WSSTH ตอนที่ 3,286 : สถานที่ทดสอบ

ภายใต้การนำของฉือหล่าง ไม่นานทุกคนก็มาถึงวิหารเฟิงฮ่าว

ต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ชัดเจน ว่ายิ่งเข้าใกล้วิหารเฟิงฮ่าวมากเท่าไหร่ แรงกดดันที่วิหารเฟิงฮ่าวแผ่ออกมาก็จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

‘หากด่านพลังต่ำกว่าขอบเขตจอมราชันอมตะ และความเข้าใจในกฏไม่สูงนัก…เกรงว่าไม่อาจฝ่าแรงกดดันระดับนี้เข้ามาได้ด้วยซ้ำ’

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

แรงกดดันพลังที่แผ่ออกมา ไม่เพียงแต่จะสร้างภาระให้ร่างกายเขา กระทั่งจิตวิญญาณก็ด้วย อีกทั้งสิ่งนี้ฉือหล่างเอง ก็ไม่อาจช่วยต้านทานให้เขาได้

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ต้วนหลิงเทียนคนเดียวที่เป็นแบบนี้ ด้านหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ รวมถึงฮ่วนเอ๋อเองก็ชักสีหน้าจริงจังเหมือนกันหมด

“บททดสอบของจอมราชันอมตะสมญานาม กล่าวไปมันไม่ใช่สุ่มให้คน 10 คนเข้าไปพบเจอและเข่นฆ่ากันจนหาผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย แต่เป็นการส่งทุกคนเข้าไปด้านในแดนลับ และให้ 1 ใน 10 รอดกลับออกมาต่างหาก…”

ก่อนเข้าสู้วิหารเฟิงฮ่าว ฉือหล่างก็เริ่มกล่าวบอกรายละเอียดการทดสอบองวิหารเฟิงฮ่าว “พูดได้ว่าเมื่อเจ้าเข้าไป พวกเจ้าจะถูกส่งเข้าไปในแดนลับเดียวกัน…”

“แต่แน่นอนว่าคงยากที่พวกเจ้าจะพบเจอกันได้”

“อย่างไรก็ตามเพราะมีจอมราชัอมตะจากระนาบเทวโลกอื่นๆเข้ามาด้วย..เช่นนั้นการจะตามหาคนอื่นๆอีก 9 คนแล้วเข่นฆ่าเพื่อกลับออกมาก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร”

ฉือหล่างกล่าวสืบต่อ

“นอกจากนั้น ด้านในยังมีด่านทดสอบย่อยซึ่งถือเป็นสถานที่บ่มเพาะชั้นดี…บางทีหากติดจุดรอคอยอันใด การเข้าไปในนั้นก็สามารถช่วยให้ทะลวงผ่านได้”

ฉือหล่างกล่าวเล่าเสียงเรียบ

หลังฟังคำพูดฉือหล่างไปเพลินๆ ต้วนหลิงเทียนและทุกคนก็มาถึงประตูวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว

ประตูของวิหารเฟิงฮ่าวเป็นประตูขนาดมหึมา 2 บาน มองเข้าไปก็พบเจอแต่ความมืดไร้สิ้นสุด

และเบื้องหน้าประตูทั้ง 2 บาน ยังมีแท่นศิลาขนาดมหึมาแท่นหนึ่งตั้งอยู่

และประตูทั้ง 2 บานที่ว่า บานหนึ่งมีผู้คนเข้าออกหนาตา ส่วนอีกบานนั้นมีคนผ่านเข้าออกบางตา ยังมีบางคนที่หยุดยืนอยู่หน้าประตูคล้ายลังเลไม่กล้าเข้า

“ประตูบานนั้น มีไว้สำหรับจักรพรรดิอมตะที่จะมารับสมญานาม”

ฉือหล่างมองไปยังประตูที่มีผู้คนบางตา พลางกล่าวอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟัง “ตอนที่ข้ามาทดสอบรับสมญานาม เพื่อเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ต้องผ่านประตูบานนั้นเช่นกัน”

“เจ้าสังเกตเห็นแท่นศิลาขนาดใหญ่หน้าประตูทั้ง 2 หรือไม่ มันมีรายชื่อจอมราชันอมตะสมญานาม กับจักรพรรดิอมตะสมญญานามทั้งหมดในระนาบเทวโลกที่ผ่านการทดสอบจากวิหารเฟิงฮ่าวบันทึกไว้”

“แท่นศิลาที่บันทึกรายชื่อจอมราชันอมตะสมญานามเอาไว้ ไม่มีอาคมจำกัดอันใด ทำให้เจ้าสามารถใช้อมตะเก็บความทรงจำเพื่อบันทึกรายชื่อดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นดูได้”

“อย่างไรก็ตาม แท่นศิลาที่บันทึกรายชื่อจักรพรรดิอมตะสมญานามเอาไว้ มีอาคมลี้ลับบางอย่างทำให้เจ้ามิอาจบันทึกข้อมูลออกไปได้ หากผู้ใดอยากดูรายชื่อจักรพรรดิอมตะสมญานาม ก็มีแต่ต้องมาเยือนวิหารเฟิงฮ่าวด้วยตัวเอง”

“ประตูด้านซ้ายนั่นเป็นของจอมราชันอมตะ”

“เจ้าเองก็ต้องผ่านเข้าไปในประตูนั้น”

“ประตูบานซ้าย มีไว้สำหรับจอมราชันอมตะที่ต้องการสมญานามเท่านั้น…หากไม่ใช่จอมราชันอมตะหรือมีด่านพลังเหนือกว่า ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้เด็ดขาด…หากเผลอเข้าไปก็มีแต่ต้องอยู่ในนั้นตลอดกาล”

“ข้าไม่รู้ว่าในระนาบเทวโลกอื่นๆเป็นแบบนี้หรือไม่ แต่สำหรับวิหารเฟิงฮ่าวที่อู๋หยาเทียนแห่งนี้ เคยมีจักรพรรดิอมตะคิดสัปดนหมายเข้าไปในประตูของจอมราชันอมตะมาแล้วหลายต่อหลายคน…แต่ทั้งหมดพบพานชะตาดุจเดียวกัน มิอาจหวนกลับออกมาตลอดกาล”

ฉือหล่างกล่าวถึงท้ายประโยคสีหน้าก็แลดูจริงจังไม่น้อย “ข้าเองก็ทำได้แค่มาส่งพวกเจ้าถึงหน้าประตูเท่านั้น”

“ต่อไปพวกเจ้าต้องเข้าไปกันเอง แล้วผ่านการทดสอบรับสมญานามของจอมราชันอมตะเสีย”

ฉือหล่างกล่าวอธิบายจบ ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นก็ม่ายืนอยู่เบื้องหน้าประตูบานเขื่อแล้ว

ด้านเจิ้งอวี้อี้ก็อธิบายให้หนานหลิวเฟิงฟังจบแล้วเช่นกัน และหนานหลิวเฟิงก็ก้าวอาดๆนำเข้าประตูไปอย่างห้าวหาญ เรียกว่าพลังฝีมืออาจไม่เท่าไหร่ แต่ใจมันได้จริงๆ!

“พวกเจ้าก็ไปเถอะ”

ฉือหล่างกล่าวกับพวกต้วนหลิงเทียน

“ไปๆ ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องหญิงฮ่วนเอ๋อ ลุยโลด!!”

หูเหมยจับมือขาวเรียวของเวิ่นหว่านเอ๋อไว้แน่น หลังกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนแล้ว นางก็นำลิ่วเข้าประตู ตามหนานหลิวเฟิงไปติดๆ

“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ”

ต้วนหลิงเทียนก็เดินเคียงกับฮ่วนเอ๋อเข้าประตูดังกล่าวไป

หลังจากเดินเข้ามาในประตู ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพลังอ่อนโยนไร้สภาพหนึ่งแผ่มาปกคลุมทั่วร่างเขากับฮ่วนเอ๋อ จากนั้นก็หอบหิ้วพวกเขามุ่งหน้าล่วงลึกเข้าไปด้วยความเร็วที่สูงล้ำเป็นอย่างมาก!

พลังอ่อนโยยนดังกล่าว ไม่เพียงปกกคลุมไปทั่วร่างเท่านั้น ยังปิดกั้นการมองเห็นของต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อเอาไว้ จนเมื่อสองตาแลเห็นแสงสว่างกันอีกครั้ง ก็พบว่าเท้าได้ย่ำเหยียบอยู่บนพื้นที่ไหนสักแห่งแล้ว

ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีผู้คนกระจายตัวอยู่โดยรอบเต็มไปหมด

“ศิษย์น้องเล็ก ทางนี้!”

ทันใดนั้นเองเสียงหูเหมยก็ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน เขาจึงตระหนักว่าหูเหมยยืนห่างออกไปจากเขาราวๆ 10 ก้าว

“ศิษย์พี่หญิง”

หลังได้ยิน ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

“พี่หลิงเทียนอย่าขยับ”

อย่างไรก็ตาม ฮ่วนเอ๋อพลันหยุดเขาเอาไว้ก่อน

“หืม?”

ต้วนหลิงเทียนมองไปที่ฮ่วนเอ๋อด้วยความสงสัย

“พี่หลิงเทียน ที่ท่านกำลังเห็นอยู่ มันเป็นภาพลวงตา”

พอเสียงฮ่วนเอ๋อดังจบคำ สองตานางก็หดเล็ก จากนั้นพลังวิญญาณขุมหนึ่งพลันกำจายออกไปทั่ว 4 ทิศ 8 ทาง ทำให้ฉากเรื่องราวโดยรอบบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปพลิกฟ้าคว่ำดิน

ต้วนหลิงเทียนพบได้ทันทีว่าที่แท้เขาอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

และหลายคนในห้องโถงก็แลดูเลื่อนลอยยไร้สติ บ้างแม้จะมีผู้คนรอบๆตัว แต่ก็ทำเหมือนมองไม่เห็น กระทั่งหากเขาเดินต่อไปเมื่อครู่ ก็ไม่พ้นต้องชนกับคนอื่นไปแล้ว

“พวกนั้นยังไม่หลุดออกมาจากภาพลวงตา”

ฮ่วนเอ๋อกล่าว

“เป็นภาพลวงตาที่แยบยลอะไรจะขนาดนี้ ข้าไม่เห็นร่องรอยใดๆเลย”

ขณะกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ต้วนหลิงเทียนที่นึกอะไรได้ก็รีบหันไปถามฮ่วนเอ๋อทันที “ฮ่วนเอ๋อ แล้วภาพลวงตานี่มันทำร้ายผู้คนรึเปล่า?”

“ไม่”

ฮ่วนเอ๋อส่ายหน้าไปมา “เป็นแค่ภาพลวงตาที่สร้างความสับสนให้ผู้คนเฉยๆ คล้ายระเบิดควัน มีผลอยู่สักพักเท่านั้น”

“ศิษย์พี่หญิง 3”

ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นหูเหมยอีกครั้ง และหูเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆเวิ่นหว่านเอ๋อก็กำลังขมวดคิ้ว มองจ้องไปยังเวิ่นหว่านเอ๋อด้วยท่าทางไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ต้วนหลิงเทียนเดินไปหาอีกฝ่ายพร้อมฮ่วนเอ๋อ จึงพบว่าศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อที่ปกติมีหน้าตาอ่อนโยนเหมือนหยก ตอนนี้กำลังชักสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ราวกับเห็นบางอย่างที่สะท้านสะเทือนอารมณ์

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าหลุดออกจากภาพลวงตาได้แล้วเหรอ?”

พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินเข้ามา หูเหมยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเวิ่นหว่านเอ่อด้วยรอยยิ้มเหยเก “ศิษย์น้องหญิง 4…ดูเหมือนจะยังติดอยู่ในภาพลวงตา”

“ศิษย์พี่หญิง 3 พวกท่านเข้ามาพร้อมกัน? ไม่ใช่ว่าสมควรติดอยู่ในภาพลวงตาเหมือนกันหรอกหรือ”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ถามด้วยความสงสัย

“ก็ใช่ตอนแรกพวกเราก็ติดอยู่ในภาพลวงตาเหมือนกัน…และพวกเราก็เห็นว่ามีคนกำลังจะทำร้ายพวกเจ้า พวกเราจึงแยกย้ายกันออกไปขัดขวาง”

หูเหมยคลี่ยิ้มขื่นขม “แต่พอดีข้าศึกษาเรื่องวิชาลวงตามามาก ทำให้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติและตื่นขึ้นก่อน..ทว่าศิษย์น้องหญิง 4 ไม่ค่อยศึกษาเรื่องพวกนี้ จึงทำให้นางไม่อาจรู้สึกตัวและยังติดอยู่ในนั้น”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับรู้ก่อน ค่อยหันไปมองถามฮ่วนเอ๋อ “ฮ่วนเอ๋อ เจ้ามีทางช่วยศิษย์พี่หญิง 4 ไหม?”

แทบจะพร้อมกันกับที่เสียงเอ่ยถามของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ สองตาฮ่วนเอ๋อหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็ปรากฏลำแสงสีขาว 2 สายพุ่งออกจากดวงตาชำแรกเข้าร่างเวิ่นหว่านเอ๋อ…จากนั้นเวิ่นหว่านเอ๋อก็ฟื้นสติ พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ยืนอยู่ด้วยกัน นางก็ได้แต่กล่าวออกมาด้วยความอื้ออึง “ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องฮ่วนเอ๋อ ศิษย์พี่หญิง 3…”

“อ๋า…เมื่อครู่เป็นภาพลวงตาหรอกหรือ?”

เวิ่นหว่านเอ๋อตระหนักเรื่องราวได้ทันที

“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนว่าหลังเข้ามาในวิหารเฟิงฮ่าวจะพบเจอกับภาพลวงตา”

หูเหมยส่ายหัว

“มีคุณสมบัติ”

แทบจะพร้อมกันกับที่หูเหมยพูดจบ เสียงกล่าวพึมพำเฉยเมไร้อารมณ์หนึ่งพลันดังขึ้น ปลุกเหล่าผู้ที่ยังติดอยู่ในภาพลววงตาให้คืนสติทันที

จากนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือโถงใหญ่ ก็ปรากฏหมอกสีดำค่อยๆคววบรวมเข้าด้วยกกัน สุดท้ายก็ก่อเกิดเป็นร่างมนุษย์ร่างหนึ่ง เป็นสตรีในชุดสีดำสนิท ลักษณะท่าทางน่าเกรงขามเป็นที่สุด

สตรีชุดดำที่ใบหน้าสะสวยแต่เต็มไปด้วยความเฉยชากวาดมองไปยังต้วนหลิงเทียนและคนอื่ๆด้วยสายตาเยียบเย็น “พวกเจ้าที่มาเข้าร่วมการทดสอบจอมราชันอมตะสมญานาม มีบางคนที่สามารถหลดพ้นจากภาพลวงตาได้เร็วไว บ้างก็ใช้เวลานาน และบางคนแทบมิอาจหลุดพ้นได้ตลอดกาล…”

“พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือถึงได้หาญกล้ามาทดสอบเป็นจอมราชัอมตะสมญานาม?”

“ฮึ!”

“หวังว่าพวกเจ้าจักไม่ทำให้วิหารเฟิงฮ่าวสาขาอู๋หยาเทียนของพวกเราต้องอับอายขายหน้า!”

