ตอนที่ 3,439 : สิทธิพิเศษของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์!
“ท่านอาจารย์”
หลังจากปิดกั้นโลกใบเล็กและทำให้มันตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์แล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองฟงชิงหยาง ด้วยอาการคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลจนสุดท้ายไม่ได้พูดออกมา
“เสี่ยวเทียน เจ้าอยากถามข้าว่า…ไฉนถึงไม่ฆ่าเจ้าแล้วช่วงชิงเทพเบญจาตุของเจ้าไปใช่หรือไม่?”
ฟงชิงหยางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มรู้ทัน
เห็นได้ชัดว่าคาดเดาความในใจของต้วนหลิงเทียนได้ออก
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ตั้งใจเอ่ยถามออกมาตรงๆแบบนั้น แต่เขาก็อดอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้ ว่าไฉนอาจารย์ของเขาถึงแลดูไม่สนใจเทพเบญจธาตุเลย?
ด้วยศักยภาพของอาจารย์เขา หากอีกฝ่ายเข่นฆ่าเขาทิ้ง เทพเบญจธาตุก็สมควรเต็มใจอยู่ในร่างอาจารย์แน่
ท้ายที่สุดแล้ว ศักยภาพของอาจารย์เขาคืออะไรเล่า?
แม้จะไม่มีเทพเบญจธาตุ แต่ก็เป็นถึงเมล็ดพันธุ์ผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว!
ถึงในใจต้วนหลิงเทียนจะมีคิดเช่นนั้นจริง แต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวถามออกมาตรงๆ พอเห็นว่าฟงชิงหยางรู้ทัน จึงได้แต่คลี่ยิ้มโง่งมออกมา
ฟงชิงหยางเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะออกมาอีกรอบ ค่อยกล่าวว่า “ก็จริงที่เทพเบญจธาตุนั้นมีค่ามาก แต่ต่อให้เป็นเทพเบญจธาตุแล้วอย่างไร ให้เลิศล้ำแค่ไหน…ในสายตาข้ามันก็แค่พลังภายนอกอย่างนึง”
“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ข้าไม่สนใจเทพเบญจธาตุ เพราะเกรงว่ามันอาจจะรบกวนมรรคากระบี่ของข้าเลย…ต่อให้ข้าอยากได้เทพเบญจธาตุจริง ข้าก็ไม่มีวันทำร้ายเจ้าหรอก เจ้าคือศิษย์เพียงคนเดียวของข้า ทั้งยังสืบทอดมรรคากระบี่ของข้า ในสายตาข้าเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากลูกชายแท้ๆคนหนึ่ง…เสือร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง แล้วข้าจักทำเรื่องเดียรัจฉานเช่นนั้นได้อย่างไร…”
ได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของฟงชิงหยาง ใจต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปไม่น้อย ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมา
เพราะก่อนหน้าเป็นเขาเลือกจะปกปิดเรื่องราวทั้งหมดกับอาจารย์ เหตุผลก็คือกลัวอาจารย์จะบังเกิดจิตคิดไม่ซื่อ หมายปองเทพเบญจธาตุของเขา
จังหวะนี้เขาพลันตระหนักได้ชัดเจน ถึงความหมายของคำว่า ‘ใช้จิตใจคนถ่อยหยั่งวัดวิญญูชน’
“ท่าอาจารย์ ข้าขอโทษ…”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่กล่าวคำขอขมาออกมาหน้าซึม
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอก”
ฟงชิงหยางส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ยังดีเสียอีกที่เจ้ารู้จักระวัง เพราะต่อให้เป็นข้าเองก็ต้องทำเหมือนเจ้าเช่นกัน…คราวนี้ถ้าไม่ใช่เพราะข้ากังวลว่าเรื่องราวในโลกใบเล็กเจ้าเสี่ยงจะเปิดเผยออกมาที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ข้าก็ตั้งใจจะไม่พูดเรื่องนี้แต่แรก แต่ไม่อาจไม่ระวังไว้ก่อนได้จริงๆ”
“เพราะหากโลกใบเล็กภายในกายเจ้าไม่ได้ถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้อยู่”
หลังได้ยินคำเตือนของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญของเรื่องราว ในใจบังเกิดความระวังเพิ่มขึ้นหลายส่วน ยังคิดไปว่าวันหน้าหากไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มั่นใจว่าปลอดภัยจริงๆ เขาจะไม่มีวันถอนการปิดกั้นโลกใบเล็กออกเด็ดขาด!
