ตอนที่ 3,438 : เทพเบญจธาตุ ถูกเปิดเผย!
ปฐมเวทย์กลืนกิน สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วเขารู้จักมันดี
กระทั่งสมัยยังอยู่ในระนาบโลกียะ นอจากยอดใจกระบี่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขามีเปรียบผู้อื่นหลายช่วงตัวก็คือการใช้ปฐฐมเวทย์กลืนกินเพื่อยกระดับพลังในร่างนั่นเอง
ตอนที่เขาออกตระเวนตามหาครอบครัวในระนาบเทวโลกต่างๆ เมื่อมาถึงหยวนฉื่อเทียน ผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวเล่าเรื่องราวออกมา ทำให้เขาอดย้อนนึกถึงวันวานไม่ได้
มาตอนนี้ ฟงชิงหยาง อาจารย์ของเขาก็พึ่งบอกว่า
ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ จะถูกจัดขึ้นในหยวนสื่อเทียน ทำให้เขาอดคิดไปไม่ได้ว่าโลกนี้มันแคบเหลือเกิน…
‘จักรพรรดิสวรรค์แห่งนหวนสื่อเทียน เดิมก็เป็นจักรพรรดิสวรรค์ที่มีพลังฝีมือติด 3 อันดับแรก…จนเมื่ออาจารย์กับออกมาจากนรกอสุรา และถูกคนคาดเดากันว่าด่านพลังสมควรทะลวงถึงขอบเขตเทพแล้ว มันก็เลยตกไปอยู่อันดับที่ 4 …’
ต้วนหลิงเทียนอดนึกถึงสิ่งที่ผู้เฒ่าบอกเขาไม่ได้
เขาจึงรู้ว่า ในปัจจุบัน อาจารย์ของเขา รั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของรายจักรพรรดิสวรรค์ ด้อยกว่าก็แค่ 2 คนเท่านั้น
และจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 2 ที่ว่า อันดับแรกก็คือคนที่ทุกคนรู้กันดีว่าด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตเทพไปแล้ว…ส่วนอันดับที่ 2 นั้นถูกคาดเดากันว่าน่าจะบรรลุถึงครึ่งก้าวเทพเท่านั้น
สำหรับจักรพรรดิสวรรค์แห่งหยวนสื่อเทียน แม้จะมีหลายคนคาดเดากันไปว่ามันอาจบรรลุถึงขอบเขตเทพไปแล้ว แต่เนื่องจากมันไม่เคยเผยพลังออกมาเลย จึงทำได้แค่รั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของรายนามจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้น
จนเมื่ออาจารย์ของเขากลับออกมาจากนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก และทวงคืนบัลลังก์จักรพรรดิสวรรค์จนโด่งดังชั่วข้ามคืน หลายคนก็เลยคาดเดากันว่าอาจารย์เขาบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว
หาไม่แล้วจะออกมาจากนรกอสุราได้อย่างไร?
ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลกเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหมด ที่มีพลังฝีมือตั้งแต่เทพสงคราม 1 ดารา ไปจนถึงเทพสงคราม 8 ดารา และเคยเข้าสู่นรกอสุราก็ไม่มีใครเคยรอดกลับออกมาเลย
ฟงชิงหยางเป็นคนแรกที่รอดกลับออกมาจากที่นั่น
ส่วนเทพสงคราม 9 ดาราเข้าไปแล้วจะรอดกลับออกมาได้หรือไม่ บางคนบอกว่าได้ บางคนก็บอกว่าไม่ได้ เพราะจากข้อเท็จจริงที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าแล้ว เว้นเสียแต่จะทะลวงถึงขอบเขตเทพก่อน หาไม่แล้วถ้าทะเล่อทะล่าเข้าสู่นรกอสุราก็มีโอกาสตาย 9 ใน 10 ส่วน
“ยังเหลือเวลาให้เตรียมตัวอีก 1 ปี…ตลอดปีเจ้ากก็พักอยู่กับข้าเถอะ หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ถามข้าได้”
ฟงชิงหยางกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “เหตุผลที่ข้าไม่รบกวนเจ้าในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาเพราะข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจมรรคากรบี่ของเจ้าเอง จากรอยยกระบี่ที่ข้าทิ้งไว้”
“มรรคากระบี่ของข้าคือการทำลายล้าง หากเจ้าคิดจะก้าวเดินตามมรรคากระบี่ของข้า เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะบรรลุถึงความสำเร็จระดับเดียวกับข้า…เพราะมรรคากระบี่ข้าเกิดจากการทำความเข้าใจกฏทำลายล้างมาเนิ่นนาน และเส้นทางของข้าก็ใช่ว่าจะเหมาะกับเจ้า”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะค้พบมรรคากระบี่มิติของเจ้าเอง…และข้ามีลางสังหรณ์อันแรงกล้า ว่าวันใดหากเจ้าสำเร็จมรรคากระบี่มิติถึงระดับเดียวกับข้าได้ เกรงว่าในแง่เชิงกระบี่แล้ว ข้าอาจจะสู้เจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“กฏมิติอย่างไรก็คือ 1 ใน 4 กฏสูงสุด นอกจากกฏแห่งเวลาแล้ว มันมนับเป็นกฏที่ลึกลับยากหยั่งถึงมากที่สุด”
ฟังจากคำพูดของฟงชิงหยาง เห็นว่าตีค่ากฏมิติไว้สูงมาก
“ตลอดปีหลังจากนี้ ข้าจะไม่ชี้แนะวิถีกระบี่ทำลายล้าง…แต่จะชี้แนะวิถีกระบี่มิติที่เจ้าพยามเข้าใจ”
“เจ้าลองฟังดู หากฟังแล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะกับตัวเอง ก็ทำตามใจเจ้าปรารถนาเถอะ”
“เพราะสุดท้ายแล้ว ข้าก็ไม่ใช่เจ้า”
ได้ยินคำพูดของฟงชิงหยางต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายหวังดีกับตัว และบอกให้รู้ว่าเส้นทางที่ฟงชิงหยางชี้แนะไม่จำเป็นต้องเหมาะกับเขา…เพียงแค่ใช้มันเป็นแค่ข้อมูลอ้างอิงหรือเป็นแนวทางเท่านั้น
“ทราบแล้วท่านอาจารย์”
ต้วนหลิงเทียนตอบ ถึงแม้เรื่องนี้อาจารย์เขาจะไม่พูด แต่เขาเองก็รู้ดีว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เพราะ 1 ใน 5 เทพเบฯจธาตุอย่างวารีเทพชำระโลกาได้บอกกับเขาเรียบร้อยแล้ว
เขาสามารถศึกษามรรคากระบี่อันน่าเกรงขามของอาจารย์ได้ แต่เขาไม่มีวันก้าวเดินตามทางสายนั้นได้สุดทาง เพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็เป็นเส้นทางของกระบี่ทำลายล้าง
แต่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญคือกฏมิติ
ตลอดปีหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พักอาศัยอยู่กับฟงชิงหยาง แน่นอนว่าบ้านพักของฟงชิงหยางแม้จะหลังเล็ก แต่ก็มีห้องอื่น นอกเหนือจากบ่มเพาะฝึกฝนตามปกติแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามฟงชิงหยางเรื่องที่ยยังติดขัด และไม่เข้าใจ
แน่นอนว่าข้อสงสัยที่เอ่ยถามไม่ใช่ว่าพึ่งมี แต่เป็นจุดที่สงสัยที่สะสมมาตั้งแต่อดีต
จะอย่างไรก็แล้วแต่ หลังข้อสงสัยที่มีมานานกว่า 100 ปีถูกไขให้กระจ่างแล้ว ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบปัญหาใหม่…
เพราะคำชี้แนะบางอย่างของฟงชิงหยางมันก็เหมาะกับต้วนหลิงเทียน แต่บางอย่างก็ไม่เหมาะ…แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียยนก็รู้ว่าต้องเลือกอย่างไร
เช่นนั้น ในที่สุดมรรคากระบี่มิติของต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นมา
และความก้าวหนาดังกล่าวยังสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆให้ฟงชิงหยางอีกด้วย
“การเดินทางไปยังหยวนสื่อเทียนครั้งนี้…อัจฉริยะไร้คู่เปรียบอุไม่ถึงพันทั้งหลายจากระนาบเทวโลกทั้งหลาย เกรงว่าคงเป็นได้แค่ใบไม้ร่วงที่ปลิวว่อนอยู่เบื้องหลังเจ้าเท่านั้น…”
ฟงชิงหยางถอนหายใจกล่าว
ขณะเดียวกัน ยังลอบเพิ่มอีกประโยคในใจด้วย
‘รวมถึงอัจฉริยะของวิหารเฟิงฮ่าว’
“วิหารเฟิงฮ่าวครั้งนี้ถูกขิตให้ขโมยไก่ไม่สำเร็จ ยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือแล้วจริงๆ…ในเมื่อกล้าควักผลอมตะหยวนปะทุออกมา ก็อย่าหวังว่าจะได้กลับไปอีกเลย…”
ขณะพึมพำ สองตาฟงชิงหยางก็ทอประกายสว่างวาบ
“ท่านอาจารย์ แล้วพวกเราจะออกเดินนทางเมื่อไหร่หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
ตัวเขาเองสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ เพราะครอบครัวของเขาก็อาศัยอยยู่ในโลกใบเล็กภายในกายของเขาหมดแล้วสามารถออกมาพบกันได้ทุกเวลา ไม่ต้องเตรียมสิ่งใดอีก
“ออกเดินทางพรุ่งนี้แล้วกัน”
ฟงชิงหยางกล่าว “วันนี้ข้าต้องไปฝากฝังเรื่องราวให้เมิ่งหลัวก่อน”
“ทราบแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนขานรับ
…
ยามเที่ยงของวันต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ติดตามฟงชิงหยางไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน และเดินทางไปยังหยวนสื่อเทียนทันที
‘ท่านอาจารย์ไม่เคยไปพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนงั้นหรือ?’
พอมาถึงหยวนสื่อเทียน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าฟงชิงหยางไม่เคยมาหยวนสื่อเทียนเป็นแน่ เพราะพอมาถึงก็ไปถามหาทางไปพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์กับผู้อื่นทันที
“จริงสิท่านอาจารย์ แล้วศึกอัจฉริยะนั่นจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจรายละเอียดสักเท่าไหร่ เดี๋ยวพอไปถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนก็น่าจะรู้ได้ไม่ยาก…แต่อย่างไรเสีมันก็คงไม่เริ่มเร็วนักหรอก เพราะในอดีตแล้วแม้จะถึงกำหนดเวลานัหมาย แต่ก็ยังรออีกราวๆปีครึ่งเพื่ออลุ่มอล่วยให้อัจฉริยะที่อู่ไกลห่างมาเข้าร่วมได้ทัน ก่อนจะเริ่ม”
ฟงชิงหยางกล่าว
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจ
ระหว่างเดินทางไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยางก็ต่างคนต่างเงียบ จนเมื่อฟงชงหยางอยู่ๆก็เอ่ยเรื่องหนึ่งขึ้นมา ทำให้ลูกตาของต้วนหลิงเทียนถึงกับหดเล็กลงฉายชัดถึงความตกใจทันที
“เป็นเรื่องดีที่เจ้าได้รับสมบัติเลิศล้ำอย่างเทพเบญจธาตุมาครอง…แต่เจ้าก็อย่าได้พึ่งพลังอำนาจของมันมากนัก”
และด้านบน ก็คือวาจาที่อยู่ๆฟงชิงหยางก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ท่านอาจารย์ ท่าน…ท่านหมายความว่าอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองตาที่ฉายถึงความตกใจหวนคืนสู่ความปกติในพริบตา จากนั้นก็หันไปมองถามฟงชิงหยางด้วยท่าทางสงสัย
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะทำเป็นสงบไร้พิรุธได้แนบเนียน แต่ฟงชิงหยางก็สังเกตเห็นเป็นธรรมดา จึงกล่าวออกด้วยรอยิ้มขบขันว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ตั้งแต่ที่ข้าเห็นเจ้าครั้งแรก ข้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเทพเบญจธาตุในตัวเจ้าแล้ว และระดับขั้นก็สูงเอาเรื่องทีเดียว”
“แต่เรื่องของเรื่องก็คือ…ผู้อื่นเขามีเทพเบญจธาตุกันแค่ธาตุเดียว แต่เจ้ากลับมีถึง 5 ธาตุ..”
“นอกจากนั้นข้ายยังสัมผัสได้ถึงขุมพลังชีวิตอันมหาศาลในตัวเจ้า…หากข้าเดาไม่ผิด ในโลกใบเล็กภายในกายของเจ้าไม่พ้นต้องมีสมบัติบางอย่างที่เสริมสร้างพลังชีวิตอย่างน่าสะพรึงกลัวดำรงอยู่”
“ที่สำคัญ สมบัตินั่นของเจ้า สมควรช่วยเหลือให้ผู้อื่นเข้าใจกฏแห่งชีวิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ”
ฟงชิงหยาง
หากวาจาประโยคแรกทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจจนต้องตีเนียนไม่รู้เรื่อง วาจาประโยคหลังของฟงชิงหยางก็ทำให้ต้วยยหลิงเทียนได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมแล้วจริงๆ “ท่านอาจารย์ ท่าน…ท่านรู้ได้อย่างไร?”
ฟงชิงหยางหัวเราะเบาๆ ค่อยกล่าว “อันที่จริงพอพลังฝึกปรือต่างกันถึงระดับหนึ่ง เจ้าก็จะสามารถมองเห็นอะไรๆได้มากขึ้น…อย่างไรเสียหากเป็นข้าในอดีตก็คงมองสิ่งที่เจ้ามีไม่ออกหรอก”
“พูดง่ายๆว่าหากมีตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตเทพและแข็งแกร่งเข้าหน่อย คิดจะมองสิ่งีท่อยู่ในร่างเจ้าก็ไม่ยากอะไร…สุดท้ายแล้วด่านพลังของเจ้าก็ยังอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอมตะเท่านั้น”
“และเหตุไฉนที่ข้าถึงงได้รู้รายละเอียดสิ่งที่เจ้ามีมากนัก…เพราะข้าเคยหลอมสมบัติที่ได้มาบังเอิญชิ้นหนึ่งในนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลกนั่น”
“สมบัติที่ข้าว่าไม่ได้มีพลังอำนาจใดอื่น แต่มันสามารถเสริมสร้าง จิตสัมผัส ของข้าให้แข็งแกร่งมากกว่าเดิมถึง 10 เท่า!”
ถึงแม้ฟงชิงหยางจะกล่าวว่าสมบัติที่ได้มาไม่มีผลใดอื่นนอกจากเสริมจิตสัมผัสให้แข็งแกร่งขึ้น 10 เท่า แต่ต้วนหลิงเทีนก็รู้ดีว่านั่นมีค่ามหาศาลขนาดไห
จิตสัมผัสนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสำนึกเทวะบางส่วน แต่ก็แยกออกมาจากสำนึกเทวะ
มันเป็นดั่งสัมผัสที่ 6 หรือการรับรู้พิเศษที่เรียกว่า ญาณทิพย์
หากเป็นต้วนหลิงเทียนเมื่อร้อยปีก่อน คงไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้มากนัก แต่ตอนนี้เขารู้แล้ววว่าจิตสัมผัสและการรับรู้ของผู้คนสำคัญไฉน
หากมีจิตสัมผัสสูง นั่นหมายความว่า การรับรู้ถึงสรรพสิ่งโดยรอบมีความง่ายดายขึ้น แม้จะไม่ต้องเพ่งจิตหรือแผ่สำนึกเทวะออกไปสำรวจ
และที่สำคัญในการต่อสู้ ผู้ที่มีจิตสัมผัส และการรับรู้อยู่ในระดับสูง จะสามารถมองถึงุจดอ่อนและข้อบกพร่องของผู้อื่นได้ไม่ยาก สามารถเล่นงานจุดอ่อนสยบผู้อื่นได้ในคราวเดียว!
“ไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์จะพบพานวาสนาเช่นนี้”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่กล่าวออกมาอ่างทอดถอนใจ ด้วยรอยยิ้มแห้งๆ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสิ่งที่เขาปิดซ่อนผู้อื่นได้มาโดยตลอด ที่แท้จะถูกฟงชิงหยางมองออกนานแล้ว
“อันที่จริงข้าก็ไม่ตั้งใจจะเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเจ้าหรอก”
ฟงชิงหยางกล่าว “แต่พอดีคราวนี้เจ้ากับข้ากำลังจะไปถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน”
“คราวนี้ข้าเชื่อว่าในบรรดาผู้ที่มาเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน…ต้องมีตัวตนระดับเทพมาร่วมงานด้วยเป็นแน่! อย่างน้อยๆก็ต้องมีเหล่าเทพของวิหารเฟิงฮ่าวที่มาคุมการประลอง”
“ด้วยเหตุนี้ข้าก็เลยอยากเตือนเจ้าว่า…ระหว่างที่เข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน เป็นการดีเสียกว่าที่เจ้าจะปิดกั้นโลกใบเล็กภายในกาย ตัดขาดมันจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์”
“หากเป็นเทพทั่วไป ก็คงยากที่จะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่มีในโลกใบเล็กของเจ้า…แต่ใครจะกล้าพูดว่าพวกมันไม่มีโชคพบเจออะไรแล้วมีความสามารถคล้ายๆข้า?”
พอได้ยินคำเตือนของฟงชิงหยาง เหงื่อกาฬต้วนหลิงเทียนก็แตกพลั่กชุ่มหลัง เขากลัวจริงๆ เดิมทีคิดว่าทุกอย่างถูกซ่อนไว้ดีแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าที่แท้เขาจะตกอู่ในความเสี่ยงตลอดเวลา!
ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ เขาเร่งกล่าวบอกเทพเบญจธาตุและเหล่าครอบครัวในโลกใบเล็กของเขาทันที จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ทำการปิดกั้นโลกใบเล็กภายในกายอย่างสมบูรณ์ ตัดขาดมันจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
ในสถานการณ์นี้ ผู้คนในโลกใบเล็กของเขา รวมถึงเทพเบญจธาตุ ก็ไม่มีทางล่วงรู้เลยยว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก และก็ไม่อาจริเริ่มออกมาเองได้อีก
เว้นเสียแต่จะทำลาโลกใบเล็กภายในกายของต้วนหลิงเทียน
หรือไม่ก็รอให้ต้วนหลิงเทียนตายตก จนโลกใบเล็กล่มสลาย ถึงตอนนั้นทุกคก็จะสามารถออกมาได้เองตามธรรมชาติ
แน่นอนว่าในสภาพนี้ ทุกคนไม่อาจติดต่อสื่อสารต้วนหลิงเทียนได้อีกต่อไป ทำได้แค่รอให้ต้วนหลิงเทียนติดต่อมาหาเองเท่านั้น
และเป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กออกมาบ่มเพาะได้อีกต่อไป…