ตอนที่ 3,451 : เผชิญหน้า
  ศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น จะถูกจัดขึ้นทุกๆรอบ 1,000 ปี และระนาบเทวโลกแต่ละระนาบก็จะผลัดกันเป็นเจ้าภาพ
  และรอบนี้ก็ถึงตาของจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนที่เป็นเจ้าภาพ
  ด้วยความที่ทุกๆ 80,000 ปี พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประลองศึกอัจฉริยะ เช่นนั้นทางพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนก็ได้จัดสร้างสถานที่รองรับการประลองไว้เป็นที่เรียบร้อยแต่แรก
  เพียงแค่พื้นที่ส่วนนี้ ยามปกติจะถูกปิดผนึกเอาไว้ และตราให้เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ผู้ใดผ่านเข้าออก
  และสถานที่แห่งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ แทบจะแยกไม่ออกจากประวัติศาสตร์ของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนเลยด้วยซ้ำ
  และจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนที่จัดสร้างสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนคนปัจจุบัน ยิ่งไม่ทราบว่าเป็นจักรพรรดิสวรรค์กี่รุ่นก่อนกันแน่
  “พื้นที่ส่วนนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่ทีเดียว”
  เหล่าอัจฉริยะทั้งหลาย รวมถึงต้วนหลิงเทียน ได้ติดตามคนของงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนที่เป็นผู้มานำทาง จนมาถึงสถานที่อันกว้างใหญ่หลังหนึ่ง สถานที่แห่งนี้แลคล้ายสนามบาสเก็ตบอลในโลกเก่าของต้วนหลิงเทียน โดรอบทั้ง 4 ทิศเป็นอัฒจันทร์ที่นั่งไล่ระดับขึ้นไปราวขึ้นบันใด เพียงแค่เป็นสถานที่เปิดให้เห็นทองฟ้า
  และเหนือบันไดขั้นบนสุดของอัฒจันทร์ ก็จะเป็นเกาะลอยฟ้าเล็กๆ ซึ่งบนเกาะลอยฟ้าดังกล่าวก็มีทั่งนั่งอย่างดีและโต๊ะน้ำชาตั้งอยู่เบื้องหน้าที่นั่ง และมีอักษรบนแท่นศิลาบริเวณมุมหนึ่งบนเกาะที่หันหน้าเข้าหาอัฒจันทร์บ่งบอกชื่อระนาบเทวโลกเอาไว้
  ‘ที่นั่งบนเกาะลอยเล็กๆพวกนั้น ทางพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หวนสื่อเทียนสมควรจัดให้เหล่าจักรพรรดิสวรรค์และผู้ติดตาม รวมถึงเหล่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวจากระนาบเทวโลกต่างๆสินะ…’
  ไม่ใช่แค่ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะคนอื่นๆก็เดาเรื่องงนี้ได้ไม่ยาก
  อย่างไรก็ตามแม้ว่าตอนนี้เหล่าอัจฉริยะจากทุกสารทิศจะมารวมตัวกันหมดแล้ว แต่ระดับสูงๆของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกต่างๆ ไม่เว้นวิหารเฟิงฮ่าวของงระนาบเทวโลกต่างๆก็ยังมากันไม่ถึง
  ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่นั่งบนอัฒจันทร์อย่างไม่คิดอะไรมาก โดยข้างๆก็มีซูหลี่กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาด้วย และด้วยความที่ทั้งคู่ก็เป็นคนตรงๆ ไม่ทันไรก็ทำความรู้จักและพูดคุยกันเหมือนสหายได้ไม่ยาก
  เหล่าอัจฉริยะที่มาจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนอย่าง จางเทียนโย่ว ว่างถิง และเหอเจี้ยนอี่ก็เลือกที่จะมานั่งด้านหลังต้วนหลิงเทียน และสายตาที่พวกมันใช้มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้เรียกว่าฉายแววซับซ้อนผิดกับก่อนหน้านี้นัก
  หากจะถามว่าใครในบรรดาอัจฉริยะที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ เป็นผู้ที่ดูเบาต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรกๆล่ะก็…กคงตอบได้ทันทีว่าเป็นพวกมัน!
