ตอนที่ 3,400 : กฎแห่งชีวิต
  “เช่นนั้น…มิใช่ว่าข้าสิ้นไร้หนทางแล้วหรือ?”
  ลี่หลัวหันไปมองถามฟางจี้ด้วยสีหน้ามืดมน
  “ฮ่าๆๆๆ…!”
  พอได้ฟัง ฟางจี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังร่า “ลี่หลัว นี่เจ้าจะไม่มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหน่อยรึไง…อีกทั้งไม่ใช่ว่าพวกเราใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกไปก่อนก็ได้หรือไร?”
  “หลังใช้ค่ายกลส่งตัวไปแล้ว เจ้าจะใช้เวลาคิดนานเท่าไหร่ก็ได้…สุดท้ายเจ้าก็ต้องคิดหาวิธีประเสริฐได้แน่”
  ฟางจี้กังวลไม่น้อย ด้วยกลัวว่าลี่หลัวจะล้มเลิกความคิดพาพวกมันไปยังสถานที่ตั้งประตูมิติเข้าออกซากปรักหักพังของระนาบเทพ หรือมีคนของนิกายวิถีอีกาตามมาจนเจอ จึงเร่งกล่าวปลอบออกไปทันที
  “ฮึ!”
  ทว่าลี่หลัวกลับพ่นลมขึ้นจมูกเสียงเย็น หันไปมองฟางจี้ด้วยสายตารังเกียจ “ฟางจี้ เจ้าเห็นข้าเป็นเด็ก 3 ขวบหรือไร?”
  “ตอนนี้ข้าได้แต่ หาวิธีรักษาชีวิตของข้าให้ได้ก่อนเท่านั้น หาไม่แล้วข้าไม่มีวันพาเจ้าไปที่นั่นแน่”
  “เรื่องอื่นเจ้าอย่าได้คิด”
  ลี่หลัวกล่าว
  เมื่อเห็นลี่หลัวยืนกรานอย่างดื้อรั้น สีหน้าท่าทางพวกฟางจี้ทั้ง 5 ก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
  ฟางจี้ที่สีหน้าเริ่มดำคร่ำเคร่งมองกล่าวกับลี่หลัวเสียงเย็น “ลี่หลัว สุราคารวะเจ้าไม่รับ หรือชมชอบสุราจับกรอก? ตอนนี้หากพวกเราเปลี่ยนใจ คิดจะพาเจ้าย้อนกลับไปส่งที่นิกายวิถีอีกาก็ยังไม่สาย!”
  “เพราะสุดท้ายหากข้าพาเจ้าไปส่งถึงมือท่านประมุขได้ เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่ถือว่ามีความผิดอะไร เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
  “ถึงตอนนั้นอย่างดีข้าก็แค่กล่าวอ้างว่าเจ้าใช้ยันต์อมตะที่แอบซุกซ่อนไว้หลบหนีไป ข้าจึงต้องพาลูกชายกับลูกศิษย์ออกไปตระเวนหาเจ้า และโชคดีที่พบตัวเจ้าก็เท่านั้น…”
  ฟางจี้กล่าว
  “ฟางจี้ ในเมื่อเจ้าคิดพาข้ากลับ เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ”
  ลี่หลัวเอ่ยยออกเสียงเรียบ สีหน้าเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย
  และความเฉยเมยไม่อีนังขังขอบนี้ ทำให้ฟางจี้หัวร้อนแทบตายแล้ว เป็นธรรมดาว่ามันไม่อยากกลับไปมือเปล่า หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆสักพักให้อารมณ์สงบลง มันก็หันไปมองลี่หลัวอีกครั้ง
  “ลี่หลัว แล้วตกลงเจ้าจะเอาอย่างไร?”
  ฟางจี้เอ่ยถามออกมาอีกรอบ เสียงพูดฟังคล้ายกำลังอดกลั้นเต็มที่
  ด้านฟางฉุนและศิษย์อีก 3 คนของฟางจี้เอง ก็พากันมองจ้องลี่หลัวด้วยสีหน้าแววตาเอาเรื่อง หากลี่หลัวไม่ให้ความร่วมมือแต่โดยดี พวกมันก็คิดจะใช้วิธีทรมานจนกว่านางจะปริปาก!
  “ให้ข้าคิดดูก่อน”
  ลี่หลัวที่ลอยร่างแน่นิ่งกลางหาวขมวดคิ้วเบาๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
  หลังผ่านไปสิบกว่าลมหายใจ ฟางจี้ก็หมดสิ้นความอดทน “ลี่หลัว ตกลงเจ้าคิดออกแล้วหรือไม่? หากยังคิดอยู่ เช่นนั้นก็เข้าเมืองฮั่นหลินใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกไปที่ไหนสักที่ก่อน แล้วค่อยคิด!”
  “หาไม่แล้ว เกิดคนของนิกายวิถีอีกาตามมาเจอ ต่อให้เจ้าอยากไปก็ไม่ได้ไป!!”
  ฟางจี้กระตุ้นเตือน
  “ข้าคิดได้แล้ว”
  ทันใดนั้นเอง อยู่ๆลี่หลัวก็กล่าวออกมา
  “หืม?!”
  ฟางจี้ตกใจ ด้วยไม่คิดว่าลี่หลัวจะคิดออกแล้วจริงๆ “ตกลงเจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
  “ไม่จำเป็นต้องพูดแล้วล่ะ”
  ลี่หลัวส่ายหัวไปมา
  “ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว?”
  จังหวะนี้ไม่ใช่แค่ฟางจี้ที่แลดูงุนงง กระทั่งลูกชายอย่างฟางฉุนกับศิษย์อีก 3 คนก็ชักสีหน้าว่างเปล่า คำตอบของลี่หลัวมันหมายความว่าอะไร?
  ฟุ่บ!
  และในขณะที่ทั้ง 5 กำลังงุนงงนั้นเอง พันมีกิ่งหลิวพุ่งทะลวงแหวกฟ้าผ่าเมฆลงมาฉับไว มองไปไม่ต่างจากสายฟ้าฟาด พริบตาก็มาถึงแล้ว
  แถมกิ่งหลิวดักล่าวยังแผ่กลิ่นอายพลังอำนาจอันน่าเกรงขามนัก กว่าที่ทั้ง 5 จะทันได้ตอบสนองเรื่องราว กิ่งหลิวก็อยู่ไม่ห่างร่างของพวกมันแล้ว
  ด้วยกลิ่นอายพลังอำนาจอันน่าพรั่นพรึงที่แผ่ออกมาจากกิ่งหลิว ทำให้ทั้ง 5 ใจสะท้านไปด้วยความหวั่นหวาด ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือต้องรีบหนีไปให้ไว!
  จังหวะนี้เรียกว่าไม่มีใครคิดจนสนใจลี่หลัวอีกเลย!
  ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
  และในขณะที่ทั้ง 4 ตอบสนองเรื่องราวได้แล้ว พอปะทุพลังเคลื่อนร่างหมายหลบกิ่งหลิวประหลาดได้สำเร็จ พวกมันก็พึ่งตระหนักได้ว่า เบื้องหน้าไม่ได้มีลี่หลัวแค่คนเดียวอีกต่อไป
  มีอีก 3 คนที่ลอยอยู่ข้างกายลี่หลัว
  ชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดสีม่วง หนุ่มใหญ่ในชุดคลุมสีคราม แล้วก็ชายชราในชุดคลุมสีแดงเพลิง
  และเป็นหนุ่มใหญ่ในชุดคลุมสีครามที่กำลังกอดร่างลี่หลัวอยู่ “หลัวเอ๋อ…ข้า…ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว”
  “พี่เฟิง!”
  ลี่หลัวเองก็กอดต้วนหรูเฟิงแน่น ราวไม่อยากปล่อยมืออีกตลอดชั่วชีวิต
  เห็นฉากดังกล่าว ทั้งเห็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่มองจ้องมาที่พวกมันไม่วางตา รวมถึงกิ่งหลิวประหลาดที่พุ่งแทงลงมาจากฟ้าเมื่อครู่กำลังถูกชายหนุ่มรั้งกลับ ทำให้หน้าทั้ง 4 เปลี่ยนสีไปทันที
  แค่การลงมือเมื่อครู่ ก็มากพอจะบอกให้พวกมันรู้แล้วว่าชายหนุ่มชุดม่วงไม่ธรรมดา อย่างน้อยๆพลังฝีมือก็สูงส่งกว่าพวกมันมาก และเมื่อครู่เจตนาการลงมือของอีกฝ่าย ก็ไม่พ้นให้พวกมันถอยไปห่างๆแน่ หาไม่แล้วพวกมันคงตายโดยไม่ทันได้รู้ตัว!
  “ตะ…ใต้เท้า..ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร?”
  สีหน้าฟางจี้ซีดลง ในโลกที่ผู้อ่อนแอนับถือผู้เข้มแข็ง ต้องมาเผชิญหน้ากับผู้เข้มแข็งระดับนี้ ต่อให้มันเป็นอาวุโส 3 ของนิกายวิถีอีกา ก็จำต้องก้มหัวลง
  “ลี่หลัว เป็นมารดาของข้าเอง”
  ต้วนหลิงเทียนมองจ้องฟางจี้กับคนอื่นๆตาเขม็ง ค่อยคลี่ยิ้มถาม “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือยังว่าพวกเราเป็นใคร?”
  สิ้นคำของต้วนหลิงเทียน สีหน้าฟางจี้กับคนอื่นๆก็เปลี่ยนไปทันที
  ชายหนุ่มที่ที่แข็งแกร่งจนทำให้พวกมันรู้สึกหายใจไม่ออกเพราะแรงกดดันพลังผู้นี้…ตัวตนที่อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะ กลับเป็นลูกชายของลี่หลัว?
  เป็นไปได้ยังไง!?!
  ลี่หลัวยังพึ่งมีอายุได้เท่าไหร่กัน?
  ลูกชายของนางจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ยังไง?
  นอกจากนั้น ลี่หลัวไม่ใช่ผู้ที่ขึ้นสวรรค์มารึไง?
  ในขณะที่สีหน้าของพวกฟางจี้ทั้ง 5 เต็มไปด้วยความว่างเปล่า พวกมันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนเริ่มขยับมือ ทันใดนั้นเองท่ามกลางความว่างเปล่า พลันปรากฏกิ่งหลิวพุ่งแทงออกจากอากาศธาตุ เจาะทะลวงร่างพวกฟางจี้ทั้ง 5 ก่อนจะมัดขึงครึงร่างพวกมันเอาไว้!
  “อ๊าคค—”
  “ไม่–!!”
  “ใต้เท้า! ขอท่านไว้ชีวิตด้วย!!”
  …
  พวกฟางจี้ทั้ง 5 กว่าจะรู้ตัวก็ถูกกิ่งหลิวพุ่งมาทะลวงมัดร่างเอาไว้แล้ว!
  ทั้ง 5 ถูกขึงตรึงไว้กลางอากาศ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เลย
  ขณะเดียวกัน พวกมันยังสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจมิติอันน่ากลัวสะกดกักรอบกายเอาไว้ จนเสมือนพวกมันอยู่ในพื้นที่ปิดสนิท ความรู้สึกราวกับหายใจไม่ออกเริ่มแผ่ซ่านไปทุกอณูกาย
  “มิติ…กฏมิติ!”
  สีหน้าทั้ง 5 เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ขณะเดียวกันพวกมันก็ตระหนักได้ว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานธาตุมิติที่อีกฝ่ายใช้ขับเคลื่อนความลึกซึ้งกักกัน ทรงพลังถึงขั้นทำให้พวกมันรู้สึกเสมือนถูกพลังมหาศาลสะกดร่างเอาไว้ ไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว
  “มันไม่ใช่จอมราชันอมตะธรรมดา!”
  ฟางจี้ย่อมคิดไม่ถึงว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นจักรพรรดิอมตะ มันแค่คิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นจอมราชันอมตะที่เหนือกว่าจอมราชันอมตะของนิกายวิถีอีกาของมันเท่านั้น!
  ครู่ต่อมา ในหัวฟางจี้ก็ขจัดความคิดส่งข้อความช่วยเหลือไปยังนิกายวิถีอีกาทันที
  เพราะส่งข้อความไปเรียกใครมาก็ไร้ประโยชน์ ยังอาจทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาอีก
  “ตะ…ใต้เท้า ขอท่านไว้ชีวิตด้วย! ได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตด้วย!!”
  ฟางจี้มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างวิงวอน สองตาฉายชัดถึงความหวาดกลัว “ใต้เท้า เป็นนิกายวิถีอีกา! สาเหตุหลักที่ทำให้มารดาท่านถูกจับล้วนเป็นเพราะนิกายวิถีอีกา!!”
  “แต่ตอนนี้ข้าฟางจี้กับลูกรวมถึงเหล่าศิษย์ได้ออกจากนิกายวิถีอีกาแล้ว!”
  “ใต้เท้าตรวจสอบด้วย ขอใต้เท้าตรวจสอบด้วย!”
  ฟางจี้เร่งกล่าวอย่างร้อนใจ “นอกจากนั้น ข้าเองก็คิดจะปล่อยมารดาท่านไปแต่แรก!”
  “ปล่อยแม่ข้าไปรึ?”
  ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม “ข้าว่าเจ้าคงอยากไปซากปรักหักพังของระนาบเทพมากกว่ากระมัง?”
  สีหน้าฟางจี้เปลี่ยนไปใหญ่หลวง พอฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และคงรู้เรื่องนี้ดีแต่แรก ในใจมันก็บังเกิดความท้อแท้ขึ้นมาทันที
  “ใต้เท้า…ขอข้าน้อยถามได้หรือไม่ ว่าที่แท้ซากปรักหักพังของระนาบเทพมีอยู่จริงหรือไม่…”
  พอเห็นแววตาอีกฝ่ายฉายชัดถึงจิตสังหาร ฟางจี้ก็รู้ดีว่ามันไม่มีโอกาสรอดพ้นความตายแล้ว เช่นนั้นก่อนตายก็ได้แต่ถามเรื่องหนึ่งออกไปอย่างไม่เต็มใจ
  “ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวข้าจะบอกให้พวกเจ้ารู้…”
  เพียงห้วงคิด ในความว่างเปล่ารอบกายพวกฟางจี้ทั้ง 5 ก็อุบัติคมมีดมิติพุ่งออกมาจากรอยแยกมิติยิบย่อย จากนั้นก็พุ่งไปเชือดเฉือนร่างฟางจี้กับพวกทั้ง 5 อย่างอำมหิต พริบตาพวกมันก็ถูกแล่เนื้อเถือหนังไปนับพันๆชิ้น และคมมีดมิติยังคงแล่เฉือนเนื้อพวกมันสืบต่อไม่หยุด! โลหิตพวยพุ่งออกมาชวนสยอง แต่ยังห่างไกลจากความตายพอสมควร!!
  ระหว่างมาที่นี่ เขาก็ได้ยินเรื่องที่มารดาเล่าจากปากต้วนหรูเฟิงแล้ว ว่านิกายวิถีอีกาเป็นอย่างไรทำชั่วแบบไหนมาบ้าง เช่นนั้นมีหรือเขาจะปล่อยพวกมันไปง่ายๆ?
  หากเมตตาให้พวกมันตายสบายๆ เช่นนั้นจะไม่ผิดต่อวิญญาณของคนนิกายฉวินซิ่วที่ดูแลมารดาเขามานานปีหรือไร?
  “อ๊าคคคคคค—!!”
  “ใต้เท้า! ขอท่านฆ่าข้าให้จบๆไปเถอะ!!”
  “ใต้เท้า! เมตตาขาด้วย ให้ข้าตายๆไปเถอะ!!”
  …
  พวกฟางจี้ทั้ง 5 ที่บัดนี้ถูกแล่เนื้อเถือหนังทั้งขูดกระดูก ย่อมเจ็บปวดทรมานไปทั่วร่าง ทั้งหมดได้แต่วิงวอนร้องขอความตายออกมาอยย่างน่าเวทนา และด้วยความที่ถูกพลังมิติของต้วนหลิงเทียนสะกดเอาไว้ พวกมันจะเดินพลังต้านทานความเจ็บปวดรักษาแผล ห้ามเลือด แม้แต่ฆ่าตัวตาย ก็ไม่อาจทำได้เลย
  “จะรีบร้อนไปไหนกัน ข้ายังไม่ทันได้เล่าเรื่องซากปรักหักพังของระนาบเทพให้พวกเจ้าฟังเลย…”
  ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มที่แลดูสดใสนัก แต่ในสายตาพวกฟางจี้ทั้ง 5 แล้ว รอยยิ้มของต้วนหลิงเทียนไม่ต่างจากรอยยิ้มของมารร้ายเลย
  “ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่พวกเจ้าอยากไปนักหนา…มีอยู่จริงๆ”
  ต้วนหลิงเทียนมองไปยังพวกฟางจี้ทั้ง 5 ที่ร่ำร้องขอความตายอย่างโหยหวน ก็ค่อยๆกล่าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “และพลังวิญญาณฟ้าดินในนั้นก็ช่วยชำระขัดเกลาผู้คนให้เสมือนเกิดใหม่ กลายเป็นมีพรสวรรค์ศักยภาพสูงล้ำได้จริงๆ…แต่ทว่ามันจะช่วยชำระขัดเกลาให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นเซียนอมตะเท่านั้น แน่นอนว่าถึงเซียนอมตะจะไม่ได้รับชำระขัดเกลา แต่ถ้าได้ฝึกฝนบ่มเพาะในนั้น ด่านพลังก็จะก้าวหน้ารวดเร็วมาก…”