หากไม่ใช่เพราะอาจารย์กล่าวเตือน เกรงว่าการมาเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนครั้งนี้ อาจจะเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ
และไม่นานนัก ต้วนหลิงเทียนกับฟงชิงหยางก็มาถึงด้านหน้าประตูใหญ่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน
พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ก็มีลักษณะที่ตั้งละม้ายคล้ายพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ส่วนใหญ่ในระนาบเทวโลก มันตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าที่ลอยล่องอยู่เหนือหมู่เมฆ มองไปละม้ายคล้ายอสูรกายดึกดำบรรพ์ตัวเขื่องซุ่มซ่อนในม่านหมาก โดยรอบยังเต็มไปด้วยแสงพลังอาคมลี้ลับน่ากลัวแล่นตัดกันไปมา อาศัยแสงพลังอาคมดังกล่าว ก็ทำให้ไม่มีใครกล้าทะเล่อทะล่าเข้ามาใกล้แล้ว
“ท่านอาจารย์ ว่าแต่ศึกอัจฉริยะสวรรค์ที่จะมุ่งเป้าไปที่อัจฉริยะอายุไม่ถึงพันปีนี่…อัจฉริยะทั่วไปไร้สังกัด จะสามารถมาเข้าร่วมด้วยตัวเองได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“แน่นอนว่าไม่ได้”
ได้ยินคำถามต้วนหลิงเทียน ฟงชิงหยางก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “หากใครคิดจะมาก็มาได้ เช่นนั้นพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ไม่กลายเป็นตลาดเช้าแสนวุ่นวายแล้วหรือ? ”
“แต่ละระนาบเทวโลกนั้น อัจฉริยะที่อายุไม่ถึงพันส่วนใหญ่จะมีภูมิหลังความเป็นมาทั้งสิ้น…เพราะสุดท้ายแล้วหากไร้ซึ่งสภาพแวดล้อมและทรัพยากรดีๆ จะมีความร้ายกาจเทียบเทียมเหล่าอัจฉริยะอายุไม่ถึงพันที่ได้รับการปลูกฝังมาอย่างดีได้อย่างไร?”
ฟงชิงหยางเอ่ยเสริม “ดังนั้น แทบทุกครั้งที่มีศึกอัจฉริยะสวรรค์ มากกว่า 9 ส่วนของอัจฉริยะที่เข้าร่วมการแข่งขัน ก็มีขุมกำลังหนุนหลังทั้งสิ้น ไม่เว้นคนของวิหารเฟิงฮ่าวเอง…จริงอยู่ว่ามีอัจฉริยะไร้สังกัดที่เจ้าพูดถึงอาจจะมีอยู่บ้าง แต่ตัวตนเหล่านั้นหากคิดจะช่วงชิงอะไรกับผู้อื่นได้ ก็ต้องมีโชควาสนาปาฏิหาริย์จริงๆ เรียกว่าต้องผ่านการผจญภัยอันเหนือคาดคิด สุดที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ออก”
คำพูดของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนเองก็เข้าใจ “แล้วอัจฉริยะที่ว่าล่ะอาจารย์ หากพวกมันคิดเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ต้องทำอย่างไรหรือ ไม่อาจไปสมัครที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หน้างานด้วยตัวเองโดยตรงได้เลย?”
“ไม่ได้หรอก”
ฟงชิงหยางส่ายหัว “หากอัจฉริยะไร้สังกัดที่เจ้าว่าอยากเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์จริง อย่างน้อยๆก็ต้องมีพลังฝีมือใกล้เคียงจักรพรรดิอมตะสมญานาม…และเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 2 ประการอย่างน้อยหนึ่งชุด..”
