“ที่แท้ถังซานเป่า ก็เป็นคนของเฉียนฉีเทียนงั้นรึ?”
เสียงประหลาดใจของซูหลี่พลันดังขึ้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนดึงความสนใจออกจากศิษย์ทั้ง 2 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน และหันมามองตามสายตาซูหลี่ไป จนเห็นชื่อหนึ่งที่คุ้นเคยบนตารางข้อมูลอัจฉริยะสวรรค์ทั้ง 300 คน และข้อมูลหลังชื่อถังซานเป่า ก็เขียนไว้ว่า มาจากเฉียนฉีเทียน พิจารณาจากรอบแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันใดๆ ก็สันนิษฐานว่าพลังฝีมืออยู่ในระดับเทพสงคราม 2 ดาราขึ้นไป
ข้อมูลของถังซานเป่าค่อนข้างสั้น และไม่ได้บอกที่มาที่ไปชัดเจนเหมือนอัจฉริยะสวรรค์คนอื่น ทำให้มันแลดูลึกลับอยู่บ้าง
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าคนแรกที่มาทักทายเขาด้วยท่าทีมากอัธยาศัยตอนนั้น ที่แท้พลังฝีมือจะไม่ธรรมดา ทั้งๆที่มาดของมันไม่ให้ว่าเป็นยอดฝีมือเลย
หลังต้วนหลิงเทียนกวาดตามองราชื่อไปสักพัก เขาก็พบว่ามีคนกว่าโหลที่ลงข้อมูลไว้ว่าน่าจะเป็นเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไป แต่ไม่มีใครในรายชื่อที่ถูกลงข้อมูลว่าน่าจะเป็นเทพสงคราม 5 ดาราขึ้นไปอยู่เลย
“ไม่มีข้อมูลของผู้ใดบ่งบอกว่าพลังฝีมือถึงระดับเทพสงคราม 5 ดาราขึ้นไปเลยงั้นหรือ…กระทั่งสงสัยก็ยังไม่มี”
ไม่นานซูหลี่ก็พบสิ่งนี้เช่นกัน “อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นเทพสงคราม 4 ดารา ข้าเชื่อว่าหนึ่งในนั้นหรืออาจจะเป็นหลายคนต้องมีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 5 ดาราแน่ๆ ก็แค่พวกมันยังไม่เผยพลังออกมาเท่านั้น”
“บางทีก่อนหน้านี้ ไม่มีใครทำให้พวกมันต้องลงมือจริงจัง เช่นนั้นพวกมันก็แค่ลงมืออย่างขอไปทีเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “เป็นธรรมดาว่าอาจมีบางคนเคยเห็นพวกมันสำแดงพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 5 ดาราออกมาแล้ว แต่ทว่าดันถูกฆ่าตายไปซะก่อนทั้งไม่ทันได้ส่งข่าว ทำให้ไม่มีใครล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของพวกมัน”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่เริ่มจั่วหัวประเด็นดังกล่าว เหล่าอัจฉริยะสวรรค์รอบๆก็เริ่มเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นก็เอ่ยความเห็นและคาดเดาว่าผู้ใดจะเป็นเทพสงคราม 5 ดารากันยกใหญ่
เมื่อเห็นว่ามีคนทยอยกันมามากขึ้นเรื่อยๆ จนที่ทางเริ่มกลายเป็นเอะอะมะเทิ่งแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ชวนซูหลี่ให้จากไปเงียบๆ
ระหว่างเดินทางกลับ ทั้งคู่ก็พบเห็นถังซานเป่าที่กำลังเหินร่างกลับเช่นกัน และพอถังซานเป่าสังเกตเห็นพวกเขา มันก็โร่มาหาด้วยใบหน้าสลดทันที “พี่น้องทั้ง 2 อ่า…พวกท่านไปชมดูรายชื่อกันมาแล้วหรือ…ไฉนพี่น้องทั้ง 2 ไม่ชวนข้าบ้างเล่า”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็ไม่ชวนพวกเรารึไง?”