  “และเป็นธรรมดาว่า…ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ว่า ท่านแม่ของข้าไม่เคยไปมาก่อน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซากปรักหักพังระนาบเทพที่ว่าตั้งอยู่ที่ไหน”
  “ส่วนข้า ถึงแม้จะเคยไปซากปรักหักพังของระนาบเทพนั่นแล้ว แต่คิดจะเข้าไปอีกครั้ง ก็คงเข้าไปไม่ได้…”
  “ยิ่งไปกว่านั้นถึงข้าจะเข้าไปได้ ข้าก็คงไม่คิดเข้าไปให้เสียเวลา…เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่นมันแห้งเหือดไปหมดแล้ว”
  ทุกถ้อยคำวาจาของต้วนหลิงเทียน ทำให้พวกฟางจี้ทั้ง 5 เสียใจอย่างมาก…พวกมันไปล่วงเกินมารดาของชายเบื้องหน้า เพื่อซากปรักหักพังระนาบเทพที่ไร้ประโยชน์สำหรับพวกมัน! สุดท้ายเพราะความโลภอันสูญเปล่า พวกมันไม่เพียงแต่จะทรยศนิกายวิถีอีกา แต่ยังต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีก!!
  อนิจจาโลกนี้ไม่มีโอสถรักษาอาการเสียใจ
  ถึงแม้พวกฟางจี้จะกรีดร้องโหยหวนแค่ไหน แต่ต้วนหลิงเทียนที่ใช้ความลึกซึ้งกักกัน ไม่เพียงจะสะกดกักร่างพวกมันเท่านั้น ยังสะกดกักเสียงกับกลิ่นคาวโลหิตของพวกมันไว้ด้วย ทั้งหมดเพื่อไม่ให้ไปรบกวนบิดามารดาเขา…
  และหลังจากแล่เนื้อถือหนังพวกฟางจี้ทั้ง 5 ไปจนพวกมันเงียบไม่ร่ำร้อง สองตาไร้ประกายดั่งปลาตาย ต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาฆ่าพวกมันให้พ้นๆหน้าได้แล้ว
  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เองพลันมีพลังขุมหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า หยุดต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะลงมือฆ่าพวกมันเอาไว้ได้ทันท่วงที
  “พ่อหนุ่มน้อย เมตตาธรรมค้ำจุนโลก…ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาปมหันต์…เจ้าลงมืออำมหิตเช่นนี้บาปกรรมยิ่ง บาปกรรม บาปกรรม…”
  หลังจากพลังขุมหนึ่งแผ่พุ่งมาหยุดการลงมือของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ได้แล้ว ก็ปรากฏภิกษุชราในชุดคลุมสีเทาโรยตัวลงมาจากฟ้าสูง
  ทุกย่างก้าวของมัน ยังปรากฏแสงพลังสีเขียวขจีกำจายออกมาปานดอกบัวบาน มากล้นไปด้วยพลังชีวิตอันล้นปรี่
  ไม่นานมันก็มาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน
  และทันใดนั้นเอง ภิกษุชราพลันยกมือขึ้น ปรากฏไอพลังขุมหนึ่งแผ่พุ่งไปทางพวกฟางจี้ทั้ง 5
  พริบตาต่อมา ท่ามกลางสายตาของต้วนหลิงเทียน บาดแผลเหวอะหวะของพวกฟางจี้ทั้ง 5 ก็เริ่มฟื้นคืนด้วยความเร็วอันน่ากลัว
  ด้วยกลิ่นอายพลังชีวิตอันแข็งแกร่ง ทำให้ต้วนหลิงเทียนเดาออกได้ไม่ยากว่าภิกษุชราเข้าใจกฏอะไร
  กฏแห่งชีวิต!
  1 ใน 4 กฏสูงสุด
  ถึงแม้มันจะไม่ใช่คนเข้าใจกฏชีวิตคนแรกที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอ แต่ก็นับว่าเป็นคนเข้าใจกฏชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ต้วนหลิงเทียนเคยเจอ…