิ๋นกล่าว

‘แค่เทพเบญจธาตุขั้นที่ 2 แต่จักรพรรดิอมตะทั้งหลายก็พร้อมโดดเข้ามรสุมโลหิตเพื่อช่วงชิง?’

ได้ยินคำของจูเก่ออวิ๋น ใจต้วยหลิงเทียนก็สั่นไปไม่น้อย

เพราะภายในโลกใบเล็กของเขาตอนนี้ มีเทพเบญจธาตุครบ ที่สำคัญยังเป็นวิวัฒน์ถึงขั้น 6 หมดแล้ว…

หากมีคนรู้ว่าในร่างเขามีเทพเบญยจธาตุครบองค์ แถมยังกลายเป็นขั้นที่ 6 หมดแล้ว จักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลายจะไม่เฮโลแห่กันมาฆ่าเขาหรือไง?

คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลอบสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บลับๆ

ที่แท้เขาจึงได้รู้ว่าเทพเบญจธาตุในโลกใบเล็กภายในกายของเขาก็คือ ‘เผือกร้อน’ ยากจะถือ! หากมันถูกเปิดเผยขึ้นมา ดูจากความปรารถนาของจูเก่ออวิ๋นที่มีต่อเทพเบญจธาตุแล้ว เผลอๆอีกฝ่ายจะลงมือฆ่าเขาทิ้งเพื่อแย่งชิงเทพเบญจธาตุทันที ยังต้องฆ่าฮ่วนเอ๋อเพื่อปิดปากอีกด้วย!

“ถึงแล้ว…”

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็นำทุกคนมาถึงตำหนักเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่ง ที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกให้บริการ จากนั้นก็เคลื่อนย้ายไปยังแดนฟ้าสิ้นสุดทันที สำหรับที่ตั้งเผ่าจิ้งจอกมายานั้น ระหว่างที่ให้ทุกคนไปพักในเหลาอาหาร ต้วนหลิงเทียนก็ไปสืบเสาะจนพบในเวลาไม่ถึงวัน

‘เผ่าจิ้งจอกมายาของหลิงหลัวเทียนก็ถือเป็นขุมกำลังระดับ 1 เช่นกัน…แต่ความแข็งแกร่งก็เทียบได้กับนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำ นิกายปีศาจพันกร และเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ในแดนทักษินยุทธ์เท่านั้น ไม่อาจเทียบได้กับนิกายกระบี่หมื่นหายนะเลย’

เหตุไฉนที่ต้วนหลิงเทียนตัดสินไปเช่นนี้ ก็เพราะต้วนหลิงเทียนสืบพบว่าผู้ที่ปกครองแดนฟ้าสิ้นสุด ก็เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่ง

และในแดนฟ้าสิ้นสุดแห่งนี้ นอกจากผู้ปกครองดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีจักรพรรดิอมตะสมญานามคนที่ 2 ดำรงอยู่อีก…อย่างน้อยๆเท่าที่สาธารณะชนรู้ เผ่าจิ้งจอกมายาก็ไม่มี!

ขุมกำลังระดับ 1 หากมีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่ล่ะก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยให้จักรพรรดิอมตะสมญานามจากต่างถิ่นมาครอบครองดินแดนของตน

เช่นเดียวกับนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เผ่าหงส์ฟ้าโบราณ และตระกูลไป๋หลี่ของแดนทักษินยุทธ์

2 วันต่อมา

ต้วนหลิงเทียนกับพรรคพวกก็มาถึงสถานที่ตั้งเผ่าจิ้งจอกมายา

สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งของเผ่าหลักจิ้งจอกมายาในหลิงหลัวเทียนอีกด้วย โดยแบ่งแยกย่อยออกเป็น 2 ฝ่ายได้แก่ ฝ่ายตระกูลจาง และฝ่ายตระกูลหยวน และเป็นตระกูลจางกับตระกูลหยวนสาขาหลักของเผ่าจิ้งจอกมายา

‘ตอนนั้นจางจินอี้ที่คิดมาจับตัวฮ่วนเอ๋อกลับเผ่าหลักในแดนฟ้าสิ้นสุด ก็อ้างตัวว่ามาจากแดนฟ้าสิ้นสุด…แถมยังบอกว่ามันเป็นทายาทสายตรงของตระกูลจางแห่งเผ่าจิ้งจอกมายาอีกด้วย’

ต้วนหลิงเทียนลอบพึมพำในใจ ขณะมองไปยังถิ่นที่อยู่ของเผ่าจิ้งจอกมายา อันเต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุม…