WSSTH ตอนที่ 3,285 : บดขยี้!
“ศิษย์น้องเล็ก เดี๋ยวเจ้ายั้งมือไว้ไมตรีด้วยเล่า…”
หูเหมยหันไปมองต้วนหลิงเทียน กล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อาจารย์ลุงเจิ้งกับท่านอาจารย์นั้นแม้จะมีปากเสียงกับท่านอาจารย์บ่อยๆ แต่ทั้งสองคนก็เป็นสหายกันมานานแล้ว”
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ
ได้ยินบทสนทนาของหูเหมยกับต้วนหลิงเทียน หนานหลิวเฟิงก็ยิ่งมีโมโห พลังสายฟ้าที่ปกคลุมไปทั่วร่างมันเริ่มปั่นป่วน เส้นสายอัสนีที่ม้วนพันรอบกายแล่นวาบแปลบปลาบไม่หยุด เสมือนเทพสายฟ้ากำลังพิโรธอย่างไรอย่างนั้น!
“ไอ้หนู! เข้ามา!!”
หนานหลิวเฟิงโจนร่างขึ้นไปยังฟ้าสูง จากนั้นก็กางมือออก ทำให้บรรยากาศโดยรอบเริ่มวิปริต ฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างไม่หยุด! มองไปคล้ายอสรพิษสีม่วงกำลังเต้นระบำรอบตัวมัน!!
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายัวไปมาเบาๆ จากนั้นก็ใช้เคลื่อนมิติ วูบร่างหายไปในอากาศว่างเปล่า ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ลอยอยู่เบื้องหน้าหนานหลิวเฟิงไม่ไกลแล้ว
“เคลื่อนมิติรึ!?”
เจิ้งอวี้อี้หยีตาลง จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับฉือหล่างด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง “ฉือหล่าง ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะได้ศิษย์ที่เข้าใจกฏมิติแบบนี้”
“อย่างไรก็ตามกฏมิติที่เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดนั้นยากจะเข้าใจยิ่งนัก…ในเมื่อศิษย์คนเล็กเจ้าอายุไม่ถึง 300 ปี เกรงว่าอย่างดีก็พึ่งเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ 2 ประการกระมัง?”
เจิ้งอวี้อีกล่าวคาดเดาออกมา
“2 ประการ?”
ได้ยินวาจาคาดเดาของเจิ้งอวี้อี้ ฉือหล่างก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา “เจ้ารอดูเอาเองแล้วกัน”
ตัดกลับมาบนฟ้า ด้านหนานหลิวเฟิงที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าถมึงทึง ก็กล่าวออกมาเสียงเข้มว่า “เจ้าหนู ข้าอยากชมดูนักว่าอาศัยเด็กน้อยอายุไม่ถึง 300 ปีเช่นเจ้า มันจะแน่สักแค่ไหน!”
“หากเจ้ายังไม่อาจเอาชนะข้าได้ เจ้าก็อย่าได้เข้าไปทดสอบในวิหารเฟิงฮ่าวให้อับอายเสียประเสริฐกว่า เพราะหากโชคร้ายเจ้าอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในนั้น!!”
หนานหลิวเฟิงกล่าว
“ลงมือเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับหนานหลิวเฟิงเสียงเบา
แต่ต้นจนจบสีหน้าท่าทางต้วนหลิงเทียนแลดูสบายๆให้สภาวะเอื่อยเฉื่อยราวเมฆเคลื่อนคล้อย สิ่งนี้ทำให้หนานหลิวเฟิงรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนไม่เห็นตัวมันอยู่ในสายตา พาลให้มีโมโหขึ้นมาเป็นฟืนไฟ!
“ฮึ!”
พ่นลมสบถเย็นๆออกมาคำหนึ่ง หนานหลิวเฟิงก็ลงมือทันที เส้นสายอัสนีที่แลบลั่นแปลบปลาบรอบกายมัน ดั่งอสรพิษสีม่วงฉีดเลือดไก่ พร้อมใจกันพุ่งทะยานจี้เข้าใส่ต้วนหลิงงเทียนอย่างดุร้าย!
ถึงแม้มันจะไม่ได้เห็นชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าเป็นศัตรูอะไร แต่หนานหลิวเฟิงก็ยังลงมือจริงจัง! เรียกว่านอกจากชักอาวุธแล้ว มันก็ไม่ได้ยั้งงมือแม้แต่น้อย!!
มันคิดเอาชนะ กระทั่งจะสำแดงพลังอันเหนือชั้น!
“เจ้ามีแรงแค่นี้หรือ?”
เพอเห็นการลงมือของหนานหลิวเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที ว่าหนานหลิวเฟิงคนนี้ ยังเทียบกับหลิวเจี้ยนที่ตายคามือเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
วูบ!
ต้วนหลิงเทียนใช้เคลื่อนมิติหายตัวไปปรากฏเหนือร่างหนานหลิวเฟิงในชั่วพริบตา และเพียงหนึ่งห้วงคิด ห้วงมิติรอบกายหนานหลิวเฟิงก็ปรากฏกรงลูกบาศก์ยากมองเห็นล้อมกักเอาไว้แล้ว
“หึ! เจ้าคิดว่าเท่านี้จะขังข้าได้หรือ?”
สัมผัสได้ถึงกรงมิติรอบกาย หนานหลิวเฟิงก็แสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็ควบคุมสายฟ้าให้เปลี่ยนทิศทางไปยังต้วนหลิงเทียนทันที
ทว่าวินาทีต่อมา มันก็มีอันต้องตะลึง
เพราะมันพบว่าห่าอัสนีที่มันจู่โจมออกไปเต็มกำลัง แม้ยามตกกระทบกับผนังกรงมิติจะทำให้ห้วงอากาศสั่นสะเทือนราวกับกรงมิติจะพังทลายอยู่รอมร่อ
อนิจจาหลังจากห่าอัสนีกระหน่ำไปสักพัก มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะพังทลายลงจริงๆ ราวกับทุกสิ่งอย่างเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
“มันจบแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย จากนั้นก็ใช้ความลึกซึ้งผ่ามิติออกมาทันที!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
คมมีดมิติสีเทาพุ่งออกจากรอยแยกมิติทั้ง 9 คล้ายเพิกเฉยกรงมิติ จี้เข้าใส่หนานหลิวเฟิงเร็วไว!
และพร้อมกันนั้นเอง พลังมิติอันรุนแรงหนึ่งก็อุบัติขึ้นรอบตัวหนานหลิวเฟิง!
“ระเบิด!”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ พายุแม่เหล็กรวมถึงความลึกซึ้งของกฏมิติประการอื่นๆก็เสมือนจุดชนวนระเบิด พวกมันปลดปล่อยพลังอันคุ้มคลั่เกรี้ยวกราดออกมาอย่างพร้อมเพรียง!
ครืนนน!!!!
พลังมิติมหาศาล โถมถันเข้าใส่หนานหลิวเฟิง ด้านคมมีดมิติทั้ง 9 สายเอง ก็บรรลุถึงตัวมันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ทว่าเพียงทิ้งรอยแผลอันสยดสยองเลือดโชกแล้วก็หายวับไปดื้อๆ!
ตูมมม!!
เสียงระเบิดหนึ่งดังขึ้นสนั่น เป็นพลังมิติอันมหาศาลซัดปะทะเข้าร่างหนานหลิวเฟิงอย่างจัง จนคนปลิวกระเด็นหมุนติ้วไปไม่เป็นท่า ปากกระอักโลหิตออกเป็นสาย พอขืนร่างค้างกลางหาวได้อีกครั้ง ก็เอาแต่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว ไม่กล้าทำอะไรอีกต่อไป
มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าชายยหนุ่มที่อายุน้อยกว่ามันจะมีพลังอัน่าพรั่นพรึงถึงระดับนี้!
และพลังจากความลึกซึ้งของกฏมิติที่อีกฝ่ายใช้ออกมาเมื่อครู่ นอกจากความลึกซึ้งเคลื่อนมิติที่บอกไม่ได้แล้ว ดูเหมือนจะบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งนั้น กล่าวได้อีกอย่าง…ความลึกซึ้งอีกอีก 7 ประการที่เหลือของกฏมิติ อีกฝ่ายเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดแล้ว!!
สำหรับอาจารย์ของหนานหลิวเฟิง จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง เจิ้งอวี้อี้ มันตกตะลึงกับเรื่องราวเบื้องหน้ามาสักพักแล้ว!
ศิษย์คนใหม่ของฉือหล่าง อายุไม่ทันถึง 300 ปีแท้ๆ แต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ 7 ประการแล้วหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ว่าความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของอีกฝ่ายจะยังไม่ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ก็แค่ไม่มีโอกาสได้ใช้เท่านั้น
เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่มันพูดอวดกับฉือหล่างตอนแรก จังหวะนี้เจิ้งอวี้อี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าเหลือเกิน ราวกับพึ่งถูกผู้คนตบหน้ามาจังๆ!
ตบ!
ตบหน้าดังฉาด!
จากนั้นเจิ้งอววี้อี้ก็ได้แต่มองไปยังฉือหล่างด้วยสายตาอิจฉาครั้งใหญ่ ค่อยคลี่ยิ้มเจื่อนๆเอ่ยถามฉือหล่างว่า “ฉือหล่าง…นี่เจ้าจงใช่หรือไม่?”
“จงใจ?”
ฉือหล่างอึ้ง จากนั้นก็ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ข้าจะไปจงใจได้อย่างไร ข้ากับเจ้า 3 ดูเหมือนจะไม่ได้เอ่ยสักคำว่าให้ศิษย์เจ้าประลองกับเจ้า 7 ใช่ไหม?”
“กลับกัน มีแต่เจ้ากับศิษย์ที่ไม่เชื่อว่าเจ้า 7 ของข้าร้ายกาจ ก็เลยอยากประลองชี้แนะดู…”
กล่าวถึงประโยคท้ายฉือหล่างก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอีกรอบ
ได้ยินคำพูดฉือหล่าง เจิ้งอวี้อี้ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หวนนึกย้อนดู ค่อยพบว่าสิ่งที่ฉือหล่างกล่าวเหมือนจะเป็นความจริง เพราะฉือหล่างกับหูเหมยไม่ได้พูดอะไรทำนองนั้นสักคำ
มีก็แต่พวกมันที่ไม่เชื่อและคิดว่าฉือหล่างกำลังเล่นลึกลับ พวกมันจึงไม่สนใจ
ตอนนี้พอผลออกมาก็ปรากฏว่าฉือหล่างไม่ได้เสแสร้งและหูเหมยก็ไม่ได้หลอก ชายหนุ่มนาม ‘ต้วนหลิงเทียน’ ที่อายุไม่ถึง 300 ปีคนนี้ มีพลังมากพอจะบดขยี้ศิษย์มันจริงๆ!
“หลิวเฟิง ไฉนเจ้ายังไม่ขอบคุณศิษย์พี่ต้วนที่เมตตาเจ้าอีก!”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่งเจิ้งอวี้อี้ก็สงบลง จากนั้นก็หันไปมองตะคอกใส่หลิวเฟิงก่อนใดอื่น
ก่อนหน้ากับศิษย์คนนี้แววตาของมันมีแต่ความชื่นชม ไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดังกับอีกฝ่าย…แต่พอเห็นศิษย์ผู้อื่นที่อายุน้อยกว่าด้วยซ้ำเอาชนะศิษย์ของมันได้อย่างง่ายดาย มันก็รู้สึกว่าศิษย์คนเล็กนี้ก็ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่คิด เช่นนั้นจึงไม่รู้สึกดีอะไรกับอีกฝ่ายมากอีกต่อไป
แต่แน่นอนว่ามันรู้ดีว่าตัวตนอย่างศิษย์คนเล็กของฉือหล่าง ต่อให้มองไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวล ก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจนัก!
“ขอบคุณศิษย์พี่ต้วนที่เมตตา”
ถึงแม้หนานหลิวเฟิงจะถือดี แต่มันก็นับถือคนที่แข็งแกร่งกว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่แข็งแกร่งกว่ามันแต่อายุน้อยกว่ามัน สิ่งนี้ทำให้มันรู้สึกนับถืออีกฝ่ายมากขึ้น
“ฉือหล่าง เจ้าจะโชคดีเกินไปแล้ว”
เจิ้งอวี้อี้ที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉือหล่างด้วยความอิจฉา ถามว่า “ฉือหล่าง ศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าผู้นี้เจ้าไปขุดมาแต่ที่ใด?”
“เจ้าหมายถึงต้วนหลิงเทียนน่ะรึ? พอดีเจ้า 7 มาทดสอบเพื่อเข้าร่วมวังเทียนฉือของข้าน่ะ และข้าก็รีบไปชักชวนมาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่เจ้า 7 จะกลายเป็นคนของวังเทียนฉือซะอีก…หลังจากนั้นก็อย่างที่เจ้าเห็น”
ฉือหล่างกล่าว
ตอนนี้เจิ้งอวี้อี้มีโมโหจนแทบกระอักเลือด!
หากฉือหล่างบอกว่าต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะได้ตัวต้วนหลิงเทียนมา มันยังพอทำใจได้
แต่ตอนนี้ฉือหล่างพูดราวกับต้วนหลิงเทียนพาตัวเองมาส่งถึงงหน้าประตู!
ไฉนมันถึงไม่มีโชคเช่นนี้บ้างเล่า?
