ตอนที่ 3,409 : เทพ
“ท่านแม่ เรื่องเป็นเช่นนี้…”
เมื่อถูกซือถูฉูชิงผู้เป็นมารดาจี้ถาม เฟิงเจียนอวี่ ก็ได้แต่เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นออกไปโดยละเอียด “ตอนแรก เมื่อสองวันก่อนน้องหญิงก็ได้รับการติดต่อมา”
“ข้อความที่ว่ามิได้ส่งมาถึงน้องหญิง…สุดท้ายก็มีแค่พวกเราไม่กี่คนที่ล่วงรู้เรื่องราวการคงอยู่ของน้องหญิง”
“ข้อความดังกล่าวตั้งใจส่งให้มู่อีอี”
“เป็นธรรมดาว่าข้อความที่ส่งหามู่อีอี ด้วยความที่วิญญาณของนางตกในห้วงนิทรารอการหลอมกลืนของน้องหญิง ย่อมไม่อาจตอบสนองใดๆได้…ก็เป็นน้องหญิงที่พยายามถอดความ จนรับทราบว่าข้อความที่ส่งหามู่อีอี ที่แท้เป็นศิษย์พี่ของมู่อีอีสมัยยังอยู่ในระนาบเซียนนามว่า ต้วนหลิงเทียน คิดมาหามู่อีอี”
“และศิษย์พี่ของมู่อีอีคนนี้ ยังเป็นต้นเหตุเรื่องที่มู่อีอีได้ไปดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพอีกด้วย…”
“จากความทรงจำบางส่วนที่น้องหญิงได้รับมาหลังหลอมกลืนวิญญาณของมู่อีอี…เหตุไฉนมู่อีอีถึงได้ถูกพาตัวไปยะงดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนั้น ล้วนเกี่ยวพันกับศิษย์พี่นามต้วนหลิงเทียนอย่างแยกไม่ออก”
“ต่อมาทั้งคู่ก็เลยแยกจากกัน…มู่อีอีกับกลุ่มญาติของต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ถูกกักขังอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ แต่จะอย่างไรก็ตาม การได้อยู่ในแดนเทพ ก็ทำให้มู่อีอีได้รับการชำระขัดเกลาจากพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพ ร่างกายของนางจึงเปี่ยมล้นไปด้วยศักยภาพและพรสวรรค์ไร้สิ้นสุด”
“หลังค้นหามาหลายปี ข้าคิดว่าร่างของมู่อีอีเป็นร่างที่เหมาะสมที่สุดสำหรับน้องหญิงแท้ๆ…แต่ไม่คิดเลยว่าเพราะร่างมู่อีอี จักมีอันทำให้ต้องน้องหญิงต้องตายจาก…”
กล่าวถึงประโยคท้าย สีหน้าของเฟิงเจียนอวี่ก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก นางไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าน้องสาวของนางจะมีอันเป็นไปในลักษณะนี้
“ไม่กี่วันก่อน น้องหญิงได้รับข้อความจากศิษย์น้องนามว่า เฟิ่งเทียนหวู่…เฟิ่งเทียนหวู่ มู่อีอี และต้วนหลิงเทียน ล้วนอยู่ในขุมกำลังเดียวกันบนระนาบเซียน และขุมกำลังดังกล่าวเรียกว่า 7 ทวาราเที่ยงแท้”
“ท่านแม่…ท่านสมควรรู้ดีว่าหากหลอมกลืนได้ความทรงจำอันใดมาจากวิญญาณของมู่อีอี น้องหญิงก็มักจะนำมาเล่าให้ข้าฟังเสมอ”
“ในบรรดา 7 ทวาราเที่ยงแท้ ต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 1 สืบทอดนามหมอกพิรุณ ส่วนมู่อีอีก็เป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์ สำหรับเฟิ่งเทียนหวู่ที่ติดต่อมาคนแรก เป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 5 หงส์ฟ้าเพลิงผลาญ”
เฟิ่งเจียนอวี่ค่อยๆเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่นางรู้ออกมาจนหมด “เมื่อ 2-3 วันก่อน ต้วนหลิงเทียนได้มาเยือนถึงหน้าประตูนิกายลั่วสุ่ยเรา และหลังจากคุยกับน้องหญิงไม่กี่คำ คนที่ติดตามมันมาก็ลักพาตัวน้องหญิงไปทันที”
“ในตอนนั้น เหล่าศิษย์ที่อยู่บริเวณประตูใหญ่ ก็ไม่อาจตอบสนองเรื่องราวใดๆได้ทัน คิดจะช่วยเหลือน้องหญิงก็สายเกินไป”
“อย่างไรก็ตามพวกมันมีคนที่จดจำหน้าตาต้วนหลิงเทียนได้ และวาดภาพเหมือนของเจ้านั่นออกมา…ส่วนชายชราที่ติดตามต้วนหลิงเทียน และเป็นผู้ลงมือลักพาตัวน้องหญิงไปคนนั้น ทุกคนไม่ทันได้ให้ความสนใจมัน จึงไม่มีผู้ใดจดจำหน้าตาของมันได้เลย”
กล่าวถึงจุดนี้ เฟิงเจียนอวี่ก็ยื่นม้วนภาพม้วนหนึ่งให้ซือถูฉูชิง
และในม้วนภาพดังกล่าว ก็มีภาพชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดม่วงคนหนึ่ง เป็นภาพของต้วนหลิงเทียนที่วาดขึ้นได้เหมือนตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน
ภาพนี้ไม่เพียงแต่จะเหมือนตัวจริงต้วนหลิงเทียนไม่มีผิดเพี้ยนเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดลักษณะองอาจไม่ธรรมดาของต้วนหลิงเทียนออกมาได้ชัดเจน
“มันน่ะหรือคือต้วนหลิงเทียน?”
ซือถูฉูชิงจ้องภาพเหมือนในมือตาเขม็ง กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟันว่า “วิญญาณของเสวี่ยเอ๋อดับสูญแล้ว…เช่นนั้นวิญญาณของมู่อีอีเล่า? นางตกตายด้วยหรือไม่?”
ซือถูฉูชิงนั้นมีลูกแก้ววิญญาณของเฟิงเจียนอวี่เก็บไว้
อย่างไรก็ตาม นางไม่มีลูกแก้ววิญญาณของมู่อีอีติดตัว
“เพราะมู่อีอียังไม่ตาย…ข้าจึงมั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นต้วนหลิงเทียนจงใจกระทำ! มันมุ่งเป้าสังงหารไปยังวิญญาณของน้องหญิงโดยเฉพาะ…ไม่พ้นมันต้องค้นพบเรื่องที่มู่อีอีกำลังถูกน้องหญิงชิงร่าง จึงให้ผู้ติดตามของมันลักพาตัวน้องหญิงไป จนเกิดเหตุการณ์ทำลายวิญญาณน้องหญิงหมายช่วยมู่อีอีทวงร่างขึ้นมา”
เฟิงเจียนอวี่เอ่ยออกเสียงหนัก
“ดี! ดี! ดีมาก!!”
ถึงแม้ซือถูฉูชิงจะกล่าวคำว่า ‘ดี’ ออกมา หากแต่สองตานางฉายชัดถึงความอาฆาตมาดร้ายนัก!
กระทั่งจิตสังหารยังล้นทะลักออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ!
“ในเมื่อเสวี่ยเอ๋อ ไม่ได้ติดต่อมาหาข้าหรือเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือใดๆ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้แค่ 2 ประการ…หนึ่งเสวี่ยเอ๋อถูกพวกต้วนหลิงเทียนทำให้สลบ แล้วพาไปกักขังเอาไว้ในพื้นที่เฉพาะที่ตัดขาดจากโลกภายนอก แม้จะตื่นแต่ก็ไม่อาจติดต่อมาหาพวกเราได้ ไม่แน่พวกมันก็ทำลายวิญญาณเสวี่ยเอ๋อไปตั้งแต่ยังสลบไสล…”
“ความเป็นไปได้ประการที่ 2 คือ เสวี่ยเอ๋อที่ถูกทำให้สลบ ก็ได้ถูกนำตัวออกจากลั่วสุ่ยเทียนของพวกเราตอนไม่ได้สติ ถึงตอนนั้นนางจะได้สติหรือไม่ได้สติกลับมาก่อนวิญญาณถูกทำลาย ก็ไม่อาจติดต่อมาหาพวกเราได้อยู่ดี”
ซือถูฉูชิงเอ่ยข้อสันนิษฐานออกมาเสียงเย็น
“บัดซบ! พวกมันลงมือได้รวบรัดหมดจดนัก ไม่เปิดช่องให้เสวี่ยเอ๋อแจ้งเบาะแสที่อยู่ใดๆได้เลย!!”
