ตอนที่ 3,450 : หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาแล้ว
  ข่าวเรื่อง ถงถู ศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนถูกต้วนหลิงเทียนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บ ไม่นานก็แพร่กระจายไปทั่ว
  ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์อัจฉริยะที่เดินออกมาจากบ้านพักเท่านั้นที่ทราบเรื่องราว แต่ยังรวมไปถึงระดับสูงของวิหารเฟิงฮ่าว และสมาชิกของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ต่างๆที่พักอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน
  หากเป็นคนธรรมดา คงไม่ทำให้ผู้คนสนใจอะไร
  แต่ปัญหาคือตัวเอกของเรื่องก็คือ ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ในตำนาน ฟงชิงหยาง!
  เหล่าอัจฉริยะที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ให้ความสนใจกับต้วนหลิงเทียน เพราะมันสนใจต้วนหลิงเทียนแต่แรกว่ามีดีอะไรถึงทำให้จักรพรรดิสวรรค์ในตำนานยอมรับเป็นศิษย์ได้…ส่วนเหล่าคนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ต่างๆ และวิหารเฟิงฮ่าว ต่างก็สงสัยว่าไฉนอยู่ๆจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนถึงรับศิษย์อย่างกะทันหัน อีกทั้งยังเป็นคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามอีก
  หากจะถามว่าตอนนี้นอกจากคนของจี้เมี่ยเทียน ยังมีใครไม่แปลกใจเรื่องนี้อีกบ้าง ก็เห็นทีจะมีแต่จักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนเท่านั้น
  อู๋หยาเทียนเป็นระนาบเทวโลกที่ตั้งวังเทียนฉือที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่ และจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนก็เป็นตาของ โหยวเฟิงอวี้ จ้าววังเทียนฉือ…ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนจึงรู้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนดี ว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนไม่มีทางอ่อนด้อยไปกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามแน่นอน
  อย่างน้อยๆจักรพรรดิอมตะสมญานามอย่าง เหลยอิง ของวังเทียนฉือ ในอดีตก็ถูกต้วนหลิงเทียนซัดจนเสียท่ามาแล้ว
  ตั้งแต่ที่ได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ที่แท้จริงของฟงชิงหยาง มันก็ไปสอบถามเรื่องราวต้วนหลิงเทียนกับโหยวเฟิงอวี้ทันที
  “ก็ไม่แปลก”
  ด้วยเหตุนี้ พอจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนทราบว่าต้วนหลิงเทียนสามารถลอบทำร้ายถงถูให้เจ็บหนักได้ ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติมาก
  แต่คนอื่นที่ไม่รู้ย่อมไม่คิดแบบนั้น และคร่ำครวญกันว่า
  ช่างสมกับเป็นจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนจริงๆ ปกติเอาแต่บอกปัดไม่รับศิษย์ๆ พอจะรับศิษย์ขึ้นมาก็รับสัตว์ประหลาดน้อยตัวหนึ่ง!
  ลำพังฟงชิงหยางเองยังไม่อาจประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้ด้วยวัยเดียวกัน…เช่นนั้นด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจที่เหนือกว่าฟงชิงหยาง ลองมีฟงชิงหยางชี้แนะสอนสั่ง ไม่พ้นต้องเติบโตมาเป็นฟงชิงหยางคนที่ 2 แน่นอน
  กระทั่งเป็นไปได้อย่างมากที่จะเข้าทำนอง ‘สีคราม’ ที่แม้จะมาจากสีน้ำเงินแต่เข้มกว่าสีน้ำเงิน
  เรื่องราวทั้งหมดต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เรื่องเลย
  เขากกำลังบ่มเพาะพลังรอคอยการมาถึงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่
  “มาถึงแล้วรึ…”
  หลังได้รับข้อความแจ้งการมาถึงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากบ้านพักทันที
  ไม่นานเขาก็ได้เจอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง
  รูปร่าหน้าตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้เปลี่ยนไปมาก เพียงแค่ชุดสีเทาที่ชอบสวมแลดูหรูหรามีระดับมากขึ้น แต่หน้าคนก็แน่นิ่งเย็นชาไม่รับแขกเหมือนเดิม ที่ต่างก็คืออารมณ์ที่แผ่พุ่งออกจากหว่างคิ้วของมัน เผยให้เห็นร่องรอยของประสบการณ์ ความเป็นผู้ใหญ่ที่เติบโตขึ้น หลังจากผ่านพ้นวันเวลาไปหลายร้อยปี
  “เจ้ามาจากไหนเนี่ย?”
  หลังพาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับมาถึงบ้านพัก ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยยถามด้วยความสงสัย
  ก่อนหน้าตอนที่ได้รับข้อความของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เขาไม่ได้ถามอีกฝ่ายว่ามาจากไหน จนกระทั่งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาถึงแล้วแบบนี้
  “ข้ามาฝึกฝนอยู่ที่หยวนสื่อเทียนได้สักพักแล้ว…แต่ถ้าเจ้าจะถามว่าข้ามาในนามระนาบเทวโลกใด ข้าก็มาจากเฟิงชิงเทียน”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
  “เจ้ามาที่นี่พร้อมคนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เฟิงชิงเทียนงั้นเหรอ?”
  ต้วนหลิงเทียนถามอีกครั้ง
  ในสายตาเขา ด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น คิดจะเข้าร่วมกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร กระทั่งคงทำให้จักรพรรดิสวรรค์เฟิงชิงเทียนยอมรับเป็นศิษย์ได้ไม่ยาก
  “เปล่า”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัว “ตอนข้ารู้เรื่องศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็พอดีกับที่ข้าอยู่ในระนาบเฟิงชิงเทียน เช่นนั้นข้าก็เลยไปตรวจสอบวัดคุณสมบัติที่วิหารเฟิงฮ่าวเพื่อรับสิทธิ์เข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์”
  “เจ้าเองก็รู้ว่าข้ามีความเป็นมาอย่างไร นายน้อยตระกูลเร้นกายในระนาบเทพเช่นข้า ให้ตายข้าก็ไม่มีวันรับใครในระนาบเทวโลกเป็นอาจารย์ได้หรอก…ข้ารับใช้ข้างกายในอดีตข้า อย่างน้อยๆก็เป็นเทพระดับต่ำด้วยซ้ำ!”
  “เช่นนั้นเจ้าคิดจะให้ข้ารับผู้ใดในระนาบเทวโลกเป็นอาจารย์เล่า? ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในระนาบเทวโลก กระทั่งให้บรรลุขอบเขตเทพไปแล้ว พวกมันก็ไร้คุณสมบัติแม้แต่จะเป็นคนหิ้วรองเท้าให้ข้า! ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ข้า หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ได้!!”
  น้ำเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงนัก
  ในฐานะอดีตนายน้อยของตระกูลหลิงอันยิ่งใหญ่ของระนาบเทพอย่างดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นย่อมเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง
  ไม่ต้องกล่าวถึงความภาคภูมิใจในตัวเอง เอาแค่ความภาคภูมิในใจตระกูล ก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะยอมรับใครในระนาบเทวโลกเป็นอาจารย์ ต่อให้มันไม่สนใจเรื่องอับอายขายหน้า แต่มันก็ไม่กล้าทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย…ถึงแม้ตอนนี้ตระกูลมันอาจจะถูกทำลายจนย่อยยับไปแล้วก็ตามที
  “อย่างไรก็ตามพวกมันมาถึงก่อนข้า และข้าก็บอกไว้แล้วว่าจะตามมาทีหลัง”
  “ตอนที่ข้ามาถึงเมื่อครู่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียนกับศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนที่เรียกว่าเว่ยฉี ก็ออกมารับข้าด้วยกัน”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
  “ดูเหมือนตอนนี้พลังฝีมือเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นไม่เบา ถึงทำให้จ้าววิหารเฟิงฮ่าวของเฟิงชิงเทียนให้หน้าเจ้าขนาดนี้”
  ต้วนหลิงเทียนแลดูประหลาดใจอยู่บ้าง
  “เฮอะ มันยังกล้าไม่ให้หน้าข้าได้เรอะ!”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพ่นลมดูแคลน กล่าวพลางคลี่ยิ้มเฉยเมย “วิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียนนั่น รวมข้าแล้วก็มีคนผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแค่ 17 คนเท่านั้น…แต่ข้าพูดได้เลย ว่าต่อให้อีก 16 คนนั่นมัดรวมกันมา ข้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ฆ่าพวกมันได้ทั้งหมด!”
  “และอย่างดีข้าก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
  ฟังจากน้ำเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแล้ว ช่างเต็มไปด้วยความมั่นใจเหลือเกิน
  “นี่เจ้าสะกดคำว่าถ่อมตัวเป็นรึเปล่าเนี่ย…”
  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่เปลี่ยนเลย ยังให้อารมณ์ ‘คุณชายตระกูลใหญ่ผู้เย่อหยิ่ง’ สุดแสนจะเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม!
