WSSTH ตอนที่ 3,277 : หานอวิ๋นจิ่น

“ศิษย์น้องหญิงหว่านเอ๋อ”

ในขณะที่หงเหมยกำลังรัวตบไปยังศีรษะหงเฟยอย่างเมามัน ก็ปรากฏเสียงหล่อหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล จากนั้นก็ปรากฏร่างชายหนุ่มในคลุมสีน้ำเงินย่ำฟ้ามาหยุดลงเบื้องหน้าพวกต้วนหลิงเทียน

ด้านหลังชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงิน มีชายหนุ่มติดสอย้อยตามมาอีกคน

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินผู้นี้ หว่างคิ้วฉายชัดถึงความหยิ่งผยอง ราวกับเห็นทุกสิ่งต่ำชั้นกว่าตัว

เดิมต้วนหลิงเทียนคิดว่าศิษย์พี่หญิง 4 ของเขาคงสนิทกับอีกฝ่าย ทว่าพอเห็นศิษย์พี่หญิง 4 ของเขาเพียงหันไปมองพยักหน้าให้เบาๆ ไม่พูดอะไรสักคำ เขาก็รู้ว่าท่าทางจะไม่ได้สนิทกันเสียแล้ว

“เวิ่นหว่านเอ่อ ศิษย์พี่จิ่นกำลังคุยกับเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ”

ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงิน พอเห็นว่าเวิ่นหว่านเอ๋อไม่ได้แยแสชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินมากนัก ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวออกเสียงเข้ม

“จึกๆๆ..”

เวิ่นหว่านเอ๋อไม่คิดต่อปากต่อคำอะไรกับมัน แต่ไม่ใช่ว่าหูเหมยจะไม่พูด นางหันไปมองชายหนุ่มที่ลอยอยู่ด้านหลังชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินพลางกล่าวประชดออกมาด้วยรอยยิ้มดูแคลนว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ศิษย์ลำดับ 2 ของจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก กลับกลายเป็นสุนัขรับใช้ติดตามผู้อื่นต้อยๆแบบนี้?”

“ช่างทำให้ศิษย์อัจฉริยะอย่างพวกเรารู้สึกขายขี้หน้ายิ่งนัก!”

ขณะกล่าวถึงประโยคนี้ รอยยิ้มดูแคลนบนใบหน้าหูเหมยก็กลายเป็นหยามเหยียดไม่มีชิ้นดี

“หูเหมย เจ้าอยากตายนักหรือ?”

ได้ยินวาจาถากถางของหูเหมย สีหน้าชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปทันที มันโมโหจนหน้าเริ่มแดง ลูกตากลายเป็นเยียบเย็นฉายชัดถึงความอาฆาตแค้น

“ทำไม? หรือเซียวฉงอี้เจ้าคิดท้าประลองกับข้า?”

หูเหมยคลี่ยิ้มแสยะ “เช่นนั้นข้าก็อยากรู้นัก ว่าไม่นานมานี้เซียวฉงอี้เจ้าก้าวหน้าขึ้นมากน้อยเพียงใด…”

“เพราะหากข้าจำไม่ผิด…ครั้งสุดท้ายที่เจ้าท้าข้า ดูเหมือนคนแพ้จะไม่ใช่ข้า ทั้งไม่ทราบสุนัขตัวใดกันที่ร่ำร้อง ‘ข้ายอมแพ้แล้ว’ เสียงดังอย่างขลาดเขลาต่อหน้าข้าวันนั้น…”

กล่าวถึงประโยคท้ายรอยยิ้มเย้ยเยาะบนใบหน้าหูเหมย ก็กลายเป็นรอยยิ้มแดกดันหยันหยาม ทำให้สีหน้าชายหนุ่มมืดดำคล้ำลงปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก!

“หูเหมย พอได้แล้ว”

ตอนนี้เองชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินพลันกล่าวตัดบทออกมาด้วยน้ำเสียงห้ามสงสัย คุกคามผู้คนไม่น้อย!