ซือถูฉูชิงสบถคำออกมาเสียงเย็น ค่อยหันไปกล่าวกับเฟิงเจียนอวี่ “เจ้าส่งกำลังคนที่ใช้ได้ของนิกายลั่วสุ่ยออกไปทั้งหมด หากพวกมันยังอยู่ในลั่วสุ่ยเทียนต่อให้ต้องขุดดินลึก 3 ฉื่อก็ต้องลากคอพวกมันกลับมาให้ได้! และหากที่ลั่วสุ่ยเทียนไร้เบาะแสใดๆ ก็ให้ส่งคนไปยังระนาบเซียนเสีย! ไปสืบหามาว่าต้วนหลิงเทียนบัดซบนั่นมันมีญาติสนิทมิตรสหายอันใด หากพบเจอให้ทรมาณหาความว่ามันขึ้นระนาบเทวโลกแล้วไปอยู่ที่ใดก่อน ค่อยฆ่าทิ้งให้หมด!!”
“และถ้าไม่อาจหาคนที่เกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนนั่นได้พบ เช่นนั้นก็ให้ฆ่าล้างบางทุกชีวิตบนระนาบเซียนบัดซบนั่นเสียให้สิ้น!!”
“สมควรเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่หาที่สุดไม่ได้สำหรับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำบนระนาบเซียนนั่นแล้ว ที่พวกมันได้ร่วมกลบฝังไปพร้อมกับเสวี่ยเอ๋อของข้า!!”
ประโยคท้ายๆยิ่งกล่าวน้ำเสียงของซือถูฉูชิงยิ่งเยียบเย็นอำมหิต พาลให้ผู้ที่ได้ยินเสมือนร่วงตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ถึงแม้เฟิงเจียนอวี่จะเป็นลูกสาวของนาง ก็รู้สึกเหน็บหนาวจับไขสันหลัง ยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง
“ท่านแม่ ข้าจะเร่งไปตรวจสอบหาตัวต้วนหลิงเทียนนั่นให้พบ”
สองตาเฟิงเจียนอวี่กระพริบวาบ “และหากข้าหาตัวมันไม่เจอจริงๆ…ข้า ข้าจะเดินทางไปยังระนาบเซียน และให้ทุกสรรพชีวิตที่นั่นร่วมกลบฝังไปพร้อมน้องหญิงของข้า!”
“อืม ข้าเองก็จะเร่งสืบหาตัวมันในระนาบเทวโลกอื่นๆอีกทาง…”
ซือถูฉูชิงพยักหน้า จากนั้นก็เก็บม้วนภาพลงแหวนพื้นที่ “ภาพเหมือนต้วนหลิงเทียนนี่เอาไว้ที่ข้า เพื่อให้สะดวกใช้ตรวจสอบ…ส่วนทางเจ้าไปให้คนที่วาดภาพเหมือนต้วนหลิงเทียนนั่น วาดขึ้นมาเพิ่มเสีย”
“ทราบแล้วท่านแม่”
เฟิงเจียนอวี่ตอบรับเร็วไว
“ไปเสีย”
พอซือถูฉูชิงกล่าวจบ เฟิงเจียนอวี่ก็ยังไม่ได้ไปไหน เพียงกล่าวปลอบมารดาออกมาก่อน “ท่านแม่ จะอย่างไรคนตายก็ไม่อาจฟื้นคืน…ขอท่าน…”
“ไปเสีย ข้ารู้!”
เฟิงเจียนอวี่กล่าวไม่ทันจบคำก็โดนตวาดไล่อีกรอบ และหลังจากเฟิงเจียนอวี่จากไป สองตาของซือถูฉูชิงยิ่งมาก็ยิ่งฉายแววเยียบเย็น “หาญกล้าฆ่าลูกสาวของข้า ซือถูฉูชิง ผู้นี้ พวกสารเลวเจ้าสะกดคำว่าตายกันไม่เป็นแล้วจริงๆ!!”
“ไม่ว่าพวกเจ้าจักเป็นใครมาจากไหน ต่อให้ต้องขุดดินลึก 3 ฉื่อมันทุกระนาบเทวโลก ข้าก็จะขุดทั้งโคตรของพวกเจ้าออกมาฆ่าให้ตาย!!”
หลังจากนั้นพักใหญ่ๆ โทสะอันเดือดดาลของซือถูฉูชิงก็ค่อยๆทุเลาลง “ข้าหวังว่าในช่วงไม่กี่ร้อยปีนี้จักหาพวกมันเจอ…หาไม่แล้วก็คงได้แต่พึ่งมันให้ช่วยตามหาเท่านั้น…”
ในขณะที่เอ่ยคำว่า ‘มัน’ แววตาของซือถูฉูชิงก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง อย่างไรก็ตามมุมปากของนางกลับคลี่ยิ้มขื่นขมขึ้นมาพิกล…
มีเพียงแค่ตัวนางเองกับลูกสาวทั้ง 2 คนเท่านั้น ที่ล่วงรู้ว่าลูกสาวฝาแฝดทั้งคู่ถือกำเนิดขึ้นมาเพราะนางกับใคร…
คนผู้นั้นไม่ใช่คนของระนาบเทวโลก
อีกฝ่ายเป็นผู้ที่มาจากระนาบเทพ และเป็นตัวตนขอบเขตเทพคนหนึ่งของระนาบเทพ…
…
ด้านต้วนหลิงเทียนไม่ต้องให้ใครมาบอกเขาก็รู้ดี ว่าตอนนี้ไม่พ้นทางจักรพรรดินีสวรรค์ของลั่วสุ่ยเทียนกำลังระดมกำลังตามหาเขาให้ควั่ก
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจพวกมันแม้แต่นิดเดียว
เพราะในความคิดของเขา ต่อให้จักรพรรดินีสวรรค์ของลั่วสุ่ยเทียนอยากหาตัวเขาแค่ไหน อีกฝ่ายก็ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้จักรพรรดินีสวรรค์ของลั่วสุ่ยเทียนจะพบตัวเขา แต่อีกฝ่ายก็คงยากจะกล้าทำอะไรเขาสุ่มสี่สุ่มห้า และต่อให้นางจองเวรเขาไม่เลิกรา เขาก็ไม่คิดเสียใจแม้แต่น้อย
ศิษย์น้องหญิงมู่อีอี ต้องกลายเป็นแบบนี้เพราะเขาคนเดียว
“หากศิษย์น้องหญิงอีอีไม่ถูกอวิ๋นชิงเหยียนจับตัวไปวันนั้น…นางก็คงไม่มีพรสวรรค์กับความเข้าใจอย่างวันนี้ ไหนเลยจะตกเป็นเป้าของคนลั่วสุ่ยเทียนได้…”
เรื่องที่เกิดขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่โทษตัวเองถ่ายเดียว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เสียใจที่ล้างแค้นให้มู่อีอี
อีกทั้งเพราะในปัจจุบันเขามีพลังฝีมือจำกัดหรอก…หาไม่แล้วเขาจะบุกไปฆ่าล้างบางนิกายลั่วสุ่ยนั่นให้ฉิบหายตกตายกันให้หมด! เพื่อกกลบฝังพวกมันไปพร้อมศิษย์น้องหญิงมู่อีอี!!
“พี่ใหญ่ต้วน เพราะวิญญาณของศิษย์พี่หญิงอีอีสูญหายไปถาวร ส่งผลให้สติปัญญาของนางคงเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต…หากเป็นคนอื่นต่อให้จะบกพร่องทางสติปัญญา แต่ขอเพียงใช้เวลานานเข้าก็ยังพอจะปลูกฝังเรื่องราวอะไรได้ และค่อยๆรู้ความขึ้นเรื่องตามกาลเวลา…”
“ทว่าสถานการณ์ของศิษย์พี่หญิงอีอีมันต่างกัน นางต่างจากคนที่มีอาการบกพร่องสติปัญญาอย่างสิ้นเชิง…เพราะเดิมทีนางมิใช่คนที่บกพร่องทางสติปัญญา ทั้งหมดเกิดจากการที่วิญญาณของนางไม่ครบถ้วนสมบูรณ์…จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้นางรู้ความไปมากกว่านี้ หรือยกระดับสติปัญญาของนางได้”
ขณะที่เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวบอกเรื่องนี้ต่อต้วนหลิงเทียน น้ำเสียงของนางก็หนักอึ้งนัก
‘ศิษย์น้องหญิงอีอี ขอเจ้าวางใจได้เลย…สักวันข้าจะฆ่าล้างนิกายลั่วสุ่ยรวมถึงทุกคนที่ทำร้ายเจ้า!!’
ต้วนหลิงเทียนลอบสัญญาให้มู่อีอีจากก้นบึ้งของใจ ‘ตอนนี้พลังของศิษย์พี่ยังไม่กล้าแข็งพอ ไม่อาจล้างแค้นให้เจ้าได้…อย่างไรก็ตามคนที่หลอมกลืนวิญญาณหมายชิงร่างของเจ้า ได้ตกตายไปแล้ว’
‘สิ่งนี้ถือเสียว่าเป็นดอกเบี้ยที่นิกายลั่วสุ่ยต้องจ่ายเถอะ…’
หลังนิ่งคิดไปพักหนึ่งสองหมัดต้วนหลิงเทียนก็กำแน่น สองตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“นายน้อย”
ผู้เฒ่าหั่วที่สัมผัสได้ว่าตอนนี้อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนกำลงดิ่งลง และจมอยู่กับความรู้สึกผิดขนาดไหน ก็เร่งกล่าวทักเพื่อเบนความสนใจของต้วนหลิงเทียน ด้วยการเอ่ยถามออกมาว่า “คราวนี้ท่านคิดพาเจ้าเด็กน้อยทั้ง 2 จากเผ่ามังกร ที่มารอพบท่านไปด้วยกันหรือไม่?”
พอต้วนหลิงเทียนกลับมารู้สึกตัว เขาก็ตระหนักได้ว่าเจ้าเด็กน้อยทั้ง 2 จากเผ่ามังกรที่ผู้เฒ่าหั่วเอ่ยถึงคือใคร เป็นเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ที่ไม่ทราบไปทำอีท่าไหนถึงแอบหนีออกมาจากเผ่ามังกรและมาหาเขาได้นั้นเอง
“อ่า พาทั้งคู่ไปด้วยกันก็ดี”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ผู้เฒ่าหั่วย่อมไม่ทราบสถานการณ์ภายในโลกใบเล็กของเขา แต่ตัวเขาเองย่อมรู้ดี จึงหวังให้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ใช้เวลาบ่มเพาะพลังในโลกใบเล็กของเขาให้คุ้มค่ามากที่สุด
เพราะการบ่มเพาะพลังในโลกใบเล็กของเขา มันเลิศล้ำยิ่งกว่าสถานที่ใดๆในระนาบเทวโลก
ไม่ต้องกล่าวถึงเผ่ามังกร ต่อให้เป็นสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดของจี้เมี่ยเทียน ก็ยังมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะไม่สู้ภายในโลกใบเล็กของเขา! เพราะตอนนี้โลกใบเล็กภายในกายเขา จะเรียกว่าระนาบเทพย่อมๆ ก็ไม่เกินเลย!
ที่สำคัญในโลกใบเล็กภายในกายเขา ไม่ได้มีแต่พลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพ แต่มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพอยู่ด้วย
เพราะการดำรงอยู่ของพฤกษาเทพกำเนิดชีพนี้เอง ทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินที่เดิมทีก็มีมหาศาลเกินพออยู่แล้ว ไม่มีวันพร่องลงแม้แต่เศษเสี้ยว เรียกว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะจะอยู่ในจุดสูงสุดตลอดไปไม่แปรเปลี่ยน!
เว้นเสียแต่จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ตอนนี้ถึงเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ยังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ แต่ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะปลุกทั้งคู่
“พี่ใหญ่หลิงเทียน!”
หลังจากที่เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ตื่น ก็เร่งรุดมาหาต้วนหลิงเทียนทันที พอพบเห็นเขาทั้งคู่ก็แลดูดีใจเป็นอย่างมาก “พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
“เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ พวกเจ้าเข้าไปในโลกใบเล็กของข้าก่อน มีคนที่พวกเจ้าต้องไปทักอยู่แน่ะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋? คนที่พวกเราต้องไปทัก?”
ตอนแรกเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ก็ไม่ทันได้คิดอะไรมาก ยังหลงคิดว่าคนที่พวกมันต้องไปทักที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถึงก็คือเสี่ยวจินเท่านั้น
จนเมื่อพวกมันเข้ามายังโลกใบเล็กภายในกายของต้วนหลิงเทียน และได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย สองตาของพวกมันก็ทอประกายสว่างจ้า มากล้นไปด้วยยความตื่นเต้นทันที
โดยเฉพาะเสี่ยวไป๋ นางวิ่งโร่โผเข้าไปกอดเฟิ่งเทียนหวู่ด้วยความตื่นเต้นทันที จากนั้นก็ผละตัวไปเข้าสู่อ้อมกอดของลี่หลัวอย่างออดอ้อน “พี่สาวเทียนหวู่ ป้าหลัว…”