“เมื่อมีคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ก็ต้องไปเยือนวิหารเฟิงฮ่าวที่ตั้งอยู่ทั่วทุกระนาบเทวโลกเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติรับสิทธิ์เข้าร่วม”
“หากมีคุณสมบัติถึง ก็จะถูกวิหารเฟิงฮ่าวพามาเข้าร่วม”
ฟงชิงหยางกล่าว
“แบบนี้นี่เอง”
ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้ทันที
“สำหรับอัจฉริยะจากขุมกำลังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ต่างๆ ก็เสมือนได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ต้องผ่านการตรวจวสอบคุณสมบัติเข้าร่วมของวิหารเฟิงฮ่าว สามารถมาเข้าร่วมได้โดยตรง…เหมือนพวกเราก็เช่นกัน เจ้าอาจเห็นว่าเจ้ามากับข้าแค่สองคน แต่ความจริงข้าให้เมิ่งหลัวไปพาอัจฉริยะของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเรามาเรียบร้อยแล้ว”
ฟงชิงหยางกล่าว
“ผู้อาวุโสเมิ่งหลัว?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้า เขาก็คิดอยู่แล้วเชียว่าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ไหนเลยจะขาดอัจฉริยะอายุไม่ถึงพันที่จะเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์…แล้วไฉนถึงไม่มาด้วยกันกับพวกเขา?
ปรากฏว่าที่อาจารย์ไปหาอาวุโสเมิ่งหลัวก่อนออกเดินทาง ก็เพื่อให้อาวุโสเมิ่งหลัวพาคนอื่นมานี่เอง
“สำหรับอัจฉริยะของขุมกำลังระดับสวรรค์ หากเกี่ยวข้องกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ก็สามารถติดสอยห้อยตามพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์มาเข้าร่วมได้อยู่…หากไม่อาจติดสอยห้อยตามคนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ได้…เช่นนั้นก็ต้องไปเข้าร่วมการทดสอบวัดคุณสมบัติที่วิหารเฟิงฮ่าว และให้วิหารเฟิงฮ่าวพามาเข้าร่วมถ่ายเดียว”
ได้ยินคำอธิบายของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจเกณฑ์การเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์โดยละเอียด
พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก มีคุณสมบัติพาคนมาเข้าร่วมได้ทันที
นอกนั้นต้องไปตรวจวัดคุณสมบัติที่วิหารเฟิงฮ่าว และให้วิหารเฟิงฮ่าวพามาเข้าร่วม
กล่าวอีกอย่างได้ว่า อัจฉริยะที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนครั้งนี้ หากไม่ได้มากับพระราชวังจักรพรรดิสวรรต์ ก็ต้องมากับวิหารเฟิงฮ่าว
‘วิหารเฟิงฮ่าวมีตัวตนขอบเขตเทพ…และในบรรดาจักรพรรดิสวรรค์ก็มีตัวตนขอบเขตเทพอยู่แน่’
พอนึกถึงคำเตือนก่อนหน้าของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจแล้วว่าไฉนอาจารย์ถึงเอ่ยเรื่องปิดกั้นโลกใบเล็กออกมา เพราะศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ น่ากลัวว่าตัวตนขอบเขตเทพทั้งหลายจะมารวมตัวกันไม่น้อย!
ด้วยกลัวว่าตัวตนเหล่านั้นจะค้นพบความลับของเขา อาจารย์ก็เลยกล่าวเตือนเขาออกมา
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
เมื่อเข้าใกล้พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ไม่ทันเดินทางถึงหน้าประตูใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงเอ่ยทักหนึ่งดังขึ้น
พอหันไปมองตามเสียง ก็เห็นชายร่างกำยำเหยียบฟ้าก้าวอาดๆเข้ามาจากทางซ้ายไกลตา เป็นจักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่าง เมิ่งหลัว แห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน!