“หานอวิ๋นจิ่น หากข้าเป็นเจ้าข้าคงไม่กล้าเสนอหน้ามาเจอหว่านเอ๋ออีกครั้งหรอก”

ถึงแม้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินจะแลดูไม่ง่ายที่จะล่วงเกิน แต่หูเหมยก็ไม่ได้พูดกับมันดีๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียจฉันท์นัก

“ศิษย์น้องเล็ก”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนแลดูงุนงงกับเรื่องราว เสียงผ่านพลังของศิษย์พี่ 6 หงเฟยก็ดังขึ้นในหูเขาพอดี “ 2 คนที่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้ ไอ้คนด้านหลังเรียกว่าเซียวฉงอี้ มันเป็นศิษย์คนที่ 2 ของจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก”

จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกที่ว่า ต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินเรื่องราวของมันมาบ้าง อีกฝ่ายเป็น 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ ชื่อเสียงของมันก็พอๆกับจักรพรรดิอมตะมังกรบู๊ พลังฝีมือเองก็พอๆกัน

“เจ้าเซียวฉงอี้นั่นมันก็เป็นศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 800-900 ปีเหมือนศิษย์พี่หญิง 3…อย่างไรก็ตามศิษย์พี่หญิง 3 อยู่ในอันดับที่ 2 ส่วนเจ้านั่นมันอยู่ที่ 3”

ได้ยินคำพูดดังกล่าวของหงเฟย ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

ศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมยคนนี้ ที่แท้เป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับ 2 ในช่วงอายุ 800-900 ปีเชียวหรือ?

จังหวะนี้เขาอดหันไปมองหูเหมยใหม่ไม่ได้ เพราะเขาไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่หญิง 3 ที่โผงผางราวนักเลงหญิงมาดอาเจ๊จะเป็นศิษย์อัจฉริยะที่ร้ายกาจไม่ใช่ชั่วแบบนี้!

“เจ้าเซียวฉงอี้นั่นมันท้าทายศิษย์พี่หญิง 3 หลายรอบแล้ว แต่ทุกครั้งมันก็ถูกศิษย์พี่หญิง 3 ทุบตีจนแพ้พ่าย!”

หงเฟยกล่าวถึงประโยคนี้ก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยพูดต่อ

“สำหรับเจ้าหนุ่มชุดสีน้ำเงินที่อยู่หน้าเซียวฉงอี้ มันเป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา และมีชื่อเสียงพอๆกับศิษย์พี่รอง”

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจกับชายที่ศิษย์พี่หญิง 3 ของเขาเรียกหาว่าหานอวิ๋นจิ่นอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดเลยว่าที่แท้อีกฝ่ายจะเป็นศิษย์อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงพอๆกับศิษย์พี่รอง

ในวังเทียนฉือมีเพียงศิษย์ที่โดดเด่นและอายุไม่ถึงพันปีเท่านั้น ถึงสามารถครองตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะได้

และ 5 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของวังเทียนฉือ ก็เป็นดั่งศิษย์อายุไม่ถึงพันที่แข็งแกร่งที่สุดในวังเทียนฉือ!

“เจ้านี่เรียกว่าหานอวิ๋นจิ่น และเป็นศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ…และจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับที่ว่า พลังฝีมือยังเหนือกว่าท่านอาจารย์เสียอีก”

หงเฟยกล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเบาๆ

จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานนามของวังเทียนฉือนั้น พลังฝีมือสูงส่งติด 1 ใน 3 ของวังเทียนฉือ ยังเหนือกว่าครูของเขาฉือหล่างอีก

ในอดีตเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว

“ศิษย์พี่ 6…ทำไมข้ารู้สึกว่าจะศิษย์พี่หญิง 3 ก็ดี ศิษย์พี่หญิง 4 ก็ดี แต่ละคนแลดูไม่ชอบขี้หน้าหานอวิ๋นจิ่นผู้นั้นเลยเล่า?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ถึงแม้เขาจะเป็นคนนอก แต่เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ่อรังเกียจหานอวิ๋นจิ่น

“ไม่ใช่แค่ศิษย์พี่หญิง 3 กับ 4 หรอกที่ไม่ชอบขี้หน้ามัน ข้ากับศิษย์พี่ 5 ไม่เว้นท่านอาจารย์ ล้วนเกลียดขี้หน้าไอ้สารเลวนี่ทุกคน”

“ที่เจ้ายังไม่รู้สึกเกลียดขี้หน้ามันตอนนี้ เพราะเจ้ายังไม่รู้ว่ามันทำอะไรมา”

หงเฟยกล่าวถึงจุดนี้ เสียงมันก็สูงขึ้นไม่น้อย

“หานอวิ๋นจิ่นผู้นี้มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน…ตอนแรกมันก็เข้ามาตามเกี้ยวพาศิษย์พี่หญิง 4 เรา และทุ่มเทเอาอกเอาใจนางอย่างยิ่ง แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่การหลอกลวง ลับหลังศิษย์พี่หญิง 4 มันมีสตรีอื่นอีกมากมาย กระทั่งไปหมกตัวกับสตรีอื่นทั้งคืน!”

