ตอนที่ 3,335 : ความจริงเปิดเผย
“เหลยอิง พวกมันมุ่งหน้าไปทางใด?”
จ้าววังเทียนฉือ จักรพรรดิอมตะพินิจเอกอุ โหยวเฟิงอวี้ ที่เห็นร่างนํามาถึงก็เอ่ยถามเหลยอิงด้วยน้ำเสียงใจเย็น
โหยวเฟิงอวี้มาในชุดคลุมสีขาวขลิบทอง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา หว่างคิ้วให้ความรู้สึกราวกับผู้ยิ่งใหญ่ไร้แยแสโลกหล้า ถึงแม้เสียงที่เอ่ยถามจะฟังดูสงบ แต่ในแววตากลับฉายชัดถึงสีสันดุร้ายน่าพรั่นพรึง ให้ความรู้สึกกระหายประการหนึ่ง ราวมันพร้อมจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คนทั้งเป็น!
“ไปทางนั้น”
เหลยอิงขานรับพลางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“เจ้าแน่ใจว่าพวกมันทั้ง 6 เดินทางไปด้วยกัน?”
โหยวเฟิงอวี้เอ่ยถามอีกรอบ
“ข้ามั่นใจ”
เหลยอิงพยักหน้ารับอีกรอบ
“ไล่พวกมันให้ทันก่อนค่อยว่ากัน”
ทันใดนั้นทั่วร่างโหยวเฟิงอวี้ก็ปลดปล่อยแสงพลังสีเขียวครามออกมา จากนั้นก็อุบัติสายลมแรงกําจายผ่านฟ้ากวาดหมู่เมฆเบื้องบนจนปลิวหาย พริบตาต่อมาร่างคนทั้ง 9 รวมถึงโหยวเฟิงอวี้ ก็ถูกพลังขุมหนึ่งห่อหุ้ม จากนั้นทั้ง 9 ก็เหาะตัดฟ้าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!
โหยวเฟิงอวี้นั้นเชี่ยวชาญกฏแห่งลม
หากจะวัดกันในแง่ความเร็วแล้ว ผู้ที่มีความเข้าใจในกฎระดับเดียวกับมันแต่เป็นกฏอื่น เกรงว่าคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเทียบความเร็วของมันได้!
และตอนนี้มันอาศัยพลังของตัวเองเพียงลําพังหอบหิ้วจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉืออีก 8 คน แต่ความเร็วในการเหาะเหินกลับเหนือกว่าให้จักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 8 คน แยกกันเดินทางด้วยพลังของตัวเองเสียอีก
ซู่มมม!!
จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 9 ของวังเทียนฉือ บัดนี้ทะยานข้ามฟ้าไปด้วยความเร็วสุดที่กลุ่มต้วนหลิงเทียนจะเทียบได้ ทําให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองกลุ่มค่อยๆหดกระชั้นขึ้นทุกขณะ
“เหลยอิง ว่าแต่พวกมันมีกันแค่ 6 คนเท่านั้นรึ?”
จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง หันไปมองเหลยอิงพลางถาม
“ไม่ มี 8”
เหลยอิงตอบสั้นๆ
“8 คนรึ?”
และคําตอบของงเหลยอิง ไม่เพียงทําให้ฉือหล่างเท่านั้นที่ตกใจ กระทั่งโหยวเฟิงอวี้ และคนอื่นๆเองก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองถามนางด้วยความสงสัยเพิ่มเติม “แล้วอีก 2 คนเป็นผู้ใด?”
“ข้าเห็นเพียงแผ่นหลังไวๆของอีก 2 คนนั่นเท่านั้น…หนึ่งในนั้นให้ความรู้สึกคุ้นๆ แค่ข้ายังนึกไม่ออกว่ามันเป็นแผ่นหลังของผู้ใด”
เหลยยอิงขมวดคิ้ววเบาๆ
ว่ากันตามตรง กลุ่มเผยหยวนจี๋เมื่อครู่นั้น นางเห็นหน้าชัดๆเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น และมันก็คือ 2 ใน 6 จักรพรรดิอมตะสมญานามที่ถูกขังอยู่ในเรือนจําชั้น 3 ของคุกหมื่นพันธนาการ จักรพรรดิอมตะอัสนีกัมปนาทเถิงฉงป้า กับจักรพรรดิอมตะผกาทอง เซี่ยจินฮัว
สําหรับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 4 คนไม่เว้ยเผยหยวนจี๋ นางเพียงสรุปเอาจากความทรงจําเลือนรางกับการคาดเดาส่วนตัวเท่านั้น
แน่นอนว่านอกจากจักรพรรดิอมตะสมญานาม 6 คนนั่นแล้ว ยังมีอีก 2 คนที่เพิ่มขึ้นมา
ในบรรดา 2 คนนั่น หนึ่งในนั้นนางแปลกตามากเหมือนจะไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนแผ่นหลังของชายหนุ่มชุดม่วง ทําให้นางบังเกิดความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาราวกับเคยเห็นที่ไหนสักแห่งแต่ปุบปับกลับนึกไม่ออก
“สมควรเป็นนักโทษของคุกหมื่นพันธนาการที่ติดสอยห้อยตามพวกมันไปด้วย…”
จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอกกล่าว “อย่างไรก็ตาม พวกมันสามารถร่วมเดินทางไปกับจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 นั่นได้จะมากจะน้อยก็สมควรรู้จักกัน ไม่แน่ก็อาจมีสัมพันธ์กับ 1 ใน 6 จักรพรรดิอมตะสมญานามนั้น หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 จะนําพาตัวถ่วงไปด้วย”
ข้อสันนิษฐานของจักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก ก็เป็นทํานองเดียวกับความคิดของทุกคน
“2 คนนั่นจักเป็นผู้ใด เดี๋ยวตามพวกมันทันก็รู้เอง”
โหยวเฟิงอวี้เอ่ยออกเสียงเรียบ แต่ก็ไม่ยากที่จะสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันที่แฝงในวาจา
“จ้าววัง ว่าแต่คราวนี้มีคนหลบหนีออกจากคุกหมื่นพันธนาการได้กี่คนหรือ มีแค่จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 นั่นกับอีก 2 คนแปลกหน้าเท่านั้นรึ?”
จักรพรรดิอมตะมังกรกู้ฉางเจียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ยกเว้นนักโทษที่เป็นศิษย์ของวังเทียนฉือเราในเรือนจําชั้น 1…ที่เหลือล้วนหลบหนีออกมาได้ทั้งหมด!”
คราววนี้ในวาจาของโหยวเฟิงอวี้เสมือนมีคลื่นลมก่อตัวแล้ว ไม่อาจสงบได้อย่างเคย
“อะไร?!”
“หลบหนีออกมาได้ทั้งหมด…”
สิ้นคํากล่าวโหยวเฟิงอวี้รอบนี้ ไม่ว่าจะจักรพรรดิอมตะมังกรบกู้ฉางเจียง จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง รวมถึงคนอื่นๆที่ยังไม่ทราบเรื่องราวก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
“คราวนี้พวกเรามุ่งเน้นจับแค่จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 6 นั่นให้ได้ก็พอ…ส่วนอีก 2 คนนั่นฆ่าพวกมันทิ้งได้ทันที!”
โหยวเฟิงอวี้เอ่ยออกเสียงเข้ม
และคําพูดของโหยวเฟิงอวี้ ไม่เพียงเผยให้เห็นโทสะอันเดือดดาล แต่ทําให้ทุกคนแทบจะเห็นรังสีฆ่าฟันยิ่งพุ่งออกจากลูกตาแล้ว!
“จ้าววัง ท่านสอบถามเรื่องราวจากคนในคุกหมื่นพันธนาการได้หรือไม่ ข้าอยากทราบนักว่าเหลยจวิ้นลูกชายของข้าตกตายได้อย่างไร มีผู้ใดรู้เรื่องนี้บ้าง?”
เหลยอิงหันไปมองจ้องโหยวเฟิงอวี้ พลางถามเสียงหนัก
“เหลยอิง…เจ้าหนูเหลยจวิ้นตายแล้วหรือ?”
ได้ยินคําพูดของเหลยอิง ฉือหล่างกับคนอื่นๆก็แปลกใจอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเองก็พึ่งรู้เรื่องที่ เหลยจวิ้น ลูกชายคนเดียวของเหลยอิงตายตก
“วันนี้เหตุผลเดียวที่ข้าไปถึงคุกหมื่นพันธนาการคนแรก ทั้งหมดเป็นเพราะข้าพบว่าลูกแก้ววิญญาณของลูกชายข้าแตก…ข้าไปสืบดูก็พบว่าลูกชายของข้าไปคุกหมื่นพันธนาการตั้งแต่ไม่กี่วันก่อนเพื่อเป็นผู้คุม แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าอยู่ๆไฉนลูกข้าถึงต้องไปทําอะไรเช่นนั้น”
เหลยอิงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมนนัก
“ ข้าพึ่งติดต่อไปสอบถามอาวุโสที่คอยประสานกับคนในคุกหมื่นพันธนาการมา…”
ตอนนี้เอง โหยวเฟิงอวี้ พลันกล่าวออกมาอยย่างประจวบเหมาะ “ข้าถามพวกมันไปว่ารู้หรือไม่ว่าเหลยจวิ้นตายได้อย่างไร…พวกมันบอกว่าไม่รู้ พวกมันรู้แค่ว่าเหลยจวิ้นถูกฆ่าตายที่เรือนจําชั้น
“ผู้คุมที่ทําหน้าที่ลาดตระเวนในเรือนจําทั้ง 6 ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มผู้ที่ทําหน้าที่เป็นผู้คุมในเรือนจําชั้น 2 เป็นศิษย์อัจฉริยะทั้งคู่ ส่วนบนเรือนจําชั้น 3 เป็นศิษย์อัจฉริยะคนหนึ่งอาวุโสของคุกคนหนึ่งทั้ง 4 ไม่มีผู้ใดตาย”
“ตอนนี้ทั้ง 3 ใน 4 คนนั่นยังอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการ”
“ที่ไม่อยู่ก็มีแค่ศิษย์อัจฉริยะที่ทําหน้าที่ในชั้น 3 เท่านั้น”
กล่าวถึงจุดนี้ สองตาโหยวเฟิงอวี้ก็เย็นชาจนเสมือนไร้ความรู้สึกใดๆ หากแต่ต่อมาก็เผยประกายเยียบเย็นอย่างน่ากลัว หันไปมองถามจักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ว่า “ฉือหล่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์อัจฉริยะที่ทําหน้าที่ผู้คุมบนชั้น 3 เป็นผู้ใด?”
“ผู้ใด?”
ฉือหล่างได้แต่ย้อนถามออกไปด้วยยสายตาว่างเปล่าโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันมันก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง ว่าไฉนอยู่จ้าววังเทียนฉือถึงถามเรื่องนี้กับมัน
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้เรื่อง”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าและการตอบสนองของฉือหล่างเป็นธรรมชาติ และสายตาก็แลดูว่างเปล่าไม่รู้เรื่องอะไร โหยวเฟิงอวี้ก็พยักหน้าเบาๆ
“ท่านจ้าววังที่แท้ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
คิ้วฉือหล่างยนเป็นปม ด้วยไม่ทราบว่าจ้าววังเทียนฉือจะสื่ออะไร
“ศิษย์อัจฉริยะนั้นเป็นศิษย์คนที่ 7 ของเจ้า ต้วนหลิงเทียน
โหยวเฟิงอวี้มองจ้องฉือหล่างเขม็ง “แล้วเจ้าคิดว่าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ขวับ ขวับ ขวับ ขวับ
พอเสียงกล่าวของโหยวเฟิงอวี้ดังจบคํา สายตาของจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 7 คนของวังเทียนฉือรวมถึงเหลยอิง ก็หันขวับมาจับจ้องฉือหล่างอย่างพร้อมเพรียง และแววตาหลายคนก็ฉายชัดถึงความตกตะลึง แน่นอนว่ายังมีจักรพรรดิอมตะสมญานามบางคนที่แววตาเริ่มทอประกายเยียบเย็นออกมา
อย่างหลังนั้นล้วนเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ไม่ค่อยลงรอยกับฉือหล่างสักเท่าไหร่ หรือไม่ก็ไม่ถูกชะตากับต้วนหลิงเทียนศิษย์คนที่ 7 ของฉือหล่างอย่างเช่น จักรพรรดิอมตะมังกรบู๊กู้ฉางเจียง จักรพรรดิอมตะคลื่นหมอก รวมถึงจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ เรียกว่าสายตาที่ทั้ง 3 ใช้มองฉือหล่างตอนนี้มันเยือกเย็นไม่น้อย
“เป็นไปไม่ได้!”
ได้ยินคําพูดของโหยวเฟิงอวี้ ฉือหล่าง ก็อื้ออึงไปแล้วจริงๆ และเมื่อมันสังเกตเห็นสายตาสงสัยทั้งเยียบเย็นของอีก 7 จักรพรรดิอมตะสมญานามที่เหลือ มันก็ส่ายหัวออกมาอย่างไม่รู้ตัว “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก! ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่!!”
ถึงแม้โหยวเฟิงอวี้วจะกล่าวออกมาไม่ชัดเจน
แต่มันก็พอจะตระหนักได้อย่างคลุมเครือว่า
ศิษย์อัจฉริยะที่ทําหน้าที่เป็นผู้คุมบนเรือนจําชั้น 3…ประจวบเหมาะกับเกิดเรื่องราวอย่างนักโทษแหกคุกขึ้นมา สิบในสิบไม่พ้นต้องมีส่วนกับการปล่อยนักโทษแน่!
อย่างไรก็ตาม โหยวเฟิงอวี้กลับบอกว่าศิษย์อัจฉริยะที่ทําหน้าที่บนเรือนจําชั้น 3 เป็นศิษย์คนที่ 7 ของมัน ไหนเลยมันจะเชื่อได้ลงคอ!
เพราะมันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะทําอะไรโง่ๆแบบนั้น
การกระทําเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการทรยศมัน แต่ยังตั้งตัวเป็นศัตรูกับวังเทียนฉือชัดเจนที่สําคัญก็คือในบรรดานักโทษที่หลบหนีออกมาได้ ก็มีจักรพรรดิอมตะไร้ธุลี เผยหยวนจี๋ ผู้นั้น!
เผยหยวนจี๋ที่ถูกขังในเรือนจําชั้น 3 ของคุกหมื่นพันธนาการเป็นใครน่ะหรือ?
ไม่ใช่คนที่วังเทียนฉือของพวกมันจับกุม แต่เป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนมาจับกุมด้วยตัวเอง!!
เช่นนั้นหากไม่ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน คนที่กล้าปล่อยเผยหยวนจี๋ออกมา ยังจะต่างอะไรกับคิดต่อต้านจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนโดยตรง! เช่นนั้นจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนต้องไม่ปล่อยไปแน่!!
ในสายตามัน
ศิษย์คนที่ 7 ของมันเป็นคนฉลาด ย่อมไม่กระทําเรื่องราวโง่เขลาเช่นนั้นแน่นอน
“ผิดพลาด?”
โหยวเฟิงอวี้วส่ายหัวไปมา “ฉือหล่าง ครั้งนี้เกรงว่าเจ้าผิดแล้ว…ศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าหาได้ง่ายดายไม่ เมื่อครู่ข้าพึ่งได้รับรายงานมาเพิ่มว่ามีคนของโถงกิจการภายในหลายคนเห็นศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าอยู่กับเผยหยวนจี๋ ในขณะที่เผยหยวนจี๋นำทุกคนแหกคุกออกมา กระทั่งยังเดินตีคู่กันไปหน้าสุด แลดูสนิทสนมกันดี”
“กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 5 คน ยังติดตามอยู่ด้านหลังมั่นกับเผยหยวนจี๋”
กล่าวถึงประโยคท้าย โหยวเฟิงอวี้ก็มองจ้องฉือหล่างตาเขม็ง “เท่าที่ข้าทราบมา ศิษย์คนที่ 7 ของเจ้ายังพึ่งเข้าร่วมกับพวกเราไม่นาน…พื้นเพความเป็นมาของมัน เจ้ารู้หรือไม่? เท่าที่ข้าดูมันไม่พ้นมาที่นี่เพื่อช่วยเผยหยวนจี๋โดยเฉพาะ! แฝงตัวเข้าวังเทียนฉือเรามาช่วยคน!!”
“หากไม่ใช่มั่นเตรียมการมาแต่แรก ไฉนมันถึงช่วยให้เผยหยวนจี๋กับคนอื่นๆทําลายค่ายกลและข่ายอาคมจนหลุดออกมาได้?”
“ถึงแม้ตอนนี้ค่ายกลในเรือนจําจะพังทลายไปแล้ว แต่ค่ายกลสอดส่องเฝ้าระวังด้านในยังทํางานอยู่ ถึงจะไม่อาจส่งเรื่องที่บันทึกไว้ด้านในออกมายังโลกภายนอกได้โดยตรง แต่บัดนี้มีอาวุโสในคุกหมื่นพันธนาการที่ได้ดูเรื่องราวที่บันทึกไว้จากค่ายกลสอดแนมด้านในออกมานอกคุกแล้ว”
โหยวเฟิงอวี้กล่าวถึงจุดนี้ เสียงก็กลายเป็นเย็นลงปานจะแช่แข็งผู้คน “ข้าได้รับแจ้งว่าฉากเรื่องราวในบันทึกที่ว่า เป็นศิษย์คนที่ 7 ตัวดีของเจ้า หลังจากขึ้นไปชั้น 3 ได้ 5 วัน อยู่ดีๆเผยหยวนจี๋กับจักรพรรดิอมตะสมญานามอีก 5 คนก็สามารถทําลายค่ายกลออกมา ก่อนลงมาจากชั้น 3 พร้อมศิษย์เจ้า พวกมันยังหยุดสนทนากันด้วยซ้ำ”
“และในระหว่างที่มันออกจากเรือนจํา ชั้น 2 ก็เป็นศิษย์ตัวดีของเจ้าเตะศิษย์อัจฉริยะจนปลิวด้านผู้อาวุโสหงที่อยู่ชั้น 1 ก็โดนจักรพรดริอมตะน้ำแข็งทมิฬ เฉวียนปิง ฆ่าทิ้งในพริบตา!”
“สําหรับเหลยจวิ้น…”
กล่าวถึงจุดนี้ โหยวเฟิงอวี้ ก็หันไปมองเหลยอิง และท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะแค้นของเหลยอิง มันก็กล่าวออกเสียงเรียบว่า “ลูกเจ้าถูกมังกรชั่วร้าย 2 ตัวที่ต้วนหลิงเทียนนั่นเรียกออกมาสังหารทิ้ง มังกรทั้งสองยังผสานพลังจู่โจม จนเหลยจวิ้นไม่อาจต้านทานอันใดได้เลย”
“เท่าที่อาวุโสในคุกแจ้งมา จากการประเมินคร่าวๆ มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นยามผสานพลังกันยังรุนแรงไม่ต่างอะไรจากการโจมตีของจักรพรรดิอมตะสมญานามระดับกลางๆด้วยซ้ำ”
“ฉือหล่าง..ศิษย์คนที่ 7 ของเจ้าผู้นี้ นับว่าซ่อนตัวได้ลึกยิ่งนัก!
โหยวเฟิงอวี้หันกลับมามองฉือหล่างด้วยสายตามีนัยยะ จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงถากถาง
สีหน้าท่าทีของฉือหล่างก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อได้ยินโหยวเฟิงอวี้กล่าวถึงมังกรชั่วร้าย 2 ตัว จึงตระหนักได้ว่าจ้าววังเทียนฉือไม่ได้ผิดพลาด! ศิษย์คนที่ 7 ของมันสมควรเข้าคุกหมื่นพันธนาการไปเพื่อช่วยเผยหยวนจี๋กับคนอื่นๆโดยเฉพาะ!