“ไปเถอะ เข้าไปในวิหารเฟิงฮ่าวกัน”
ฉือหล่างหันไปชวนพวกต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เหินร่างนำทุกคนไปยังวิหารเฟิงฮ่าว
เห็นฉากดังกล่าวเจิ้งอวี้อี้ ก็รีบพาหนานหลิวเฟิงศิษย์ของมันตามไปติดๆ
“ครู ปกติวิหารเฟิงฮ่าวมีผู้คนมาทดสอบรับสมญานามตลอดเวลาเลยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามฉือหล่าง
“มิผิด”
ฉือหล่างพยักหน้า “วิหารเฟิงฮ่าวนั้นไม่เคยขาดผู้คนแวะเวียนเข้ามา และมีจอมราชันอมตะมากมายที่อยากได้สมญานามมาตลอดเวลา ทำให้พอมาถึงก็ไม่ต้องรออะไร เข้าไปทดสอบได้ทันที…หากเป็นจักรพรรดิอมตะก็ต้องรอสักครู่ เพื่อให้คนครบ”
“นี่เพราะจักรพรรดิอมตะที่แข็งแกร่งพอจะรับสมญานามนั้น ไม่ได้มีมากมายอะไร”
“สำหรับจอมราชันอมตะ มีนับไม่ถ้วน”
“อีกทั้งการทดสอบรับสมญานามของวิหารเฟิงฮ่าว ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นในระนาบเทวโลกแห่งเดียว…ก็เหมือนพวกเจ้า เดี๋ยวพอเข้าไปก็ไม่ใช่ว่าจะเจอแต่คนของอู๋หยาเทียนเท่านั้นที่มาทดสอบ แต่พวกเจ้าจะเจอคนจากระนาบเทวโลกอื่นๆด้วย”
คำพูดของฉือหล่าง ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที ว่าคู่แข่งที่ต้องการรับสมญานามนั้นมาจากทุกแห่งหน
“โดยปกติแล้ว ผู้ที่จะมาทำการทดสอบรับสมญานาม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นจอมราชันอมตะ 10 ทิศ หรือไม่ก็จอมราชันอมตะ 9 ตำหนัก นานๆครั้งถึงจะเห็นจอมราชันอมตะ 8 ชะตา…ทั้งหมดเพราะพวกมันไม่ได้มั่นใจในตัวเองขนาดนั้น”
“เป็นธรรมดาว่า ความเข้าใจในกฏของพวกมันก็มิได้ดีเด่อะไรมากมาย”
“ส่วนใหญ่แล้วกฏที่พวกมันเข้าใจก็จะเป็นกฏของธาตุทั้ง 5 ธรรมดาขั้นตอนคววามสำเร็จก็แค่เล็กน้อย หากมีผู้ใดเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นแค่จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้รับสมญานาม”
กล่าววถึงจุดนี้ฉือหล่างก็หยุด และหันมามองต้วนหลิงเทียนพักหนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อ “เจ้าอย่าได้ยึดศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเราเป็นมาตรฐานเชียว และนึกว่าคนอื่นๆจะเข้าใจความลึกซึ้งมากมายถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยังเยาว์…”
“นั่นเพราะทั้งหมดคือศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา! ใน 100 คนนั่นเจ้าสุ่มเลือกมาสักคน ให้เอาไปวางไว้ตรงไหนในอู๋หยาเทียนก็เป็นตัวตนระดับบสุดยอดอัจฉริยะ เจ้าอย่าได้ลืมไปซะเล่า…ว่าวังเทียนฉือเราคือขุมกำลังระดับสวรรค์ และเป็นขุมกำลังระดับแนวหน้าของอู๋หยาเทียนแล้ว”
“ข้างนอกยังมีจอมราชันอมตะ 10 ทิศที่ไม่แม้แต่จะเข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่สักประการ ยิ่งไปกว่านั้นคนแบบนี้ยังมีมากมาย”
“ที่ร้ายกาจเข้าหน่อยก็จะเข้าใจแค่ 1-2 ประการเท่านั้น”
คำพูดของฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สงสัยอะไร
เพราะอย่างที่ฉือหล่างบอก
จอมราชันอมตะสมญานามนั้น ไม่จำเป็นต้องงเป็นจอมราชันอมตะ 10 ทิศ จะเป็นจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดก็เป็นได้
เพราะในโลกของเหล่าอัจฉริยะ แม้ด่านพลังจะอยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่ขอเพียงมีความเข้าใจในกฏมากพอ ก็เอาชนะจอมราชันอมตะ 10 ทิศได้!