  “ต้วนหลิงเทียน ว่าแต่เจ้าก็ใช้ได้เลยนี่”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคลี่ยิ้มกล่าว “ระหว่างมาที่นี่ ข้าได้ยินรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวกับเว่ยฉีนั่นพูดถึงเจ้าไม่น้อย…เห็นว่าพลังฝีมือของเจ้าเทียบได้กับจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว?”
  “อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าเป็นพวกมันยังประเมินเจ้าต่ำไป!”
  “ข้ารู้สึกมาตลอดเวลา ว่าทุกอย่างที่ข้าบรรลุได้ในวันนี้…ถึงแม้เจ้าจะร้ายกาจสู้ข้าไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าข้ามากแน่”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคลี่ยิ้มสดใส
  “โฮ่ ไม่ร้ายกาจเท่าเจ้ารึ?”
  ได้ยินคำพูดมั่นใจเต็มพิกัดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็มองลึกไปที่มัน “ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้มากจริงๆ…เช่นนั้น ไปหาที่ฉะกันหน่อยปะไร?”
  “หากเป็นครึ่งเดือนก่อนข้าคงรับปากเจ้าไปแล้ว…ทว่าเมื่อไม่นานมานี้จุดรอคอยของข้าพึ่งกรุยออก ข้ารู้สึกว่าหากใช้เวลาอีกเล็กน้อยต้องทะลวงผ่านจุดรอคอยที่ข้าสงสัย และบรรลุความเข้าใจใหม่ได้แน่…น่าจะทันเวลาเริ่มศึกอัจฉริยะสวรรค์พอดี”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัวไปมา “หากเจ้าอยากประมือกับข้า เช่นนั้นก็รอไว้ลุยในศึกอัจฉริยะสวรรค์ทีเดียวเถอะ”
  “อย่างไรเสียข้าก็ได้ยินมาว่า อีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น…ศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็จะเปิดม่านแล้ว”
  เรื่องที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูด ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะได้ยินจากอาจารย์อย่างฟงชิงหยางมาก่อนแล้ว
  “เอาสิ งั้นเจ้าก็รีบกลับไปทำความเข้าใจของเจ้าเถอะ…ไว้ค่อยมาเจอกันบนเวทีศึกอัจฉริยะก็ได้”
  ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
  “ไม่รีบๆ”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวบอกปัด ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวออกเสียงอ่อนว่า “ต้วนหลิงเทียน ข้าอยากเจอพี่สาวหวงเอ้อ…”
  ได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็อดยิ้มไม่ได้ “เจ้าอยากพบนางแน่หรือ…ข้าเกรงว่าเมื่อเจอนางแล้วเจ้าจะผิดหวังเอาน่ะสิ”
  “ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็สบายใจได้แล้ว…”
  ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาของหลิงเจวี๋ยอวิ่น เผยรอยิ้มอ่อนโยนอันหาได้ยากออกมา “ดูเหมือนว่าพี่สาวหวงเอ้อจะรวมผสานเข้ากับอุปกรณ์เทพของเจ้าได้สมบูรณ์แล้วสินะ”
  ในฐานะชนพื้นเมืองที่เกิดในระนาบเทพ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นย่อมรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวิญาณของอุปกรณ์เทพอื่นๆ เมื่อผสานรวมเข้ากับอุปกรณ์เทพชิ้นใหม่
  สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ให้หวงเอ้อออกมาพบเจอหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
  “พี่สาวหวงเอ้อ ข้ารู้ดีว่าตอนนี้ข้ามีความสำคัญแค่เสี้ยวเศษในใจท่าน…แต่ข้าอยากจะบอกท่านว่า ข้าไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยหย่อนยานเลยสักวัน…”
  ขณะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองไปยังหวงเอ้อ ไม่เพียงแต่สีหน้าเย็นชามาดขรึมของมันจะกลายเป็นอ่อนโยน ดวงตายังฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดีอย่างปิดไม่มิด
  น่าเสียดายที่หวงเอ้อเพียงตอบคำมันกลับมาสั้นๆว่า “อ้อ”
  หลังจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับหวงเอ้อด้วยรอยยิ้มแหยๆ “หวงเอ้อ เจ้าไม่ต้องเย็นชานักก็ได้…อย่างไรเสียอดีตเจ้านายของเจ้าก็เป็นพี่สาวของมัน”
  “อีกทั้งพูดได้ว่ามันก็โตมาภายใต้การดูแลของเจ้า”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าว
  “นายท่าน ข้าทราบว่าท่านคิดจะสื่ออันใด”
  หวงเอ้อส่ายหัวพลางกล่าว “น่าเสียดายที่อารมณ์ความรู้สึกของหวงเอ้อตอนนี้ ไม่ได้เป็นของหวงเอ้อทั้งหมด…สิ่งที่ท่านพูดข้าย่อมจดจำได้ แต่ข้ารู้สึกเสมือนความทรงจำมันไกลห่าง ราวกับชมมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนอื่น”
  “ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นความทรงจำของข้าเองก็ตาม”
  “ตัวข้าในตอนนี้ เพียงรู้ว่าท่านคือนายท่านของข้า และข้ายินยอมกระทำทุกสิ่งเพื่อท่าน ต่อให้ต้องดับสูญไปก็ไม่เสียใจ…ส่วนผู้อื่นจะคนหรือสิ่งของก็มีค่าไม่ต่างกัน”
  หวงเอ้อกล่าว
  และนี่ก็คือชะตากรรมของจิตวิญญาณอุปกรณ์อีกด้วย
  “ช่างเถอะ”
  ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของเขา
  แน่นอนว่าเขาสามารถสั่งให้หวงเอ้อปฏิบัติกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดีขึ้นกว่านี้ได้ แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการฝืนใจหวงเอ้อเลย
  “หวงเอ้อ เจ้ากลับมาเถอะ”
  หลังจากให้หวงเอ้อกลับเข้ามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หยิบจานค่ายกลที่ฟงชิงหยาง อาจารย์เขาให้มา ก่อนจะใส่ผลึกอมตะเพื่อเปิดใช้งานมัน กางกั้นม่านพลังปกคลุมไปทั่วห้อง จากนั้นก็เปิดโลกใบเล็กเพื่อสื่อสารกับครอบครัวเขา
  ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้รับการแจ้งเตือนจากอาจารย์ เขาก็เลือกที่จะปิดกั้นโลกใบเล็กเอาไว้ตลอดเวลา
  หลังจากนั้น อาจารย์เขาก็ให้จานค่ายกลที่จัดตั้งอาคมปิดกั้นกลิ่นอายอันยอดเยี่ยมมาให้เขาใช้ ให้กระทั่งตัวตนขอบเขตเทพก็ไม่อาจสัมผัสกลิ่นอายใดๆในค่ายกลได้ ถึงแม้สำนึกเทวะอันทรงพลังจะผ่านค่ายกลเข้ามาได้ แต่ก่อนที่มันจะผ่านค่ายกล เขาย่อมสัมผัสได้ก่อน
  อาศัยเวลาแค่นั้น ก็มากพอให้เขาปิดกั้นโลกใบเล็กแล้ว
  ดังนั้นด้วยมีจานค่ายกลนี่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าความลับของโลกใบเล็กภายในกายเขาจะถูกใครค้นพบ
  อย่างไรก็ตามตอนนี้สหายและครอบครัวเขาภายในโลกใบเล็ก นอกจากบิดามารดาเขาที่หยุดฝึกฝนและสนทนากัน คนอื่นๆก็ล้วนปิดด่านบ่มเพาะพลังกันหมด…และหลังจากคุยอะไรกับบิดามารดาเล็กน้อย ต้วนหลิงเทียนก็ปิดโลกใบเล็กอีกครั้ง
  จากนั้น เขาก็เฝ้ารอคอยศึกอัจฉริยะสวรรค์ที่จะเริ่มเปิดม่านในอีกครึ่งปีหลังจากนี้
  เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะใช้เวลาเฝ้ารออยยู่เฉยๆอย่างสูญเปล่า ตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่เหลือเขาก็พยยามทำความเข้าใจมรรคากระบี่มิติที่เป็นของตัวเขาเอง หลังได้รับการแผ้วทางจากมรรคากระบี่ทำลายล้างของฟงชิงหยาง
  และด้วยความที่เขามีผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด การทำความเข้าใจใดๆเกี่ยวกับกฏมิติก็เป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก
  ผ่านไปแค่สิบวันครึ่งเดือนก็เห็นผลแล้ว…
  …
  วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
  ไม่ทันรู้ตัว ดุจชั่วพริบตา ครึ่งปีก็พ้นผ่าน…
  ศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็ได้ฤกษ์เปิดม่านตามกำหนดการ!