ตอนที่ 3,448 : การติดต่ออันเหนือคาดคิด
  “ข้ายังห่างอีกไกล…”
  คำพูดของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้ซูหลี่ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆกว้างขึ้น
  จากนั้นคล้ายฉุกคิดอะไรได้ขึ้นมา ซูหลี่ก็เลิกคิ้วขึ้นและมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉา “ต่อให้ข้าเพียรพยายามอย่างหนักแต่สุดท้ายอย่างดีข้าก็เป็นได้แค่จักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียน…แต่ตอนนี้เจ้าเป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง จักรรพรดิสวรรค์ในตำนานผู้นั้น เจ้าไม่รู้หรือว่าตอนนี้มีคนอิจฉาเจ้ามากแค่ไหน?”
  “ทั้งหมดกล่าวกันว่าต่อให้เจ้าใช้การไม่ได้แค่ไหน แต่ด้วมีจักรพรรดิสวรรค์ในตำนานชี้แนะ สักวันก็ต้องประสบผลสำเร็จเลิศล้ำตามอาจารย์ไปติดๆเป็นแน่!”
  “สุดท้ายแล้วอาจารย์ของเจ้า ก็เป็นจักรพรรดิสวรรค์ในตำนาน ให้มองไปในบรรดาจักรพรรดิสวรรค์ทั้งมวล ไม่เพียงแต่จะทะยานขึ้นมาครองตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์เร็วที่สุด และยังกลายเป็นเทพในระยะเวลาที่สั้นที่สุดอีกด้วย เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจชัดๆ”
  ซูหลี่กล่าว
  พอกล่าวจบคำ ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พูดอะไร สองตาซูหลี่ก็ลุกวาวกล่าวออกมาด้วยความคาดหวังว่า “ต้วนหลิงเทียน กล่าวไปข้าก็ชื่นชมอาจารย์ของเจ้ามาก…เจ้าคิดจะพาข้าไปคารวะจักรพรรดิสวรรค์ในตำนานเมื่อไหร่เล่า?”
  “ข้าเองก็อยากพบเจอคนที่มาจากระนาบโลกียะเดียวกันมานานแล้ว ใช้เวลาเพียงหมื่นปีกลับประสบผลสำเร็จถึงขนาดนี้!”
  เพราะต้วนหลิงเทียน ทำให้ซูหลี่รู้ดีว่าจักรพรรดิสวรรค์ในตำนานอย่าง ฟงชิงหยาง แห่งจี้เมี่ยเทียน ก็คือตัววตนที่ได้รับการขนานนามว่าเซียนกระบี่ในระนาบเซียน และกระทั่งขึ้นสวรรค์ไปนานนับหมื่นปี แต่ตำนานยังเล่าขานกันมาไม่รู้ลืม
  ในฐานะที่เป็นมือกระบี่ดุจเดียวกัน ซูหลี่ย่อมรู้สึกชื่นชมฟงชิงหยางอย่างอธิบายไม่ถูก
  “เอาสิ เดี๋ยวข้าลองถามดูก่อนว่าท่านอาจารย์ว่างอยู่หรือไม่”
  ได้ยินคำของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าเร่งส่งงข้อความไปหาอาจารย์ทันที จากนั้นก็ยิ้มพูดกับซูหลี่ว่า “ข้าเองก็พูดถึงเจ้าให้อาจารย์ฟังหลายรอบแล้ว ท่านอาจารย์เองก็รู้สึกชื่นชมกับความสามารถของเจ้ารวมถึงโชควาสนาของเจ้าไม่น้อย”
  “เจ้าก็พูดไปนั่น ข้าจะไปเทียบกับเจ้าได้อย่างไร”
  ซูหลี่คลี่ยิ้มแห้งๆ “ข้าถูกพามาเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะตั้งแต่อยู่ในระนาบโลกียะ…แต่เจ้าขึ้นสวรรค์และก้าวมาถึงวันีนด้วยกำลังของตัวเอง”
  เทียบกับการเดินทางผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆมากมายของต้วนหลิงเทียนแล้ว ซูหลี่รู้สึกเสมือนตัวเองเป็นแค่ดอกไม้ในเรือนกระจก
  ต้วนหลิงเทียนนั้นพึ่งพากำลังของตัวเองก้าวเดินมาทีละก้าวๆจนมีวันนี้
  แต่ตัวมันหลังจากขึ้นมายังระนาบเทวโลกก็ได้ถูกนำตัววไปบ่มเพาะยังนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ได้รับทรัพยากรบ่มเพะที่ดีที่สุด มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดีที่สุด แถมยังงมีอาจารย์ชี้แนะตลอด แม้จะมีออกไปฝึกฝนด้านนอกแต่ก็มีคนคอยคุ้มกัน ทำให้มันไม่เคยพบเจอกับความรู้สึกวิกฤตใดๆ
  ต่างงจากต้วนหลิงเทียนที่ก้าวเดินมาด้วยลำแข้งของตัวเองแต่ละอันตรายที่พบบพานเรียกว่า 9 ตาย 1 รอดก็ไม่เกินเลย
  “อาจารย์ข้าตอบมาแล้ว ให้พวกเราไปพบได้ตอนนี้เลย”
  พอต้วนหลิงเทียนได้รับข้อความตอบกลับจากฟงชิงหยาง ก็ลุกพรวดขึ้นทั้งหันไปชวนซูหลี่ด้วยรอยยิ้ม “ปะ ไปกัน”
  ได้ยินคำชวนของต้วนหลิงเทียน สองตาซูหลี่ก็เป็นประกายสดใส จากนั้นใหน้าก็ฉายความกังวลออกมาไม่รู้ตัว หันมองเสื้อผ้าโทรมๆของตัวเองรอบหนึ่ง ก็หันไปถามต้วนหลิงเทียนว่า “เจ้าต้วน แล้วข้าสมควรเปลี่ยนชุดก่อนดีไหม?”
  เรียกว่าหลังชมดูชุดจอมยุทธ์ร้ายๆที่ตัวเองสวม แถมเก่ามากแล้ว ซูหลี่ก็ได้แต่หันไปถามต้วนหลิงเทียนอย่างประหม่า
  เมื่อเห็นซูหลี่เป็นกังวลเรื่องเครื่องแต่งกาย ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ไม่ต้องหรอก ท่านอาจารย์เป็นคนสบายๆ เจ้าจะมากังวลเรื่องพรรค์นี้ทำอะไร ปกติอาจารย์ข้ายังอยู่กระต๊อบไม้ผุๆด้วยซ้ำ ไม่ต้องวุ่นวายหรอก”
  “ก็แล้วยังไงเล่า ข้ายังอดประหม่าไม่ได้อยู่ดี”
  ซูหลี่คลี่ยิ้มเจื่อนๆ “นั่นคือเซียนกระบี่ไร้เทียมทานเชียวนะ จักรพรรดิสวรรค์ในตำนาน…”
  หากจะกล่าวว่า ก่อนที่จะเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก ฟงชิงหยางก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนในจี้เมี่ยเทียนว่าเป็นเซียนกระบี่ไร้เทียมทานแล้วล่ะก็…
  หลังจากที่ฟงชิงหยางรอดกลับออกมาจากรนรกอสุรา ฟงชิงหยางก็ถูกผู้คนทุกระนาบเทวโลกยอมรับนับถือว่าเป็นเซียนกระบี่ไร้เทียมทานจริงๆ ให้กวาดตามองไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวล ก็หามือกระบี่ที่ร้ายกาจทัดเทียมฟงชิงหยางไม่ได้แล้ว
  แน่นอนว่ายังมีหลายคนกล่าวกันอีกว่า ฟงชิงหยางที่น่าจะบรรลุถึงขอบเขตเทพไปแล้ว ไม่ควรกับการเรียกหาว่าเซียนกระบี่อีกต่อไปแต่สมควรได้รับการขนานนามว่า เทพกระบี่ มากกว่า
  แต่จะอย่างไร ในสายตาของผู้คนทุกระนาบเทวโลก ฟงชิงหยางก็คือเซียนกระบี่ไร้เทียมทานของระนาบเทวโลกอยู่ดี
  ซูหลี่เองที่เป็นมือกระบี่คนหนึ่ง พอรู้ว่ากำลังจะได้พบกับเซียนกระบี่ไร้เทียมทานตัวเป็นๆ มันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นยินดี จนอดไม่ได้ที่จะประหม่า ยากจะควบคุมอารมณ์ที่ท่วมท้นขึ้นมาได้
  จนเมื่อได้พบเจอฟงชิงหยางเข้าจริงๆ อารมณ์ที่พุ่งพล่านจึงเริ่มสงบลง
  “ซูหลี่ ขอคารวะอาวุโสฟงชิงหยาง”
  พอพบเจอ ซูหลี่ก็ประสานมือโค้งงคารวะฟงชิงหยางงอย่างนอบน้อม
  ฟงชิงหยางก็พยักหน้าให้ซูหลี่ด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินเสี่ยวเทียนพูดถึงเจ้ามานานแล้ว…เจ้าสามารถก้าวออกจากระนาบเซียนและเดินมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาสั้นๆ นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
  ในประวัติศาสตร์ของระนาบเซียน แม้จะมีผู้ที่ขึ้นสู่สวรรค์หลายคน
  อย่างไรก็ตาม หลังขึ้นมาถึงระนาบเทวโลกแล้ว หากไม่ตกตายไปกลางทาง ก็มักจะสิ้นสุดสักยภาพไม่อาจก้าวหน้าได้มากนัก และมีน้อยเสีย่งงกว่าน้อยที่จะก้าวหน้าจนประสบความสำเร็จ
  ย้อนกลับไปในอดีต ตอนีท่ฟงงชิงหยางพึ่งขึ้นมายังระนาบเทวโลกใหม่ๆ ยังไม่ค่อยตระหนักถึเรื่องนี้มากนัก
  แต่พอก้าวหน้าไต่ระดับขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้พบเจอแวดวงยอดฝีมือในระดับเดียวกันที่มาจากทั่วสารทิศ ฟงชิงหยางก็ไม่เคยดิ้นเลยว่ามีคนจากระนาบเซียนที่ประสบความสำเร็จได้เท่ามัน
  แต่ฟงชิงหยางก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
  ระนาบโลกียะมีเท่าไหร่เล่า?
  แถมระนาบเซียนก็เป็นแค่ระนาบโลกียะขนาดเล็ก ไม่ใช่มหาระนาบโลกียะด้วยซ้ำ
  ตอนนี้คนที่มันรู้จักและมาจากระนาบเซียน นอกจากตัวมันเอง ลูกศิษย์อย่างต้วนหลิงเทียน ก็มีแค่ซูหลี่เท่านั้น
  และมีระนาบโลกียะมากมายที่เป็นระนาบโลกียะขนาดเล็กอย่างระนาบเซียน ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จและกลายเป็นตัวตนที่โดดเด่นในระนาบเทวโลกเลย
  ในระนาบเทวโลก ทุกคนรู้จักก็แต่มหาระนาบโลกียะที่โด่งดัง โดยเฉพาะระนาบเหยียนหวง…กล่าวได้ว่าในปัจจุบันผู้ที่โดดเด่นในระนาบอวี้หวงเทียน ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ทะยานขึ้นมาจากระนาบเหยียนหวงทั้งนั้น
  กระทั่งตัวจักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียนเอง ก็มาจากระนาบเหยียนหวง
  นอกจากระนาบเหยียนหวง ก็มีมหาระนาบโลกะที่คล้ายคลึงกัน และคลอดตัวตนอันโดดเด่นในระนาบเทวโลกออกมาคนแล้วคนเล่า ทำให้มาตั้งตัวในระนาบเทวโลก วางรากฐานมาช้นาน กลับกลายเป็นขุมกำลังสำคัญในระนาบเทวโลกนั้นๆ
  “ท่านอาวุโสฟงชิงหยางล้อเล่นแล้ว…”
  ได้ยินคำชมของฟงชิงหยาง ซูหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะกระอักกระอ่วน เพราะรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับการได้รับคำชมดังกล่าว “ข้าเพียงงมีโชคในระนาบโลกียะเท่านั้น…และบังเอิญพพานวาสนาในระนาบเหยียนหวง จนได้รับสืบทอดมรดกของบบรรพชนนิกายกระบี่หมื่นหายนะมา จึงถูกนำตัวไปฝึกฝนที่นิกายหมื่นหายนะแต่แรก”