พอเสียงของสตรีชุดดำดังจบคำ ไม่ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนและอีกหลายสิบคนในห้องโถงจะทันได้ทำอะไร ทุกคนก็รู้สึกเสมือนมีพลังบางอย่างปกคลุมไปทั่วร่าง จับโยนเข้าไปยังประตูที่มีลักษณะเป็นวังวนมิติที่อยู่ๆก็อุบัติขึ้น ทำให้สองตาเห็นแต่ความมืดอีกครั้ง

“ตอนนี้ข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังแดนลับ…จงไปตามหาผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆอีก 9 คนแล้วฆ่าพวกมันเสีย พอฆ่าได้ 9 คนแล้ว พวกเจ้าก็จักถูกส่งตัวกลับมารับตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานาม”

ในขณะที่สองตาแลเห็นแต่ความมืด เสียงสตรีชุดดำก็ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

ครู่ต่อมาดวงตาต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่ในหุบเขาที่แลดูงดงามเต็มไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ธารน้ำไสไหลเย็นเห็นตัวปลา บนฟ้าเต็มไปด้วยมวลหมู่สกุนาส่งเสียงเจื้อแจ้วหยอกล้อกัน ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบใจอย่างประหลาด

“ที่นี่…เป็นสถานที่ทดสอบรับสมญานามของจอมราชันอมตะงั้นหรือ?”

หลังต้วนหลิงเทียนกวาดมองไปรอบๆสักพัก เขาก็พบว่าไม่อาจมองเห็นฮ่วนเอ๋อและคนอื่นๆได้เลย กระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้คนด้วยซ้ำ

“พี่สาวสุ่ย”

ต้วนหลิงเทียนฉุกคิดถึงสถานที่ๆวารีเทพชำระโลกาเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้า จึงเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกาในโลกใบเล็กทันที “แล้วต่อไปข้าต้องทำอย่างไรหรือ?”

พอเสียงกล่าวถามของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ วารีเทพชำระโลกาก็ตอบกลับเร็วไว “ไม่คิดเลยว่าการทดสอบจอมราชันอมตะสมญานามจักเป็นเช่นนี้…ก่อนหน้าข้านึกว่าจอมราชันอมตะ 10 จักถูกสุ่มไปปรากฏอยู่ในด่านทดสอบย่อยเดียวกัน แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกจับโยนเข้ามาในแดนลับอย่างไม่เจาะจง และให้ไปหาคน 9 คนเพื่อเข่นฆ่าจึงจะออกไปได้เช่นนี้…”

“แต่เจ้ามิต้องกังวลแดนลับหรือสถานที่ทดสอบแห่งนี้ ย่อมมีด่านทดสอบย่อยที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเหลือทิ้งไว้ไม่น้อย..เจ้าออกตระเวนหาสถานที่ทดสอบสักพักเดี๋ยวก็เจอ จากนั้นก็อาศัยแรงกดดันวิญญาณของสถานที่ทดสอบที่ว่า เพื่อช่วยให้เจ้าหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพดูดกลืนมาได้เร็วไว ถึงตอนนั้นเจ้าก็จักเริ่มกระบวนการควบแน่นพลังสร้างร่างอวตารกฏได้ไม่ยาก”

วารีเทพชำระโลกา “ตอนนี้เจ้าเลือกสักทางแล้วมุ่งหน้าไปค้นหาด่านทดสอบเถอะ”

“เอาล่ะ”

พร้อมๆกับที่ขานรับ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบหุบเขาทันที เมื่อพบว่าไม่มีอะไรพิเศษแล้ว เขาก็สุ่มเหินร่างไปยังทิศทางหนึ่งทันที

“ไม่รู้ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อกับคนอื่นๆถูกส่งไปอยู่ที่ไหน…”

ใจต้วนหลิงเทียนลอบคิดถึงคนอื่นๆ

“จอมราชันอมตะทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกมารวมตัวกันที่นี่เพื่อทดสอบรับสมญานาม…และมีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับออกไปได้ ฆ่าจอมราชันอมตะ 9 คน!”