  กระทั่งความจริงที่ต้วนหลิงเทียนยังมีอายุได้ 600 ปีเศษก็ออกมาจากปากพวกมัน เรื่องที่ได้เป็นศิษย์เพราะสืบทอดมรดกฟงชิงหยางในระนาบโลกียะก็มาจากพวกมันเช่นกัน กล่าวได้ว่าต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนมองต้วนหลิงเทียนว่าเป็นแค่คนโชคดีที่ได้เป็นศิษย์ฟงชิงหยางล้วนเป็นพวกมันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
  อย่างไรก็ตามพอ ถงถู ศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนไปหาเรื่องต้วนหลิงเทียน และโดนต้วนหลิงเทียนชิงจู่โจมอัศจรรย์หวดเข้าเต็มข้อจนอาการสาหัส…
  ก็ทำให้ทุกคนรู้ว่า แม้ต้วนหลิงเทียนจะพึ่งมีอายุได้ 600 ปีเศษ แต่พลังฝีมือก็บรรลุถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว
  ไม่ว่าจะไปรับสมญานามมาแล้วหรือยังไม่ได้รับก็ดี แต่พลังฝีมือนับว่าไม่แพ้จักรพรรดิอมตะสมญานามแน่นอน!
  “มันยังรู้จักกันกับซูหลี่คนนั้นอีกหรือ…”
  ไม่นานสายตาของจางเทียนโย่วก็เบนไปตกยังซูหลี่ที่นั่งข้างๆต้วนหลิงเทียน เพราะมันเองก็ได้ยินเรื่องที่ซูหลี่มีอายุ 600 ปีเศษ แต่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับจักรพรรดิอมตะสมญานามมาแล้วเช่นกัน กระทั่งยังคิดไป…ว่าซูหลี่คือผู้ที่มีพรสวรรค์และความเข้าใจสูงที่สุดในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้อีกด้วย!
  พวกมันไม่ได้เปลี่ยนความคิดดังกล่าว จนเมื่อรับทราบพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน!
  และตอนนี้เหล่าศิษย์อัจฉริยะที่บังเอิญเลือกที่นั่งใกล้ๆกับพวกต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มหันไปให้คววามสนใจกับกลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ไม่น้อ “เฮ่ พวกเจ้าดูนั่น…คนผู้นั้นมิใช่ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ในตำนาน และซูหลี่อัจฉริยะจากอวี้หวงเทียนหรือไร?”
  “เอ๋? ทั้งคู่รู้จักกันด้วยรึ?”
  “ข้าว่าไม่ใช่แค่รู้จักกันธรรมดา ทีท่ายังแลดูสนิทสนนมคล้ายเป็นสหายที่รู้จักกันมานานอีก”
  …
  ตอนนี้บนอัฒจันทร์ที่นั่งของสถานที่จัดการประลองสึกอัจฉริยะสวรรค์ บ้างก็จับกลุ่มนั่งกันเฉพาะคนจาระนาบเทวโลกเดียวกัน บ้างก็แยกไปนั่งเพียงลำพัง และบางคนก็แกไปนั่งกับสหาย เรียกว่าบนอัฒจันทร์ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าใครจะต้องนั่งกันตรงไหน แล้วแต่จะเลือกตามใจชอบ
  และทุกคนที่มาถึง ก็เฝ้ารอให้ศึกอัจฉริยะสวรรค์เริ่มต้นขึ้นด้วยความคึกคัก
  “หืม?”
  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคุยกับซูหลี่ เขาก็สัมผัสได้ถึงสาตาที่มองจ้องมาอย่างเอาเรื่องหนึ่ง และสัมผัสได้ว่ามาจากอัฒจันทร์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามไกลๆ จึงหันไปปรายตามองโดยไม่รู้ตัว
  เพียงมองปราดเดียวเขาก็จดจำเจ้าของสายตาเอาเรื่องได้ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น ถงถู ที่โดนเขาหวดไปเต็มแข้งจนร่วงเมื่อครึ่งปีก่อนนั่นเอง และมันก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน
  ต้วนหลิงเทียนเห็นว่าหลังถงถูหันมามองงจ้องเขาได้สักพัก มันก็หันไปกล่าวคำกับชายยที่นั่งข้างๆ และชายหนุ่มที่นั่งข้างๆดังกล่าว ก็หันมามองเขาทันที
  และพอมันพบว่าเขาก็กำลังมองดูมันอยู่ ก็พยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้ม ท่าทีสุภาพของมันยากจะทำให้ผู้อื่นเกลียดได้ลงคอ
  เห็นอีกฝ่ายมากอัธยาศัย ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเบาๆให้อีกฝ่าย
  “เจ้ารู้จักพวกนั้นด้วยรึ?”