ซูหลี่กล่าวสวนพลางยิ้ม
ถังซานเป่าก็ถลึงตามองซูหลี่พลางอ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก จากนั้นก็ลูบหัวป้อยๆแล้วลากลับไปทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ก็พากันแยกย้ายกลับไปยังบ้านพักของตัวเอง และเฝ้ารอเวลาเริ่มศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 3 ที่จะมาถึงในอีก 27 วันหลังจากนี้…และศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 3 นั้น ให้เทียบกับรอบแรกและรอบที่ 2 แล้ว กล่าวได้ว่าเป็นการประลองอันยาวนานเลยทีเดียว
…
วันเวลาล่วงเลยผ่านพ้นดั่งม้าขาวห้อตะบึงลัดทุ่ง
หนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
ในที่สุด ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 3 ก็ได้เริ่มต้นขึ้นตามกำหนดการ
และในรอบที่ 3 นี้ เหล่าอัจฉริยะทั้ง 300 คนที่ผ่านเข้ารอบที่ 3 มาก่อน จะต้องเผชิญหน้ากับัจฉริยะทั้ง 700 คนที่ถูกคัดออกไปก่อน
ในช่วงเวลา 20 กว่าวันที่ผ่าน ไม่ใช่แค่อัจฉริยะทั้ง 700 คนเท่านั้น แต่ในบรรดาอัจฉริยะทั้ง 300 คนก็มาตรวจสอบข้อมูลที่วิหารเฟิงฮ่าวมาติดประกาศไว้อย่างละเอียด เพื่อดูว่าจะสามารถจัดการผู้ใดได้บ้าง
คนเหล่านี้ไม่ได้มั่นใจตในพลังของตัวเองมากนัก และคิดไปว่าไม่พ้นต้องมียอดฝีมือมาท้าทายแล้วเอาชนะพวกมัมนได้แน่ แต่ละคนจึงเริ่มหาทางหนีทีไล่ และศึกษาคู่ต่อสู้เพื่อเอาไว้ท้าหลังโดนผู้อื่นท้าทายเอาชนะได้เผื่อไว้
พวกมันเลือกจะเตรียมการล่วงหน้าไว้ก่อน เพื่อจะได้เพิ่มโอกาสในการผ่านเข้าสู่รอบที่ 4
เพราะในรอบที่ 3 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น ไม่ใช่แค่ 700 คนที่ตกรอบไปก่อนจะมีโอกาสท้าทายผู้อื่นได้ 3 ครั้ง แต่อัจฉริยะทั้ง 300 ที่เข้ารอบมาก่อน หากถูกใครใน 700 ท้าทายเอาชนะได้ พวกมันก็ได้รับโอกาสท้าทาย 3 ครั้งเพื่อกลับมาเช่นกัน
โดยรวมแล้ว จำนวนผู้ที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 4 นั้นจะคงไว้ที่ 300 คนไม่เปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนคือผู้เข้ารอบ…
จะยุติเมื่อไม่มีผู้ใดท้าทายอีก
“รอบที่ 3 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ ต่อให้จะทำการประลอง 10 คู่พร้อมๆกัน…แต่กระนั้นกว่าจะจบสิ้น ข้าว่าคงต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียว”
ถังซานเป่าบ่น
ต้วนหลิงเทียนกับกลุ่มของเขาก็ยังคงเลือกมานั่งอัฒจันทร์ที่เดิมเหมือนเมื่อเดือนก่อน ไม่เพียงแต่พวกเขาที่ผ่านเข้ารอบที่ 3 เท่านั้น กระทั่งเหอเจี้ยนอี่ที่ตกรอบไปแล้วก็มาด้วยเช่นกัน
เหอเจี้ยนอี่นั้นทำใจไว้นานแล้ว ว่าอย่างไรก็คงต้องถูกคัดออกในรอบแรกหรือรอบที่ 2 แน่นอน
ก่อนที่จะมามันก็รู้ดีว่าพังฝีมือของตัวเองคงไม่อาจแข่งขันชิงชัยอะไรกับเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายได้ ที่ไฉนมันเลือกจะมา ก็เพราะอยากมาชมดูอัจฉริยะระดับต้นๆของระนาบเทวโลกทั้งมวลเป็นการเปิดหูเปิดตาเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสล้ำค่าเช่นนี้มันจะพลาดได้อย่างไร
ต้องทราบด้วยว่าคนทั่วไปอยากมาดูชมแค่ไหนให้ตายก็ทำไม่ได้
และอันที่จริงก็ไม่ใช่เหอเจี้ยนอี่คนเดียวที่คิดแบบนี้
เรียกว่าในบรรดาอัจฉริยะที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะทั้ง 2,000 กว่าคน นอกจากผู้ที่ตกตายไปแล้ว ก็ไม่มีใครกลับไปก่อนสักคน ทั้งหมดมาจับจองที่นั่งบนอัฒจันทร์เพื่อชมดูเรื่องราวกันอย่างคึกคัก
ฟุ่บ!