“โชคดีก่อนที่ศิษย์พี่หญิง 4 จะตกลงปลงใจแต่งกับมัน ศิษย์พี่รองไปสืบจนรู้เรื่องนี้มาก่อน…หาไม่แล้วหากศิษย์พี่หญิงแต่งกับมันไป วันไหนที่รู้เข้าไม่พ้นต้องใจสลายแน่!”

“อย่างไรก็ตามแม้ศิษย์พี่หญิง 4 จะยังไม่ได้มอบกายให้มัน แต่ใจนั้นนางได้มอบให้มันไปทั้งหมดแล้ว…ศิษย์น้องเล็กเจ้าไม่รู้หรอก ว่ากว่าศิษย์พี่ 4 จะหลุดพ้นจากความเศร้าโศกและตัดใจจากมันได้ นางก็ต้องใช้เวลาไป 100 ปีเต็มๆ”

“ตลอดชั่วชีวิตศิษย์พี่หญิง 4 ไม่เคยรักผู้ใดมาก่อนเลย แต่มิคิดว่ารักแรกของนางที่แท้เป็นเพียงคำลวง…เจ้าเองก็คงนึกภาพออกกระมังว่าตอนนั้นนางเสียใจขนาดไหน”

“เป็นธรรมดาว่าตอนนี้ศิษย์พี่หญิง 4 ไม่เหลือเยื่อใยอะไรให้มันแล้ว จะมีก็แต่ความขยะแขยงทั้งรังเกียจเท่านั้น”

หลังได้ยินสิ่งที่หงเฟยเล่า สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองหานอวิ๋นจิ่น ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา

ศิษย์พี่หญิง 4 นั้นอ่อนโยนและสง่างามราวกับหยก แรกพบเขายังรู้สึกดีกับนางไม่น้อย

แต่สตรีที่อ่อนโยนนางนี้ หานอวิ๋นจิ่นผู้นั้นยังหลอกลวงทำร้ายนางได้ลงคอ?

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนกระทั่งฉือหล่างยังไม่ชอบขี้หน้ามัน มาหลอกลวงลูกศิษย์แบบนี้ หากยังเฉยๆอยู่ได้ก็คงแปลกแล้ว

“เพราะเรื่องของศิษย์พี่หญิง 4 ศิษย์พี่รองจึงไปยื่นคำท้าประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นทันที…แต่หานอวิ๋นจิ่นไม่กล้ายอมรับเพราะมันรู้ดีว่ามันไม่ใช่คู่มือของศิษย์พี่รอง”

“แต่ถึงมันไม่ยอมรับ ศิษย์พี่รองก็บุกไปถึงที่พักมัน กระทั่งบีบบังคับให้มันรับคำท้าประลองเป็นตายด้วยการทุบตีมันจนอาการสาหัสอยู่หลายรอบ…”

“แน่นอนว่าทุกครั้งที่ศิษย์พี่รองกระทืบมันปางตาย วังเทียนฉือก็จะลงโทษศิษย์พี่รองเช่นกัน”

หงเฟยกล่าวถึงจุดนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดสั่นไหวไปไม่ได้

ถึงแม้หงเฟยจะพูดราวกับไม่มีอะไรมากมาย

ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของศิษย์พี่รองจากเรื่องราวดังกล่าว กระทั่งรู้ทั้งรู้ว่าจะถูกวังเทียนฉือลงโทษ แต่ศิษย์พี่รองยังยืนหยัดออกหน้าเพื่อศิษย์พี่หญิง 4!

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นปกป้องศิษย์น้องของตัวเองขนาดไหน

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพนับถือศิษย์พี่รองมาดนิ่งขึ้นมาหลายส่วน

“แต่ศิษย์พี่รองก็ไม่เลิกรา ยังดอดไปทุบตีสารเลวหานอวิ๋นจิ่นจนหน้ายับหลายรอบ…จนตอนนั้นศิษย์พี่หญิง 4 ก็ได้แต่เกลี้ยกล่อมให้ศิษย์พี่รองเลิกทำร้ายตัวเองด้วยการไปตีไอชั่วนั่นได้แล้ว แต่ศิษย์พี่รองก็พูดตอบมาแค่ว่า…เป็นหน้าที่ของศิษย์พี่ที่ต้องดูแลศิษย์น้อง”

“สุดท้ายศิษย์พี่หญิง 4 ก็จำต้องใช้ความตายมาข่มขู่ ศิษย์พี่รองถึงได้เลิกราไป”

หงเฟยกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดลง

“ทำไม? หรือหูเหมยเจ้าคิดท้าข้าประลอง?”

หานอวิ๋นจิ่น มองหูเหมยด้วยสายตาดูแคลน คลี่ยิ้มแสยะถือดี “เจ้าคิดว่า เจ้ามีปัญญาสู้ข้าได้รึ?”

“หากเจ้าอยากประลองกับข้าก็ได้นะ ข้าหาได้นำพาไม่…ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า ว่าเดี๋ยวสุดท้ายเจ้าจะเป็นฝ่ายถูกศิษย์พี่รองของข้าตามไปกระทืบจนเปลี้ยเหมือนในอดีต!”

หูเหมยคลี่ยิ้มสดใสกล่าวสวนไปอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าเชื่อว่าหากเจ้าตีข้าทีนึง ศิษย์พี่รองจะกระทืบเจ้าสิบที! และคราวนี้อย่าได้หวังว่าอาจารย์ของเจ้าจะช่วยเจ้าได้อีก! เพราะตราบใดที่ศิษย์พี่รองไม่ฆ่าเจ้าหรือทำให้เจ้าพิการ วังเทียนฉือก็ไม่มีเหตุผลให้ลงโทษศิษย์พี่รอง!!”

ในวังเทียนฉือนั้น ศิษย์ใต้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนใด…หากถูกทำร้ายจนบาดเจ็บจากคู่ต่อสู้ที่มีอายุและพลังฝีมือเหลื่อมล้ำกันเกินไปจนเป็นการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรม ศิษย์พี่หรือศิษย์น้องใต้จักรพรรดิอมตะสมญานามคนเดียวกันสามารถตามไปล้างแค้นผู้ลงมือได้ แต่ต้องไม่เกินเลยจนเกินไป

ในอดีตตอนที่เวิ่นหว่านเอ่อ ศิษย์คนที่ 4 ของฉือหล่าง ถูกหานอวิ๋นจิ่นหลอกลวงจนใจสลายนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะเรื่องชู้สาว หากทว่านางโดนอีกฝ่ายทำร้ายร่างกายมาล่ะก็ ต่อให้หลู่จี้ ศิษย์คนที่ 2 ของฉือหล่างจะไปกระทืบหานอวิ๋นจิ่นเป็นการล้างแค้น ก็ไม่ถือว่าขัดต่อกฏของวังเทียนฉือแต่อย่างไร และวังเทียนฉือก็จะไม่ลงโทษในเรื่องนี้

“เฮอะ! เจ้าคิดว่าข้ากลัวหลู่จี้มากนักหรือ?”

ได้ยินคำพูดของหูเหมย สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นก็เปลี่ยนไปทันที ถลึงตามองหูเหมยด้วยสายตาเย็นชา

“ถ้าเจ้าไม่กลัว ก็มาทุบตีข้าตอนนี้เลยเป็นไง? มาสิๆ!!”

หูเหมยคลี่ยิ้มสดใส กวักมือเชื้อเชิญอย่างท้าทาย

“เฮอะ!!”

หานอวิ๋นจิ่นพ่นลมสบบถออกมาเสียงเย็น จากนั้นก็ทำราวกับไม่ได้ยินคำท้าของนาง กล่าวออกเสียงเรียบว่า “ที่ข้ามาวันนี่เพื่อศิษย์น้อง 4 ของข้า! คร้านจะรังแกตัวอ่อนแอเช่นเจ้า!!”

“อ๋อ งั้นเหรอ? แต่ข้าว่าเจ้ามันใจเสาะไม่กล้าลงมือตีข้ามากกว่ามั้ง?”

หูเหมนหัวเราะเยาะเย้ย กล่าวถากถางไปอีกคำ

“ผู้ใดคือต้วนหลิงเทียน? หาญกล้าท้าทายศิษย์น้อง 4 ของข้า นับว่าเจ้ากล้าหาญไม่เลว!”

สายตาหานอวิ๋นจิ่นกวาดมองไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้า จากนั้นก็ไปหยุดลงบนร่างต้วนหลิงเทียนที่หน้าไม่คุ้น “เจ้าคือต้วนหลิงเทียนเช่นนั้นรึ?”

“ฝานฉีเป็นศิษย์น้องของเจ้า?”

ต้วนหลิงเทียนลอยร่างออกมาเผชิญหน้ากับหานอวิ๋นจิ่น มองสบตาอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ค่อยแสยะยิ้ม “งั้นเจ้าก็อย่างลืมบอกศิษย์น้องเจ้าเล่า ว่าให้มันระวังตัวให้มาก”

“พอดีข้าลงมือไม่ค่อยรู้หนักเบาเท่าไหร่…”

กล่าวถึงประโยคท้ายน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนก็เยียบเย็นนัก

ถึงแม้เขาจะพึ่งพบเจอกับศิษย์พี่คนอื่นๆในด่านฉือหล่างไม่นาน แต่บรรยากาศในด่านฉือหล่างกลับทำให้เขารู้สึกสบายใจ คล้ายอยู่บ้านทุกคนแลดูสนิทใจเสมือนคนในครอบครัว

ตอนนี้ยังจะให้เขาสุภาพได้อย่างไรไหว เมื่อพบเจอกับศัตรูที่รังแกคนในครอบครัว?

“ฝานฉีมันไปเป็นศิษย์น้อง 4 ของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”

หูเหมยขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางพึ่งรู้เรื่องที่ฝานฉีไปเข้าร่วมกับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ และกลายเป็นศิษย์น้อง 4 ของหานอวิ๋นจิ่น…

“เรื่องพึ่งเกิดได้ 2 เดือน เจ้าจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก”

หานอวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มบางๆ

จากนั้นมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง กล่าวเคล้าเสียงหัวเราะเยียบเย็นว่า “หึหึ ไอ้หนู การท้าประลองศิษย์อัจฉริยะนั้น ยังสามารถเลือกรูปแบบการประลองได้ว่าจะให้เป็นการประลองตามปกติหรือการประลองเป็นตาย…ศิษย์น้อง 4 ของข้าย่อมพร้อมประลองเป็นตายกับเจ้า ว่าแต่เจ้าเล่ามีความกล้ารับคำท้าประลองเป็นตายหรือไม่?”

“หืม?”

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม “ข้าเกรงก็แต่ศิษย์น้องเจ้าจะไม่มีความกล้าเอ่ยท้ามากกว่า…หากมันกล้าท้า ข้าต้วนหลิงเทียนก็กล้ารับ!”

“ดี! ดีมาก!”

หานอวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มสดใส “หวังว่าเจ้าจักไม่ตกตายด้วยน้ำมือศิษย์น้อง 4 ของข้าเล่า…หาไม่แล้วสตรีงามข้างกายเจ้าคงต้องเปลี่ยวเหงาเพราะขาดบุรุษ”

กล่าวถึงท้ายประโยค สายตาหานอววิ๋นจิ่นก็หันไปมองฮ่วนเอ๋อทันที ยังเป็นสายตาแทะโลมมากราคะนัก

เพราะถึงฮ่วนเอ๋อจะสวมผ้าปิดปาก แต่ความงามอันไร้เทียมทานของนาง ไหนเลยจะโดนผ้าผืนน้อยบดบังได้มิด?

ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันขึ้นมาทันที

หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีผู้คนอยู่เยอะ และหากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ภาพรวม…เขาจะใช้พลังของเทพเบญจธาตุกุดหัวหานอวิ๋นจิ่นในกระบี่เดียว!

อย่างไรก็ตามถึงแม้หานอวิ๋นจิ่นจะยังไม่ตายในตอนนี้ แต่ในสายตาเขามันก็ถูกกำหนดให้เป็นคนตาย!