  ซูหลี่ที่เห็นต้วนหลิงเทียนหันไปมองทางหนึ่ง พอหันไปก็พบเห็นถงถูกับคนที่อยู่ข้างๆ จึงอดถามไม่ได้
  “เจ้าคนทีตัวโตกว่านั่น ก็คือถงถู ศิษย์คนที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนที่โดนข้าเตะจนเป๋ไปเมื่อครึ่งปีก่อนน่ะ”
  ต้วนหลิงเทียนตอบซูหลี่เคล้าเสียงหัวเราะ
  “เจ้านั่นเองรึ”
  ซูหลี่ก็ตระหนักได้ทันที เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็เล่าให้มันฟังแล้ว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น “ว่าแต่คนที่เตี้ยกว่าเป็นใคร ดูเหมือนถงถูที่ว่าจะแลดูเชื่อฟังเจ้านั่นไม่น้อยเลย”
  อันที่จริงไม่ใช่แค่ซูหลี่ที่พบท่าทีนอบน้อมของถงถู ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นแต่แรก “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
  อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนพูดไม่ทันจบคำ ก็เป็นว่างถิงที่นั่งอยู่ด้านหลังกล่าวไขข้อสงสัยออกมา “คนผู้นั้นก็คือศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนเช่นกัน และมันเป็นศิษย์คนที่ 3…เรียกว่า อวี๋ตงฟาง เป็นศิษย์พี่ของถงถู”
  “ว่ากันว่าพลังฝีมือของอวี๋ตงฟางผู้นี้ สมควรบรรลุถึงระดับเทพสงคราม 4 ดาราแล้ว ไม่แน่อาจจะแข็งแกร่งกว่าเทพสงคราม 4 ดาราไปแล้วก็เป็นได้”
  ว่างถิงกล่าว
  หลังจากมานั่งบนอัฒจันทร์ได้ไม่นาน พวกว่างถิงทั้ง 3 ก็ได้เอ่ยคำขอโทษต้วนหลิงเทียนสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรแต่แรก จึงพยักหน้ารับคำขอโทษง่ายๆ
  จะอย่างไรทั้ง 3 ก็มาจากจี้เมี่ยเทียน และเขาทราบว่า 2 ใน 3 ก็เป็นลูกหลานของจักรพรรดิอมตะสมญานามในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน และอีกคนก็เป็นศิษย์ของสหายเก่าเมิ่งหลัว ในเมื่อล้วนเป็นคนกันเอง เขาไหนเลยจะใจแคบ
  “อาจจะแข็งแกร่งกว่า เทพสงคราม 4 ดารางั้นรึ?”
  ต้องบอกเลยว่าคำพูดของว่างถิง ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดมองไปที่ชาคนนั้นอีกครั้งไม่ได้
  ซูหลี่เองก็หันไปมองอีกฝ่ายใหม่โดยไม่รู้ตัว
  เวลานี้ กระทั่งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่นั่งหลับตาเงียบๆไม่พูดอะไร ก็ยังลืมตาขึ้นมาและมองตามสายตาของต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ จนสังเกตเห็นศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 3 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน อวี๋ตงฟาง เช่นกัน
  จากนั้นในแววตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ฉายให้เห็นจิตต่อสู้อันน่าเกรงขามหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา
  ด้านอวี๋ตงฟางเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาของพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เช่นกัน
  หลังจากมันกวาดตามองไปยังซูหลี่กับอีกร่างหนึ่งที่ไม่คุ้น มันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถามถงถู “เจ้า 4 2 คนที่นั่งขนาบต้วนหลิงเทียนนั่น นอกจากซูหลี่แล้ว อีกคนเป็นใคร?”
  กล่าวจบคำ มันก็หันกลับมามองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง
  ถึงแม้จะนั่งกันไกลห่าง แต่อวี๋ตงฟางก็สัมผัสได้ถึงจิตต่อสู้อันน่าเกรงขามในสาตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น…จากลักษณะที่อีกฝ่ายมองมาที่มันแบบนี้ ไม่พ้นอีกฝ่าต้องรู้ตัวตนของมันแล้วเป็นแน่ ทว่าหลังจากล่วงรู้ตัวตนมันแต่กลับเผยจิตต่อสู้อันรุนแรง ไม่ได้แลดูหวั่นเกรงอะไรมันเลย บ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแน่แท้!
  ได้ยินคำถามของอวี๋ตงฟาง ถงถู ก็หันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที และสีหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที “เจ้านั่นเองรึ ข้าไม่ทันสังเกตเห็นมันได้อย่างไรกัน…ว่าแต่เจ้านั่นมันไปรู้จักกับต้วนหลิงเทียนได้ยังไง?”
  “มันเป็นผู้ใดรึ?”
  อวี๋ตงฟางเอ่ยถาม
  มันทราบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องงไม่ธรรมดาเป็นแน่ หาไม่แล้วศิษย์น้องของมันคงไม่ออกอาการแบบนี้
  “เจ้านั่นมันมาจากเฟิงชิงเทียน”
  ถงถูกล่าวด้วยน้ำเสียงยำเกรง “มันมีความเป็นมาอย่างไรไม่ทราบ แต่มันเลือกจะมาตรวจสอบคุณสมบัติที่วิหารเฟิงฮ่าวของเฟิงชิงเทียน…และในบรรดาคนที่มากับวิหารเฟิงฮ่าวของเฟิงชิงเทียนคราวนี้ เจ้านั่นก็เป็คนที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุด…เห็นว่าอีก 16 คนที่เหลือก็มีบางคนใกล้จะเทียบได้กับเทพสงคราม 3 ดาราแล้ว”
  “แต่กระนั้น ก็ยังสู้เจ้านั่นไม่ได้”
  “ทกคนเลยสงสัยกันว่า…อย่างน้อยๆเจ้านั่นก็ต้องเป็นเทพสงคราม 3 ดาราที่ร้ายยกาจคนหนึ่ง และเผลอๆอาจจะเป็นได้ถึงเทพสงคราม 4 ดารา!!”
  ถงถูยิ่งกล่าวน้ำเสียงก็ยิ่งฉายชัดถึงความหวั่นเกรงมากขึ้นทุกขณะ
  “ถ้างั้น…ไม่แน่ว่ามันก็อาจเป็นได้ถึงเทพสงคราม 5 ดาราสินะ”
  อวี๋ตงฟางหรี่ตาลง
  “เรื่องนั้นคงยากจะมีผู้ใดบอกได้ อย่างไรก็ตาม จากสถิติในประวัติศาสตร์ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็มีเทพสงคราม 5 ดาราเข้าร่วมแต่ละครั้งไม่เกิน 10 คน”
  ถงถู ส่ายหัวไปมา เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะเป็นถึงเทพสงคราม 5 ดาราไปได้
  “น่าสนใจจริงๆ…ดูเหมือนข้าจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว”
  สองตาที่หรี่เล็กของอวี๋ตงฟาง พริบตาก็เบิกกว้างขึ้นฉายประกายวูบวาบขึ้นทันใด ปรากฏจิตต่อสู้ไม่ธรรมดาแผ่ซ่านออกมา!
  ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอถงถูมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สองหมัดมันก็กำแน่นโดยไม่รู้ตัว ยังกัดฟันแน่นจนแก้มกระตุก…ในใจคิดจะต่อยตีหน้าหล่อๆของต้วนหลิงเทียนให้ปูดบวม เพื่อล้างความอับอายเมื่อครึ่งปีก่อน!
  ครั้งก่อนแม้มันจะโดนผู้อื่นลอบทำร้ายจนเจ็บหนัก แต่คนอื่นๆไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ทุกคนพูดกันก็แต่ศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน เป็นดั่งมือรองบ่อนของศิษย์ที่แท้จริงจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน! แพ้พ่ายให้กับคนที่อายุน้อยกว่าเป็นร้อยปี!!
  ในความเห็นผู้อื่น กระทั่งมันเสมอก็น่าขายหน้ามากแล้ว!
  “ศิษย์พี่ 3”
  ทันใดนั้นเอง คล้ายฉุกคิดอะไรได้ ถงถูหันไปขมวดคิ้วกล่าวถามอวี๋ตงฟางว่า “ในประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่มีศึกอัจฉริยะสวรรค์…มักมีเทพสงคราม 5 ดาราปรากฏตัวขึ้นเกือบ 10 คน…และบางครั้งก็อาจมีมากกว่า 10 คน”
  “คราวนี้เท่าที่พวกเรารู้จักดูเหมือนจะมีผู้มีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 5 ดาราแค่ 3-4 คนเท่านั้น…ต่อให้จะนับรวมหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไปแล้วก็มีแค่ 5 คน”
  “ท่านว่าในบรรดาอัจฉริยะที่เหลือจะมีผู้ใดมีพลังฝีมือถึงระดับเทพสงคราม 5 ดาราด้วยเหรอ? ข้าดูแล้วไม่เห็นมีใครเข้าตาเลย…”
  ถงถูเอ่ยถาม
  ได้ยินคำถามด้วยความแคลงใจของถงถู อวี๋ตงฟางก็ส่ายหัวพลางกล่าว “เจ้า 4 เจ้าอย่าได้ประเมินความกว้างใหญ่ของระนาบเทวโลกต่ำไป…มีฟ้าเหนือฟ้าและคนเหนือคนเสมอ บางคนที่เจ้าไม่รู้จักมักคุ้น ไม่แน่อาจจะเป็นลูกหลานเหล่าศิษย์ของสุดยอดฝีมือที่เร้นกายที่ไม่สนชื่อเสียงลาภยศ…ในบรรดาพวกมันเทพสงคราม 5 ดาราย่อมมีแน่ แค่ไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่เท่านั้น…”