ภายใต้สายตาของทุกคน ร่างฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ผุดโผล่ขึ้นบริเวณใจกลางน่านฟ้าสถานที่จัดการประลองศึกอัจฉริยะปานภูตผี
หลังจากปรากฏตัว มันก็กวาดตามองรอบๆปราดหนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 3 จากเริ่มต้นขึ้น เพื่อเฟ้นหาอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดจำนวน 300 คนเพื่อเข้าสู่รอบที่ 4”
“รอบนี้ยังต่างจากรอบที่แล้วชัดเจน เพราะเจ้าไม่อาจพึ่งพาผู้อื่นได้ มีแต่ต้องพึงพากำลังของตัวเองเท่านั้น”
“ผู้ที่อาศัยโชคและกำลังของผู้อื่นในการผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 มา จักไม่มีโชคใดๆสำหรับพวกเจ้าอีกแล้ว…เพราะรอบนี้เป็นการประลองตัวต่อตัว!”
“กฏเกณฑ์เฉพาะ พวกเจ้าเองก็คงฟังมาจนเบื่อ…ข้าเองก็คงไม่ต้องกล่าวใดให้มากความสืบต่อ”
พอฉีคงไห่กล่าวจบคำ มันก็ยกมือขึ้นเบาๆ ทันใดนั้น รายชื่อผู้คนและข้อความจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นกลางหาว เป็นรายชื่ออัจฉริยะทั้ง 300 คนที่พึ่งจะหายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แน่นอนว่าข้อมูลของแต่ละคนก็ยังอยู่ครบเหมือนเดิม
“ม่านแสงของอาคมแสดงผลที่พวกเจ้าเห็นถูกควบคุมโดยคนของวิหารเฟิงฮ่าวเรา เมื่อผู้ใดถูกท้าแล้วแพ้พ่าย มันจะแทนที่ด้วยชื่อของผู้ท้าชิงที่เอาชนะได้ทันที”
“ทุกคนมีโอกาสทั้งสิ้น 3 ครั้งในการท้าทาย หลังครบ 3 ครั้งแล้วหากยังไม่อาจเอาชะได้ ก็ถือว่าสิ้นวาสนากับศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้”
พอฉีคงไห่กล่าวจบคำ สายตาของเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็มองจ้องไปยังตารางม่านแสงกลางอากาศทันที
จักรพรรดิสวรรค์รวมถึงคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่ไม่เคยเห็นตารางรายชื่อมาก่อน ก็กวาดตามองดูด้วยความสนใจ “หืม? ไม่มีผู้ใดที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นเทพสงคราม 5 ดาราเลยรึ?”
“ดูเหมือนครั้งนี้พวกเด็กๆจักงำประกายกันเก่ง”
“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ศึกอัจฉริยะเช่นนี้จึงจะตื่นเต้นที่สุด…เด็กน้อยหลายคนที่ไม่เคยมีโอกาสสำแดงฝีมือ ก็สามารถสำแดงฝีมือกันได้เต็มที่”
“ช่างชวนให้ผู้คนตั้งหน้าตั้งตารอดูชมจริงๆ”
…
จักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกทั้งหลาย ปกติแล้วก็มีประสบการเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเคยเข้าร่วมการประลองในอดีตหรือมาชมดู ฟังจากเสียงพึมพำ เห็นได้ชัดว่าหลายคนก็คาดหวังกับศึกอัจฉริยะสวรรค์
ทันใดนั้นเอง เสียงของฉีคงไห่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้ขอให้ 10 คนที่คิดท้าทายชิงตำแหน่ง ก้าวออกมาท้าทายเสีย”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ฉีคงไห่พูดจบคำ ก็มีร่างหนึ่งเร่งรุดเหินจากอัฒจันทร์ที่นั่งมาลอยกลางหาวเหนือสนามประลองเร็วไว และมันก็หันไปมองร่าง 3 ร่างที่นั่งติดกันบนอัฒจันทร์ด้านหนึ่งทันที มุมปากเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ข้า ฮวงปิ่นจากหลิงหลัวเทียน ขอท้า ชิงอวิ๋นจิ้น”
ทันทีที่ฮวงปิ่นกล่าวออกมา 1 ใน 3 ร่างที่มันจับจ้องก็หน้าเสียไปทันที
“อะไร? ไม่ใช่พวกเจ้า 3 คนก่อนหน้าเก่งกล้านักหรือ รอบก่อนไม่ใช่กลุ้มรุมข้าเก่งนักหรือไร ตอนนี้กลัวแล้ว?”
พอเห็นว่าคนที่มันท้าไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นมา ฮวงปิ่นก็หัวเราะกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถาง
“3 คนนั่น…ข้าจำได้แล้ว”
ตอนนี้เองก็มีอัจฉริยะบางคนที่จดจำ 3 คนที่ฮวงปิ่นมองท้าได้ “เจ้า 3 คนนั่น มีคนหนึ่งพลังฝีมือใกล้เคียงจักรพรรดิอมตะสมญานาม ส่วนอีก 2 คนนั้นเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีพลังเทียบได้กับเทพสงคราม 1 ดารา…ส่วนฮวงปิ่นที่กำลังเอ่ยท้าอยู่นั่น ถือเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 1 ดารา”
“ข้าเองก็จำได้ เมื่อเดือนก่อนรู้สึก 3 คนั่นจะกลุ้มรุมฮวงปิ่นจนบีบให้ฮวงปิ่นต้องหลบหนี”
“เหอะๆ ช่างแก้แค้นได้รวดเร็วเสียจริง…ว่าแต่คนที่มันท้าประลองนั่นใช่ใกล้เคียงกับจักรพรรดิอมตะสมญานาม หรือเป็นอีก 2 ที่แกร่งกว่า?”
“เหอะๆ ใครจะไปรู้ แต่ถ้าเป็นข้า…ขอเลือกท้าคนที่ไม่ใชจักรพรรดิอมตะสมญานามไว้ก่อนดีกว่า”
…
หลังเสียงกระซิบกระซาบของอัจฉริยะเริ่มดังขึ้นระงม เสียงงของงฉีคงไห่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หลังจากถูกท้าประลอง หากไม่ลงงสนามภายในเวลา 10 ลมหายใจจะถือว่ายอมแพ้…และตอนนี้ผู้ที่ถูกท้าชิงเหลือเวลาให้พิจารณาอีก 5 ลมหายใจ”
“ฮึ่ม!”
1 ใน 3 คนที่ถูกฮ่วงปิ่นท้า ถลึงตามองฮวงปิ่นเขม็ง จากนั้นก็พ่นลมสบถพลางกล่าว “เจ้าเองก็เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามแล้ว กลับมาท้าข้าที่ยังไม่เป็น! ช่างไร้ยางอายเสียจริง!!”
พอฮวงปิ่นได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็ฉีกยิ้มเยาะกล่าวคำด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “น่าขัน! หากเจ้ารู้จักคำไร้ยางอาย รอบที่แล้วเจ้าอาศัยพวกมากมากลุ้มรุมข้าทำอะไร?”
สุดท้ายการท้าประลองครั้งนี้ ก็จบลงโดยที่ผู้ถูกท้าไม่กล้าออกมา
ฮวงปิ่นก็ได้รับชัยชนะอย่างราบรื่น
และชื่อของมันก็ถูกแทนที่ผู้ที่ถูกท้าทันที นามฮวงปิ่นเด่นหราอยู่บนตารางที่ลอยค้างกลางหาว พร้อมข้อมูล…
“หากไม่ใช่ว่าข้าสามารถท้าประลองได้แค่คนเดียวล่ะก็…หาไม่แล้วข้าจะท้าพวกเจ้าทั้ง 3 เรียงตัว!”
ก่อนที่ฮวงปิ่นจะออกจากสนามประลอง มันก็กวาดตามองทั้ง 3 ดวยสายตาเยียบเย็นอีกรอบ “แน่นอนว่าหากพวกเจ้ามีความกล้าก็มาท้าข้าได้ทันทีหลังงพวกเจ้าแพ้พ่ายถูกคัดออก…ข้าจะรอต้อนรับขับสู้พวกเจ้าอย่างงาม!”
กล่าวจบฮวงปิ่นก็เหินร่างออกจากสนามประลอง
ด้านคนทั้ง 3 ก็มีโมโหจนหน้าแดงก่ำ
และหลังจากที่ฮวงปิ่นจะออกจากเขตสนามประลอง มันก็หันไปกล่าวกับผู้คนรอบๆ “พี่น้องทั้งหลาย หากใครคิดจะท้าทายแล้วเอาชนะง่ายๆ ก็ให้เลือกคนที่เหลืออีก 2 คนนั่นเสีย…พลังฝีมือของพวกมันก็แค่เทพสงคราม 1 ดาราดาษๆ หาได้ร้ายกาจอันใด!”
และคำพูดดังกล่าวก็ทำให้คนทั้ง 3 หัวร้อนไปกันใหญ่
และก็สมพรปากฮวงปิ่นจริงๆ ไม่ทันไรก็มีคนเร่งรุดออกมากล่าวท้าทายทั้ง 2 คนที่ฮวงปิ่นแนะนำ และสามารถเอาชนะไปได้อย่างง่ายดาย แทนที่ทั้ง 2 นั่นได้สำเร็จ
“ฮ่าๆๆขอบคุณพี่น้องฮวงปิ่น!”
“พี่น้องฮวงปิ่น ขอบคุณที่ชี้แนะ!”
ทั้ง 2 ที่ประสบความสำเร็จในการท้าทายเอาชนะ ก็หันไปป้องมือประสานกล่าวคำกับฮวงปิ่นด้วยรอยยิ้มร่า
แน่นอนว่านี่เป็นดั่งละครเล็กๆฉากหนึ่งเท่านั้น
สุดท้ายแล้วด้วยความกว้างใหญ่ของสนามประลอง ก็ทำให้สามารถมีคู่ประองได้ถึง 10 คู่อย่างไม่แออัด และเมื่อในสนามมีคนประลองกันไม่ถึง 10 คู่ ก็จะมีคนเร่งุรดออกมาท้าชิงตำแหน่งทันที
การท้าประลองดำเนินไปอย่างราบรื่นราวๆ 1 เค่อ ก็ปรากฏร่างชายหนุมในชุดสีน้ำตายคลหนึ่งเหินร่างไปลอยตัวในเขตสนาม สาตามันกวาดมองมาทางพวกต้วนหลิงเทียนปานอัสนีฟาด จากนั้นก็หยุดมองคนหนึ่งๆ “ข้าซือคงอวี๋ฟาง จากชิงฉือเทียน ขอท้าว่างถิงแห่งจี้เมี่ยเทียน!”
ว่างถิงที่นั่งอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนเมื่อโดนท้าทาย แม้สีหน้าท่าทีนางจะไม่เปลี่ยน แต่ลึกลงไปในแววตาก็ฉายความจริงจังขึ้นมาไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่านางพร้อมสู้!
“ว่างถิง? ใช่สตรีที่บังเกิดความก้าวหน้าในรอบแรกหรือไม่?”
“เป็นนาง!”
…
ทันทีที่ว่างถิงลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเหินร่างออกไป ก็มีหลายคนที่จดจำนางได้