  “หากไม่ใชเพราะเรื่องนี้ อาศัยกำลังของข้าเองต่อให้ขึ้นมายังระนาบเทวโลกได้ ก็เกรงว่าคงยากจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้”
  “ข้าต่างจากท่านอาวุโสฟงชิงหางกับบเจ้าต้วน ที่พึ่งกำลังของตัวเองก้าวเดินมาทีละก้าวจนมีวันนี้ได้…”
  ซูหลี่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน
  “ซูหลี่ ที่เจ้าพูดมามันไม่ถูก”
  ฟงชิงหยางส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “จะโชควาสนาใดๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง เจ้าไม่คิดบ้างเล่าว่าในระนาบเหยียนหวงมีผู้คนตั้งมากมาย แต่ไฉนถึงไม่มีใครได้รับมรดกเหมือนเจ้า? แล้วยังมีผู้คนอีกมากมายที่ได้มรดกเหมือนเจ้า แล้วไฉนมันไม่อาจก้าวขึ้นมาโดดเด่นเหมือนเจ้าได้?”
  “นี่คือโชคชะตาของเจ้า ชีวิตของเจ้า เป็นความแข็งแกร่งของเจ้า”
  “หรือเจ้าจะบอกว่า เจ้าเดินมาถึงทุกวันนี้ แต่เจ้ายังมองไม่ออก…ว่าโชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง?”
  กล่าวถึงประโยคท้ายย ฟงชิงหยางก็เอ่ยถามให้คิด
  และก่อนที่ซูหลี่จะทันได้ตอบ ฟงชิงหยางก็พูดเสริมว่า “อีกอย่าง ตอนข้าทานขึ้นสู่ระนาบเทวโลก เหตุไฉนที่ข้ามีวันนี้ได้ ก็เพราะข้าได้พบมรดกสถานของเซียนกระบี่มากมาย ได้รับวาสนามาก็ไม่น้อย ถึงปรับปรุงวิถีกระบี่ของตัวเองให้สมบูรณ์ขึ้นมาได้”
  “หากไม่ใช่เพราะโชค ข้าเองก็ไม่อาจมีวันนี้ได้เหมือนกัน”
  ได้ยินคำพูดของฟงชิงหยาง ซูหลี่ก็หยักหน้าและกล่าวคำเป็นมั่นเหมาะราวรู้แจ้ง “ขอบคุณอาวุโสฟงชิงหยางที่กล่าวเตือนข้า ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
  “อืม”
  ฟงชิงหยางพยักหน้า ค่อยกล่าวกับซูหลี่สืบต่อ “ก่อนที่ศึกอัจฉริยะสวรรค์จะเริ่มขึ้น เจ้าก็มาอยู่กับข้า ให้ข้าชมดูเชิงกระบี่ของเจ้าหน่อย”
  “ขอบคุณอาวุโสฟงงชิงหยางยิ่ง!”
  สีหน้าซูหลี่ฉายัชดถึงความปิติยินดี มันไหนเลยจะไม่ทราบว่าที่ฟงชิงหางกล่าวองอกมาแบบนี้ เพราะคิดจะชี้แนะมัน!
  ด้านต้วนหลิงเทียนก็สองตาเป็นประกายขึ้นมาทันที และเร่งกล่าวขอบคุณอีกคน “ขอบคุณท่านอาจารย์”
  เขาย่อมรู้เป็นธรรมดา ว่าที่อาจารย์คิดชี้แนะให้ซูหลี่อย่างใจกว้างแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะซูหลี่เป็นเพื่อนรักเขา
  เมื่อได้รับคำชวนจากฟงชิงหยาง ซูหลี่ก็ติดตามไปฝึกกระบี่กับฟงชิงหยางทันที
  ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดรบกวทั้งคู่ และกลับไปบ้านพักเพื่อบ่มเพาะของเขาต่อ
  อย่างไรก็ตาม หลังกลับมาถึงบ้านพักได้ 2 วัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับข้อความส่งตรงถึงวิญญาณว่า “เฮ่ ต้วนหลิงเทียน เจ้ามาถึงรึยัง?”
  เสียงข้อความที่ส่งมา สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วมันฟังดูห่างไกลและคุ้นเคยอย่างประหลาด…แต่พอ้อนนึกดูไม่ทันไร สองตาเขาก็ลุกวาวขึ้นมา และตระหนักได้ว่าเป็นใครที่ส่งข้อความหาเขา
  “แล้วเจ้าถึงไหนแล้วล่ะ?”
  ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนถามกลับ
  “กำลังเดินทางไปพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน”
  อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเร็วไว
  “เจ้าก็คิดเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ด้วย?”
  ต้วนหลิงเทียนถามอีกครั้ง
  “ใช่”
  อีกฝ่ายตอบกลับมาอีกครั้ง
  “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
  สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสดใส
  การมายังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนครั้งนี้ นอกจากเขาคิดว่าซูหลี่อาจจะมาด้วย เขาก็ยังมีคิดว่าอาจมีอีกคนมาด้วยเช่นกัน…และคนๆนั้นก็คือหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นสหายหนึ่งในไม่กี่คนที่เขามี
  ยิ่งไปกว่านั้นยังผ่านพ้นประสบการณ์ความเป็นตายมาด้วยกัน
  ถึงแม้เวลีท่ได้พบเจออีกฝ่ายจะน้อยกว่าซูหลี่ แต่เขาก็มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นสหายคนสำคัญมากคนหนึ่ง
  หลังเงียบหายไปนานปี นีท่สุดอีกฝ่ายก็ติดต่อกลับมาแล้ว
  ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายสมควรมาถึงหยวนสื่อเทียนแล้วด้วย และกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ เพื่อเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ที่จะจัดขึ้นทุกๆรอบ 1,000 ปี
  “หลายปีผ่านไป…ไม่ทราบเจ้านั่นจะร้ายกาจถึงขนาดไหนแล้ว?”
  สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวับวาว กล่าวพึมพำด้วยรอยยิ้ม
  ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มติดต่อไปหา หวงเอ้อ จิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนทันที เพื่อบอกข่าวนี้กับนาง “หวงเอ้อ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ มันเองก็คิดจะเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ด้วย”
  ด้วความีท่ในปัจจุบันหวงเอ้อนั้นอมรับต้วนหลิงเทียนเป็นนายโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้เชื่อฟังก็แต่ต้วนหลิงเทียน และยึดถือต้วนหลิงเทียนมีความสำคัญเหนือสิ่งใด
  เช่นนั้นแม้ต้วนหลิงเทียนจะเอ่ยถึงเรื่องหลิงเจวี๋ยอวิ๋น แต่นางก็กล่าวตอบมาด้วน้ำเสีงเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายใดๆ “เช่นนนั้นก็ประเสริฐ สิ่งนี้บอกให้รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมันพยายามไม่น้อย”
  และหลังจากเสียงหวงเอ้อดังจบคำได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกบ้าน “ต้วนหลิงเทียน ออกมาเสีย!”
  หากเป็นเสียงพูดคุยปกติ อาคมกั้นเสียงย่อมปิดกั้นเสียงรบกวนใดๆได้สมบูรณ์
  อย่างไรก็ตาม เสียงนี้กลับถูกถ่ายทอดผ่านสำนึกเทวะ ทำให้ต้วนหลิงเทียนได้ยินชัดเจน
  ต้วนหลิงเทียนยังอดขมวดคิ้วไปไม่ได้
  ไอ้นี่เป็นใคร?
  เพราะฟังจากเสียงแล้ว เขามั่นใจว่าไม่เคยรู้จักมันมาก่อน