และด้านหลังของเมิ่งหลัว ก็มีคนเหินร่างตามมาติดๆอีก 2-3 คน
เป็นชายหนุ่ม 2 หญิงสาว 1
ชายหนุ่มคนหนึ่งมาในชุดสีฟ้าอ่อนถือกระบี่ยาวในฝักแลดูธรรมดา หากแต่นัยน์ตากลับแหลมคมฉายความดุร้าย พออีกฝ่ายเหลือบมาเห็นอาจารย์ที่อยู่ข้างกายเขา สองตาก็ลุกวาวเต็มไปด้วยความเคารพนับถือล้นพ้น “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์!”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
ชายหนุ่มอีกคนมาในชุดจอมยุทธ์เรียบง่ายสีน้ำเงิน ลักษณะท่วงท่าแลดูสง่างาม ข้างกายมีหญิงสาวสวมชุดสีเขียวใบหน้าเกลียงเกลาแลดูสะสวยสองตาสารทใส่ดั่งน้ำ ทั้งคู่ก็พากันเหินร่างติดตามเมิ่งหลัวมาอย่างเรียบร้อยๆ ประสานมือโค้งคารวะฟงชิงหยางอย่างนอบน้อม
“อืม”
เห็นคนทั้ง 4 ฟงชิงหยางก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองประตูใหญ่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนไกลตาเอ่ยว่า “ในเมื่อมาแล้ว ก็เข้าไปพร้อมกันเถอะ”
“ทราบ”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว เมิ่งหลัวกับทั้ง 3 ก็เร่งเหินมาอยู่ด้านหลังฟงชิงหยางกับต้วนหลิงเทียน และติดตามเข้าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนไปด้วยกัน
ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างเคียงข้างฟงชิงหยางอยู่ด้านหน้า เขาก็สัมผัสได้ไม่ยากว่ามีสายตาทั้ง 3 คู่จับจ้องมองแผ่นหลังเขาไม่วางตา กระทั่งดวงตาคู่หนึ่งยังฉายชัดถึงความไร้ปราณี
พอต้วนหลิงเทียนหันหลังไปเหลือบมองเจ้าของสายตาคู่นั้นปราดหนึ่ง ก็พบว่าชายหนุ่มในชุดสีฟ้าที่ถือกระบี่ในฝักข้างกาย กำลังมองมาด้วยสายตาเอาเรื่อง ราวเขาไปติดหนี้มันแล้วไม่จ่ายอย่างไรอย่างนั้น
“นายน้อย”
เมิ่งหลัวที่สัมผัสได้ว่าต้วนหลิงเทียนหันกลับมามองชายหนุ่มชุดฟ้า ก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียนทันที “ทั้ง 3 เป็นบุตรหลานของสหายเก่าข้าเอง…ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินกับสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ เป็นลูกหลานของจักรพรรดิอมตะสมญานามในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเราเอง ทั้งหมดล้วนมีอายุไม่ถึงพันปี และพลังฝีมือใกล้เคียงกับจักรพรรดิอมตะสมญานาม”
“ส่วนชายหนุ่มในชุดสีฟ้าถือกระบี่นั่น…มันเป็นคนของนิกายกระบี่ลี้ลับ อันเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ในจี้เมี่ยเทียนเรา พอดีข้ากับประมุขนิกายของมันรู้จักกันดี อีกฝ่ายก็เลยฝากฝังมันมาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะพร้อมกับคนของเรา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลำบากไปประเมินคุณสมบัติของวิหารเฟิงฮ่าว”
เมิ่งหลัวหยุดลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวสืบต่อว่า “ในบรรดาทั้ง 3 คน ก็เป็นชายหนุ่มชุดฟ้าที่ท่านกำลังมองอยู่ร้ายกาจที่สุด พลังฝีมือของมันเข้าเกณฑ์จักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว”
“กล่าวได้ว่ามันทัดเทียมกับจักรพรรดิอมตะสมญานามได้ตั้งแต่อายุ 800 กว่าปี”
เมิ่งหลัวกล่าว
“ด้วยพรสวรรค์ดังกล่าวของมัน ก็เลยทำให้มันเป็นคนจองหองถือดี…ก่อนที่พวกเราจะได้เจอท่านกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ข้าก็บอกมันแต่แรกว่าท่านจะมากับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์กันก่อน”
“ที่ไฉนมันจ้องท่านด้วยสายตาเอาเรื่อง เนื่องเพราะมันไม่เชื่อว่าท่านจะมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ที่แท้จริงของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ได้”
“หลังจากที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์กลับมาจากนรกอสุราและลงมือชิงตำแหน่งคืนจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว…ทางนิกายกระบี่ลี้ลับก็ได้ส่งมันมาที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เรา เพราะมันรบเร้าอยากขอเป็นศิษย์ของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์…แต่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก็ได้ปฏิเสธมันไป”
พอเมิ่งหลัวกล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก ว่าไฉนอีกฝ่ายถึงได้มองเขาด้วยสายตาราวกับเขาไปติดเงินมันแบบนั้น…
ที่แท้ทั้งหมดเพราะฐานะของเขา
ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน!