ตอนที่ 3,437 : ศึกอัจฉริยะสวรรค์
  ย้อนกลับไปในอดีต เหตุไฉนที่ฟงชิงหยางสามารถรอดชีวิตและไม่ตกตายในนรกอสุรา กระทั่งบรรลุถึงขอบเขตเทพได้นั้น ทั้งหมดเป็นเพราะฟงชิงหยางได้พลัดหลงเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง
  สถานที่แห่งนั้นยังเป็นสถานที่เดียวที่ปลอดภัยในนรกอสุรา!
  ในนรกอสุรานอกจากสถานที่แห่งนั้น กระทั่งทวยเทพทั่วไปเองก็ยากจะรอดชีวิตได้ นับประสาอะไรกับคนที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพ
  เหล่าเซียนอมตะเข้ามา ก็มีแต่สิบตายไร้คนรอด
  และในอดีตที่ไฉนฟงชิงหยางสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ ก็ไม่ใช่เพราะสถานที่แห่งนั้นอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะมรรคากระบี่ที่เข้าใจอีกด้วย
  เพราะมรรคากระบี่ที่เข้าใจ เป็นดั่งใบเบิกทางให้เอาตัวรอดมาได้
  หาไม่แล้วเกรงว่าในปีนั้นคงไม่อาจหลีกหนีความตายได้พ้น กระทั่งไม่มีโอกาสได้เข้าสู่สถานที่แห่งนั้น
  อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วฟงชิงหยางก็เอาตัวรอดมาได้ กระทั่งยังผ่านเข้าออกนรกอสุราหลายครั้ง ถึงขั้นที่หากฟงชิงหยางคิดพาใครเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นด้วยก็ไม่มีปัญหา…เหมือนในอดีตที่เคยพาเมิ่งหลัวเข้าไป
  อย่างไรก็ตามไม่ทราบ่าด้ววเพราะพรสวรรค์มีจำกัดหรือความเข้าใจของเมิ่งหลัวไม่สูงพอ ทำให้หลังจากอยู่ในสถานที่แห่งนั้นได้สักพัก ก็ถูกพลังลี้ลับในสถานที่แห่งนั้นผลักไส จึงทำได้แค่ส่งเมิ่งหลัวกลับออกมาเท่านั้น
  “ถึงแม้ศักยภาพและสติปัญญาของเมิ่งหลัวจะดี แต่ก็เทียบเจ้าหนูไม่ได้”
  ฟงชิงหยางมั่นในตัวลูกศิษย์อย่างต้วนหลิงเทียนมาก
  เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจล่วงรู้ในสิ่งที่ฟงชิงหยางกำลังคิด
  ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้อุทิศตัวกับการทำความเข้าใจรอยกระบี่ในหุบเขา สิ่งที่เขาทำเป็นประจำทุกวันนั้น นอกเหนือจากบ่มเพาะพลัง นอนหลับเพื่อทำความเข้าใจฏมิติแล้ว ก็มีแต่ชมมองรอยกระบี่เพื่อพยายามตระหนักรู้มัน
  1 ใน 3 สิ่งนี้ หากมีสิ่งไหนทำให้จิตใจต้วนหลิงเทียนอ่อนล้า ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะพักผ่อน แบ่งเวลาระหว่างการพักและการฝึกปรือได้อย่างสมดุล
  การแบ่งเวลาดังกล่าวไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้ด่านพลังฝึกปรือล่าช้า การเข้าใจในกฏมิติขาดช่วง และการตระหนักรู้ในรอยกระบี่ขาดตอน แต่มันทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  ‘ยอดใจกระบี่ถูกข้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้สนใจนานเกินไป…มาตอนนี้พอคิดหยิบจับยอดใจกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง ก็ลำบากไม่น้อย หวังว่ามันจะทำให้ข้าตระหนักรู้อะไรในรอยกระบี่ได้ง่ายขึ้นบ้าง…’
  ต้วนหลิงเทียนที่นั่งมองรอยกระบี่บนผนังผาหุบเขา ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ
  ตอนแรกเขาพายามทำความเข้าใจรอยกระบี่ในหุบเขาอยู่นาน ก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจน เรียกว่าไม่พบเจออะไรเลยก็ว่าได้…แต่ในที่สุดวันหนึ่งก็เสมือนมีประกายแสงสว่างวาบขึ้นในใจ เขาก็เลยคิดจะย้อนทบทวนเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดที่สำเร็จตั้งแต่สมัยอยู่ในระนาบโลกียะขึ้นมา!
  ยอดใจกระบี่ ที่ว่าก็คือมรดกที่ฟงชิงหยางทิ้งไว้ในระนาบโลกียะ
  ไฉนที่เขาฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเขานึกได้ว่าตอนอยู่ระนาบเซียน มรดกที่ฟงชิงหยางเหลือทิ้งไว้ก็เป็นรอยกระบี่เช่นกัน หมายความว่ายอดใจกระบี่ไม่พ้นต้องเป็นรากฐานสำคัญและน่าจะมีประโยชน์แน่นอน…เขาจึงตั้งใจจะรื้อฟื้นเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่าง ‘ยอดใจกระบี่’ ขึ้นมาปัดฝุ่นและทบทวนมันอีกครั้ง
  ในอดีตตอนยังอยู่ในระนาบโลกียะ เขาก็ได้เคล็ดยอดใจกระบี่ช่วยเอาไว้มาก
  อย่างไรก็ตามเมื่อพลังฝึกปรือสูงขึ้น ยอดใจกระบี่ ก็ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยเวทย์พลังและวรยุทธ์อมตะใหม่ๆ ต่อมาพอเข้าถึงพลังแห่งกฏ ยอดใจกระบี่ ที่แทบไม่เพิ่มพูนพลังให้เขาได้มากเท่าไหร่ จึงถูกเก็บเข้ากรุไปเรียบร้อย
  กล่าวให้ชัดก็คือ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แตะยอดใจกระบี่มานานกว่า 400 ปีแล้ว!
  ในปัจจุบันต้วนหลิงเทียนก็มีอายุได้ 500 ปีเศษ
  ยอดใจกระบี่ ถูกเก็บเข้ากรุมา 400 กว่าปี สิ่งนี้จะให้พูดอย่างไร?
  ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะแตกฉานเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็จำต้องใช้เวลาพอสมควร
  และในขณะที่รื้อฟื้นเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ารอยกระบี่บนผนังผาของหุบเขา กลายเป็นเรียบง่ายและเข้าใจได้ไม่ยาก ในที่สุดเขาก็ค่อยๆเข้าถึงแก่นและเจตนากระบี่ที่แฝงไว้ในรอยกระบี่แต่ละรอย
  ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
  …
  ในหุบเขาอันสันโดษต้วนหลิงเทียนพยายามฝึกกระบี่ตามความเข้าใจที่ได้รับหลังชมมองรอยกระบี่บนผนังผา และหมายประยุกต์ใช้กับกฏมิติของเขา
  และเมื่อใดก็ตามที่ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่ภวังค์ ทั่วร่างก็ปรากฏเงาร่างกระบี่เปล่งแสงเรืองรองออกมา คล้ายกลับกลายเป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง ให้ความรู้สึกลี้ลับทั้งงดงามไม่น้อย
  เป็นธรรมดาว่าเงาร่างกระบี่ที่ปกคลุมทั่วกาย ยังมีพลังมิติเจือไว้อีกด้วย
  กฏมิติก็คือกฏที่ต้วนหลิงเทียนเชี่ยวชาญมากที่สุด และหลังจากตระหนักรู้รอยกระบี่ได้บางส่วน ต้วนหลิงเทียนก็คลำหนทางใช้กฏมิติร่วมกับกระบี่ได้สำเร็จ
  ตัวอย่างก็เช่นความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ความลึกซึ้งส่งผ่าน แม้แต่ความลึกซึ้งผ่ามิติ ก็สามารถนำมาผสานกับเพลงกระบี่ที่เข้าใจได้ กลายเป็นลี้ลับยากหยั่งถึงมากขึ้นทุกขณะ
  วันเวลาผ่านไปนานเข้า ความสำเร็จในเชิงกระบี่ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งก้าวหน้า
  เป็นธรรมดาว่าบางครั้งเขาก็พบเจอกับจุดตีบตันที่ทำอย่างไรก็ฝึกไม่สำเร็จ
  หากทว่าถึงจะพบเจอจุดตีบตัน แต่สุดท้ายด้วยความพยามอุตสาหะ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ผ่านมันมาได้
  ขณะเดียวกัน ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนก็ยกระดับขึ้นด้วยความเร็วอันน่ากลัว
  “เจ้าหนูช่างมีสติปัญญาเลิศล้ำจริงๆ…”
  ฟงชิงหยางนั้นมักจะมาหาต้วนหลิงเทียนบ่อยๆ แต่เป็นเพราะอยู่ด้านนอก และเฝ้ามองต้วนหลิงเทียนผ่านค่ายกล ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาโดนอาจารย์มา ‘แอบดู’ อยู่
  วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
  เพียงพริบตาเดียวก็ได้ล่วงเลยไปอีกร้อยปี…
  อย่างไรก็ตามด้านต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะฝึกฝนอยู่ในหุบเขารอยกระบี่นั้น ลืมเลือนเวลาไปโดยสิ้นเชิง นอกจากตื่นขึ้นมารับทรัพยากรบ่มเพาะที่ฟงชิงหยางนำมามอบให้ เวลาส่วนใหญ่ต้วนหลิงเทียนก็จมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะฝึกปรือทั้งสิ้น
  “หยุดฝึกก่อนเถอะ…”
  วันนี้เองในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังบ่มเพาะพลังตามปกติ อยู่ๆฟงชิงหยางก็ปรากฏตัวขึ้นและขัดจังหวะการฝึกปรือของเขา “สักพักเจ้าต้องไปกับข้า…นานๆวิหารเฟิงฮ่าวจะใจกว้างสักครั้ง ข้าจะพาเจ้าไปร่วมสนุกด้วย”
  “หืม?”
  ต้วนหลิงเทียนที่ตื่นขึ้น หันไปมองฟงชิงหยางด้วยสายตาว่างเปล่า “ท่านอาจารย์ ที่ท่านบอกว่าวิหารเฟิงฮ่าวใจกว้างมันหมายความว่าอย่างไรหรือ?”
  “วิหารเฟิงฮ่าวนั่น ทุกๆรอบ 1,000 ปีมันจะจัดงานประลองที่เรียกว่า ‘ศึกอัจฉริยะสวรรค์’ ขึ้นมา…และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีก 1 ปีเท่านั้นก็จะครบรอบจัดศึกอัจฉริยะสวรรค์ที่ว่า ในงานจะมีอัจฉริยะที่มีอายุไม่เกิน 1,000 ปีจากระนาบเทวโลกทั้งหลายมาเข้าร่วมการแขงขันช่วงชิงเกียรติยศชื่อเสียง”
  ฟงชิงหยางกล่าวอธิบาให้ต้วนหลิงเทียนฟัง “และครั้งนี้ของรางวัลที่วิหารเฟิงฮ่าวจะมอบให้ผู้ชนะอันดับ 1 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็คือ ‘ผลอมตะหยวนปะทุ’ ถึงแม้ความเร็วในการบ่มเพาะของเจ้าจะรวดเร็วจนน่าทึ่ง และสามารถบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักได้แล้ว… ”
  “แต่ถ้าเจ้าได้ผลอมตะหยวนปะทุนั่นมาล่ะก็ ไม่กี่วันเจ้าต้องทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้แน่นอน!”
  ฟงชิงหยางหัวเราะ ค่อยพูดต่อว่า “หากจักรพรรดิอมตะขั้นอื่นๆใช้มัน เกรงว่าในเวลาไม่กี่วันก็ต้องสามารถทะลวงด่านพลังได้หลายขั้นแน่…อย่างไรเสียผลอมตะหยวนปะทุที่ว่า อย่าว่าแต่ในระนาบเทวโลกเลย เห็นว่าต่อให้เป็นในระนาบเทพเองก็ถือว่าล้ำค่าไม่น้อย”
  “ข้าเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าวิหารเฟิงฮ่าวนั่นมันถึงกับทุ่มทุนสร้างนำผลอมตะหยวนปะทุมาให้เป็นของรางวัลแก่ผู้ชนะอันดับ 1 แบบนี้ได้”
  กล่าวถึงจุดนี้สองตาฟงชิงหยางก็ทอประกายจ้า “หากข้าเดาไม่ผิด…ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ไม่พ้นวิหารเฟิงฮ่าวต้องส่งยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของพวกมันเข้าร่วมแน่!”
  “หาไม่แล้วข้าเกรงว่าวิหารเฟิงฮ่าวคงไม่ใจกว้างถึงขนาดนี้”
  “เพราะผลหยวนปะทุนั่น ต่อให้เป็นวิหารเฟิงฮ่าว ก็นับว่ามีค่าสำหรับพวกมันไม่น้อย”
  “ในสายตาข้า พวกมันแค่คิดใช้ประโยชน์จากสึกอัจฉริยะสวรรค์ แสร้งทำเป็นใจกว้างมอบผลรางวัลเลิศล้ำ แต่ที่แท้พวกมันมั่นใจว่าคนของพวกมันจะได้อันดับ 1 ในศึกอัจฉริยะสวรรค์แน่นอน!”
  “เพียงแค่ให้พวกมันหลับก็คงไม่อาจฝันถึง…ว่าอัจฉริยะอันดับ 1 ที่มีอายุไม่ถึงพันปีจะไม่ได้อยู่ในวิหารเฟิงฮ่าวของพวกมัน แต่อยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนของเรา!”
  กล่าวถึงประโยคท้าย ฟงชิงหยางก็มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ!
  เรื่องพลังฝีมือที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนนั้นมันไม่อาจล่วงรู้ได้แน่ชัด แต่จากข้อมูลที่ได้รับมาว่าต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานามที่เป็นมือสังหารลือชื่อของอู๋หยาเทียน แถมยังทำร้ายจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือจนบาดเจ็บสาหัสได้อีก!
  เช่นนั้น 300 ปีให้หลังพลังฝีมือของลูกศิษย์มันจะอ่อนด้อยได้หรือ?
  ยิ่งไปกว่านั้นตลอดร้อยปีที่ผ่านมา มันมักสอดส่องการฝึกปรือของลูกศิษย์คนนี้บ่อยครั้ง ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เผยการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติออกมาเลย จนทำให้มันไม่รู้ว่าที่แท้ลูกศิษย์ของมันเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของมิติได้ถึงขนาดไหน
  ทว่าดูจาก การใช้กระบี่ผสานความลึกซึ้งมิติได้ดั่งใจนั่น ทำให้มันตระหนักได้ว่าลูกศิษย์ของมันคนนี้มีความเข้าใจในกฏมิติไม่ใช่ชั่ว!
  “ผลอมตะหยวนปะทุ?”
  วาจาดังกล่าวของฟงชิงหยางทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที
  สำหรับศึกอัจฉริยะสวรรค์นั่น ตอนที่เขายังอยู่ในวังเทียนฉือ เขาก็เคยได้ยินศิษย์พี่ 6 ผู้อ้วนท้วมอย่างหงเฟยกล่าวถึงมาก่อน และรู้ว่านั่นคืองานประลองครั้งใหญ่ที่วิหารเฟิงฮ่าวจะจัดขึ้นทุกๆรอบ 1,000 ปี
  ในตอนที่อยู่วังเทียนฉือเขาก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นหงเฟยก็ได้บอกเขาแล้วว่า งานประลองดังกล่าวกว่าจะเริ่มขึ้นก็อีก 300 กว่าปี
  แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าดุจพริบตาเดียว 300 กว่าปีที่ว่าจะผ่านพ้นไปแล้ว และศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็กำลังจะเริ่มขึ้นในปีหน้า!
  ว่ากันว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น จะรวบรวมเหล่าอัจฉริยะที่อายุไม่ถึง 1,000 ปีจากทั่วทุกระนาบเทวโลก และไม่ว่าใครก็ตามที่เดินทางมาเข้าร่วมการประลองดังกล่าว ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะไร้ผู้ต้านทั้งสิ้น!
  ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้รับฟังมาว่า ถึงแม้ที่วังเทียนฉือจะมีศิษย์อัจฉริยะที่อายุไม่ถึงพันปีไม่น้อย และศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ในแต่ละรุ่นก็ร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว…
  อนิจจาในประวัติศาสตร์ของวังเทียนฉือ กลับไม่มีศิษย์อัจฉริยะคนใดสามารถติด 1 ใน 1,000 อันดับแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้เลย!
  ต้องทราบด้วยว่า วังเทียนฉือนั้นถึงแม้ให้มองเทียบกับเหล่าขุมกำลังระดับสวรรค์ทั้งมวลแล้วจะไม่นับว่าโดดเด่นอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยๆก็มีพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนหนุนหลัง ทำให้มีอัจฉริยะมากมายพยายามเข้าร่วมกับวังเทียนฉือเพื่อใช้เป็นทางผ่านเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน ซึ่งในอดีตเขากับฮ่วนเอ๋อก็ใช้ข้ออ้างนี้เช่นกัน…กระนั้นศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือกลับไม่เคยติดอยู่ใน 1,000 อันดับแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์สักครั้ง
  จากจุดนี้จึงเห็นได้ว่า ศึกอัจฉริยะสวรรค์มีอัตราการแข่งขันสูงล้ำขนาดไหน!
  และในศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็มีแต่ผู้ที่มีพลังฝีมือติด 100 อันดับแรกเท่านั้น ถึงจะได้รับรางวัลจากวิหารเฟิงฮ่าว
  “ศึกอัจฉริยะสวรรค์…หนึ่งปีหลังจากนี้?”
  สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวาบ จากนั้นก็หันไปมองถามฟงชิงหยางว่า “ท่านอาจารย์ แล้วศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบนี้ จะจัดขึ้นที่ระนาบเทวโลกไหนหรือ?”
  เท่าที่เขารู้มาสถานที่จัดศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น จักรพรรดิสวรรค์ของทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ และหมุนเวียนกันจัดการแข่งขัน
  นี่เป็นประเพณีของระนาบเทวโลกก็ว่าได้
  วิหารเฟิงฮ่าวได้ดำรงอยู่มาเนิ่นนานแล้ว และศึกอัจฉริยะก็ถูกจัดขึ้นหลายครั้งจนไม่อาจนับ
  กล่าวได้ว่าให้มองทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก ก็ไม่มีจักรพรรดิสวรรค์คนไหนดำรงอยู่มายาวนานมากพอ จนล่วงรู้ว่าที่แท้ศึกอัจฉริยะของวิหารเฟิงฮ่าวถูกจัดขึ้นมากี่ครั้งแล้วกันแน่!
  “หยวนฉื่อเทียน”
  ฟงชิงหยางกล่าวตอบ
  “หยวนฉื่อเทียนงั้นหรือ?”
  ลูกตาต้วนหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อย ในใจหวนนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อ 300 ปีก่อน ตอนที่เขาท่องไปทั่วระนาบเทวโลกต่างๆพร้อมผู้เฒ่าหั่วเพื่อตามหาครอบครัว และในตอนนั้นพอไปถึงหยวนฉื่อเทียน ผู้เฒ่าหั่วก็ได้บอกเขาว่า…
  “นายน้อยท่านจดจำได้หรือไม่? ว่าในอดีตตอนที่นายน้อยได้รับปฐมเวทย์กลืนกินมา ข้าเคยบอกว่ามันเป็นดั่งเวทย์พลังฉบับพื้นฐานของเวทย์พลังมหาเวทย์กลืนกิน?”
  “เจ้าของเวทย์พลังมหาเวทย์กลืนกินนั่น เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์คนหนึ่ง ยังเป็นสัตว์เทพที่ด่านพลังบรรลุถึงครึ่งก้าวเทพแล้วด้วย แถมบางคนยังสงสัยว่ามันอาจจะบรรลุถึงขอบเขตเทพไปแล้วด้วยซ้ำ…อย่างไรก็ตามด่านพลังของมันที่แท้บรรลุถึงขั้นไหน ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้แน่ชัด”
  “และมันก็คือจักรพรรดิสวรรค์ของหยวนฉื่อเทียนแห่งนี้”