“หรือ…เจ้ากังวลว่ามันจะพลาดท่าใต้เงื้อมมือจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง?”
อวี้ฮ่าวเทียนกล่าวถาม
“ทั้งคู่”
กงซุนซวนหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้นัยน์ตามันฉายแววซับซ้อนนัก “ข้าเจ้าล้วนรู้ดีว่าตอนนี้ยูไลก็เสมือนเหลือครึ่งชีวิตเท่านั้น จิตใจของมันถูกวิญญาณภูตที่เราพบเจอในโลกแห่งความตาย 1 ใน 7 ต้องห้ามครอบงำไปแล้ว”
“ลาหัวโล้นนั่น นิสัยใจคอชั่วร้ายต่ำช้านัก…หลังจากมันสิงสู่ยูไลทั้งฝืนครอบงำวิญญาณของยูไล นิสัยของยูไลก็เปลี่ยนเป็นก้าวร้าวรุนแรงขึ้นมา”
“ตอนนี้มันสมควรตรวจสอบจนยืนยันได้แล้วว่าร่างของต้วนหลิงเทียนเป็นร่างเหยียนหวงหรือไม่…และหากข้าเดาไม่ผิดมันสมควรต้องตาพึงใจร่างต้วนหลิงเทียน และอยากเปลี่ยนไปช่วงชิงร่างต้วนหลิงเทียนแทนแน่”
“มันคิดยึดร่างยูไล ถึงแม้ตอนนี้จิตส่วนใหญ่ของยูไลจะเสียท่ามันไปแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่พ่ายแพ้ทั้งหมด…ข้ารู้สึกว่าหากมีโอกาสที่ดีกว่า ลาหัวโล้นชั่วนั่นต้องละทิ้งร่างยูไลแล้วเลือกร่างที่ดีกว่าแน่”
“ถึงอย่างไรมันที่ฝืนหลอมกลืนวิญญาณยูไล ก็ไม่อาจควบคุมร่างยูไลได้เต็มที่ อย่างดีก็ควบคุมได้ 6 ส่วนเท่านั้น”
กงซุนซวนหยวนกล่าวเสียงหนัก
“ดูเหมือนว่า…ร่างเหยียนหวงที่พวกเราสร้างขึ้นจะยั่วยวนใจไม่น้อย กระทั่งลาหัวโล้นชั่วนั่นแม้จะเป็นเทพแล้วแต่ก็ยังจับจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียน”
อวี้ฮ่าวเทียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นคล้ายคิดอะไรได้ เงยหน้ามองกงซุนซวนหยวนพลางกล่าว “หากวิญญาณของลาหัวโล้นชั่วนั่นออกจากร่างยูไล…เจ้าว่าวิญญาณของูไลจะฟื้นฟูได้หรือไม่?”
กงซุนซวนหยวนพยักหน้า “มีความเป็นไปได้อยู่…อย่างไรเสียข้าเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายพันปีกว่าที่วิญญาณของยูไลจะฟื้นฟู…สุดท้ายแล้ววิญญาณของยูไลก็ได้รับบาดเจ็บจากวิญญาณลาหัวโล้นชั่วนั่นไม่น้อย”
“ที่สำคัญเพราะวิญญาณของยูไลตอนนี้ก็เป็นวิญญาณเทพแล้วเช่นกัน…หาไม่แล้วหากไม่มีเวลานับหมื่นๆปีก็เกรงว่าคงฟื้นฟูได้ยาก”
กงซุนซวนหยวนกล่าว
“ไฉนเจ้าไม่กล่าวเตือนพวกมัน? พวกเราลองอธิบายสถานการณ์คร่าวๆให้พวกมันฟังไม่ได้หรือ?”
อวี้ฮ่าวเทียนกล่าวถาม
“จะไปเตือนได้อย่างไร?”
กงซุนซวนหยวนส่ายหัวไปมา “หรือจะให้ข้าบอกไปว่า ขออภัย แต่ยามนี้ยูไลหาได้เป็นยูไลเมื่อกาลก่อนอีกต่อไป?”
“หากลาหัวโล้นเฒ่านั่นช่วงชิงร่างต้วนหลิงเทียนได้สำเร็จ ยูไลก็เสมือนได้รับอิสรภาพกลับคืน…แต่หากลาหัวโล้นเฒ่านั่นล้มเหลว พาตัวไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย ก็ไม่ต่างอะไรจากพายูไลเข้าสู่สถานการณ์อันตราย”
“ข้าเกรงว่าตอนนี้หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดมาลงมือด้วยตัวเอง…คงไม่มีใครจัดการลาหัวโล้นชั่วนั่นโดยไม่ทำร้ายยูไลได้”
ยูไลนั้นเป็นสหายกับกงซุนซวนหยวนและอวี้ฮ่าวเทียนมาเนิ่นนานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่กงซุนซวนหยวนจะเสี่ยงเห็นเพื่อนมีอันเป็นไป
ด้วยเหตุนี้ตอนพูดคุยกับต้วนหลิงเทียนและฟงชิงหยาง จึงให้หน้าอีกฝ่ายหลายส่วน
ถึงแม้มันจะมีมิตรภาพกับฟงชิงหยางอยู่บ้าง แต่นั่นก็แค่มิตรภาพเล็กๆน้อยๆ เทียบไม่ได้เลยกับมิตรภาพที่มันมีกับยูไล
สำหรับต้วนหลิงเทียนนั่น มันพึ่งพบกันววันแรก
“กล่าวได้ว่า ที่เจ้าขอยืมมือต้วนหลิงเทียนนั่น หนึ่งเลยก็เพื่อใช้เรื่องนี้ช่วยเหลือยูไลยามพลาดท่าเสียที…อีกด้านหนึ่งเจ้าก็หวังว่ายูไลจักได้เป็นอิสระ เช่นนั้นเจ้าจึงไม่ได้เตือนพวกมันว่ายูไลไม่ใช่ยูไลในอดีต และต้องตาพึงใจร่างต้วนหลิงเทียน?”
อวี้ฮ่าวเทียนสามารถมองเจตนาของกงซุนซวนหยวนได้กระจ่าง
เป็นธรรมดาว่ามันเองก็เข้าใจดีว่าไฉนกงซุนซวนหยวนถึงเลือกจะทำแบบนี้
ถ้าเป็นมัน ก็จะเลือกแบบเดียวกัน
“ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรอก…แต่ในเมื่อไม่อาจเลือกได้ทั้ง 2 ทางจำต้องเลือกเพียงหนึ่ง ข้าก็ทำได้แค่เท่านี้…”
พอกงซุนซวนหยวนกล่าวจบคำ ในแววตามันก็ฉายชัดถึงความรู้สึกผิดนัก
แน่นอนว่าเป็นความรู้สึกผิดต่อต้วนหลิงเทียน
“เช่นนั้นก็เอาอย่างเจ้าว่า…วันหน้าหากลาหัวโล้นชั่วลงมือชิงร่างต้วนหลิงเทียนพลาด พวกเราก็อาศัยเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนรับปากไว้ ขอให้มันไว้ชีวิตยูไลสักครั้ง…เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตของยูไลก็ผูกติดกับเจ้าลาหัวโล้นชั่วนั่น”
อวี้ฮ่าวเทียนกล่าว “แต่ถ้าเกิดเรื่องเป็นครั้งที่สอง พวกเราก็ไม่อาจออกปากได้แล้ว”
“ถึงอย่างไรเสียพวกเราก็หาทางรอดให้ยูไลสายหนึ่ง ในฐานะสหายของมัน พวกเราเองก็พยายามเท่าที่จะทำได้แล้ว…”
“และหากลาหัวโล้นเฒ่านั่นมันสามารถชิงร่างต้วนหลิงเทียนได้สำเร็จ ต่อไปข้าจะปกป้องดูแลญาติสนิทมิตรสหายของต้วนหลิงเทียนให้ดีที่สุด ทำให้ทุกคนไร้กังวลไปชั่วชีวิต…เพื่อถมความละอายใจของพวกเรา”
คำพูดของอวี้ฮ่าวเทียน กงซุนซวนหยวนเองก็เห็นด้วย “ข้าก็คิดเหมือนเจ้า”
เป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะล่วงงรู้ถึงสิ่งที่กงซุนซวนหยวนกับอววี้อ่าวเทียนคุยกันส่วนตัว เพราะหลังจากที่กงซุนซวนหยวนกับพวกจากไปสักพัก เขากับอาจารย์เองก็แยกยย้ายกันกลับที่พัก
เหตุผลที่ไฉนเขากับอาจารย์รั้งอยู่ต่อสักพัก เพราะอาจารย์คิดประทับจิตเทพให้เขาใหม่
ที่ประทับไว้ก่อนหน้าตอนนี้มันสลายไปแล้ว
“เสี่ยวเทียน เจ้าเองก็ระวังไว้ให้มาก เพราะข้าสัมผัสได้ว่ายูไลนั่นสมควรเพ่งเล็งเจ้าอยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง…แต่เจ้าวางใจได้ ด้วยจิตเทพที่ข้าประทับไว้ หากมันลงมือทำอะไรกับเจ้าข้าสามารถล่วงรู้ได้ทันที และข้าจะรีบมาปกป้องเจ้าให้เร็วที่สุด”
ฟงชิงหยางกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “นอกจากนั้นมันอย่างไรก็ไม่อาจลงมือในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน…ตอนนี้เหล่าอัจฉริยะทุกคนมาเพื่อต่อสู้แข่งขัน หากจ้าววิหารเฟิงฮ่าวลงมือกับอัจฉริยะสักคน ถึงตอนนั้นเรื่องได้วุ่นวายใหญ่โตแน่ คราวนี้ถึงมันไม่ตายก็ต้องมีหนังลอกกันบ้าง”
พอกล่าวจบคำ สองตาของฟงชิงหยางก็ทอประกายเยียบเย็น “นอกจากนั้นเมื่อครู่ข้าใช้สำนึกเทวะเพื่อรวมรั้งสร้างสำนึกกระบี่เทพเล่นงานสำนึกเทวะของมันอย่างแรง กล่าวได้ว่าวิญญาณของมันสมควรเสียหายไม่น้อย ต่อให้มันจะมีสมบัติล้ำค่าที่สามารถบำรุงทั้งฟื้นฟูวิญญาณได้ แต่ก็ยากที่มันจะรักษาให้หายขาดในเวลาเพียงแค่ 100 ปี!”
“เช่นนั้นตราบใดที่ข้ายังอยู่ใกล้ๆเจ้า…ให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ มันก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้าแน่”
“จิตเทพที่ข้าประทับเพิ่มให้เจ้า ก็แค่เผื่อเอาไว้เท่านั้น”
…
หลังแยกทางกับฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างกลับบ้านไม้ อันเป็นที่พักที่ทางพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนจัดไว้ให้อัจฉณิยะที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้
หลังกลับมาถึงเขตที่พัก เขายังเห็นว่ามีอัจฉริยะมากมายกำลังจับกุ่มสนทากันบริเวณถนนนอกบ้าน
และอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่อยู่ใกล้ๆบ้านพักต้วนหลิงเทียน พอเห็นต้วนหลิงเทียนปรากฏตัว สอตาพวกมันก็ลุกวาวขึ้นมาทันที “พวกเจ้าว่า…ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ที่แท้พลังฝีมือกล้าแข็งขนาดไหน? หลายคนพูดกันว่าพลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพสงคราม 2 ดาราเลย…”
“ฝีมือมันสูงต่ำอย่างไรข้าไม่รู้หรอก…แต่ที่ข้ารู้คือ เจ้าหนุ่มชุดเทาที่เชี่ยวชาญกฏแห่งความตายนั่น อย่างน้อยๆพลังของมันก็ต้องเทียบได้กับยอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดารา!”
“เจ้าหนุ่มชุดเทาที่เจ้าพูด ชื่อมันเรียกว่า หลิงเจวี๋ยอวิ๋น มันมากับคนของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียน เท่าที่ได้ยินอัจฉริยะที่มากับวิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียนบอก เห็นว่าพลังฝีมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นไม่ได้จำกัดแค่ ยอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดารา…”
“เฮ่…เจ้าพูดแบบนี้ จะบอกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอาจเป็นเทพสงคราม 4 ดารารึ?”
…
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัว ฉากเรื่องราวก็กลายเป็นคึกคักมีชีวิตชีวานัก
แม้ต้วนหลิงเทียนจะเดินหายเข้าบ้านไปแล้ว แต่ผู้คนก็ยังพากันจ้อถึงเขาไม่หยุด “หนึ่งเดือนหลังจากนี้ในรอบที่ 3 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ข้าว่าต้องมีคนท้าศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางไม่น้อย…พอถึงตอนนั้นพวกเราก็จักได้รู้ ว่าที่แท้มันร้ายกาจขนาดไหน”
“เท่าที่ข้าได้ยินมา เห็นว่ามีเทพสงคราม 3 ดาราคิดท้ามันด้วย!”
“เจ้าพูดมาแบบนี้ ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอดูชมเชียว…เทพสงคราม 3 ดาราเลยหรือ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นจะสู้ได้หรือไม่?”
…
3 วันต่อมา
ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ที่รับหน้าที่เป็นประธานควบคุมการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็ได้ทำตามคำพูดก่อนหน้า จัดแจงสร้างตารางรายชื่ออัจฉริยะสวรรค์ทั้ง 300 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 เรียบร้อย ตารางดังกล่าวยังเป็นม่านแสงที่ฉายไว้กลางอากาศเหนือลานประลอง
และในปัจจุบันก็มีอัจฉริยะไม่น้อยที่มาชมดูตารางดังกล่าว
“รายชื่อผู้ที่เข้ารอบที่ 3 ทั้ง 300 คน อันดับไม่ได้จัดเรียงตามพลังฝีมือ…”
หัวข้อตารางมีคำข้างต้นเขียนไว้ จากนั้นก็ไล่รายชื่ออัจฉริยะทั้ง 300 คนเรียงลงมา
ด้านหลังแต่ละรายชื่อ อย่างน้อยๆก็มีบอกข้อมูลของระนาบเทวโลกที่อยู่ เผยให้รู้ว่าอัจฉริยะดังกล่าวมาจากระนาบเทวโลกไหน
และบางคนก็มีการระบุข้อมูลชัดเจนด้วย
แม้แต่พลังฝีมือที่เผยออกมาให้เห็นแล้ว ก็มีเขียนบอกเอาไว้
อย่างเช่น ในรายชื่อของต้วนหลิงเทียนนั้น ก็มีข้อมูลบอกไว้ดังนี้
มาจากระนาบเทวโลกจี้เมี่ยเทียน เป็นศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของ ฟงชิงหยาง จักรพรรดิสววรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน อายุได้ 600 ปีเศษ ในการทดสอบรอบแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งดูเหมือนจะอยู่ในระดับเทพสงคราม 2 ดาราหรือสูงกว่านั้น
ต่อมาก็ของซูหลี่
มาจากอวี้หวงเทียน ศิษย์ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ อายุได้ 600 ปีเศษ ในการทดสอบรอบแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งเหมือนจะอยู่ในระดับเทพสงคราม 2 ดาราหรือสูงกว่านั้น
ต่อมาก็เป็นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
มาจากระนาบเฟิงชิงเทียน เดินทางมาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์พร้อมกับวิหารเฟิงฮ่าว ในรอบที่ 2 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้เปิดเผยพลังฝีมือดุร้าย คาดว่าน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 3 ดารา หรือเหนือกว่านั้น
เนื่องจากมีรายชื่อถึง 300 รายชื่อ รวมกับคำอธิบายของแต่ละคนที่บ้างสั้นบ้างยาว ก็ทำให้ผู้คนจำต้องยืนอ่านกันอยู่พักหนึ่ง แม้แต่คนที่ตกรอบไปแล้วก็ยังชมดูจนละลานตา
“ก็ละเอียดอยู่นะ…”
ต้วนหลิงเทียนที่ถูกซูหลี่เรียกให้มาชมดู พอมองไปยังข้อมูลของเขากับซูหลี่ ก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นอยู่บ้าง “ดูเหมือนว่าข้อมูลเหล่านี้ จะถูกบันทึกไว้โดยคนของวิหารเฟิงฮ่าว…”
“แถมยังค่อนข้างชัดเจนทีเดียว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เฮ่ ต้วนหลิงเทียน ดูนั่นสิ”
จากนั้นภายใต้การชี้นิ้วของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นข้อมูลของศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 3 ของงจักรพรรดิสวรรค์ซวนหวนเทียน อวี๋ตงฟาง
อวี๋ตงฟาง จากซวนหยวนเทียน ศิษย์ที่แท้จริงลำดับที่ 3 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน เคยสังหารเทพสงคราม 3 ดารามาก่อน ดูเหมือนจะมีระดับตั้งแต่เทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไป อย่างไรก็ตามในศึกอัจฉริยะสวรรค์ทั้ง 2 รอบที่ผ่าน ก็เพียงเปิดเผยพลังฝีมือของเทพสงคราม 2 ดาราเท่านั้น
ชื่อด้านล่างอวี๋ตงฟาง ก็มีการแนะนำศิษย์ลำดับที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนต่อ
ถงถู จากซวนหยวนเทียน ศิษย์ที่แท้จริงลำดับที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน ก่อนหน้านี้เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการจู่โจมกะทันหันของต้วนหลิงเทียน พลังฝีมือสมควรใกล้เคียงกับเทพสงคราม 2 ดารา
“ฮ่าๆ กระทั่งเรื่องที่มันถูกเจ้าทุบตียังมีบันทึกเอาไว้ด้วย…นี่วิหารเฟิงฮ่าวจงใจทำให้เจ้านั่นมันเกลียดแค้นเจ้ารึเปล่า?”
ซูหลี่กล่าวล้อออกมาพลางหัวเราะขบขัน
ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา เขาไม่คิดเลยว่าวิหารเฟิงฮ่าวจะลงข้อมูลน่ารำคาญแบบนี้เอาไว้ด้วย
และไม่นานนัก พอผู้คนที่ทยอยกันมาดูชมข้อมูลอัจฉริยะที่เข้ารอบทั้ง 300 คนสังเกตเห็นข้อมูลของถงถู ก็พากันหัวเราะขบขันยกใหญ่ บ้างก็กล่าวล้อเลียนกันสนุกปาก
“หืม?”
และทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาเยียบเย็นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นคู่หนึ่งจากท่ามกลางผู้คน พอเขาหันไปมองตามสัญชาตญาณ ก็พบเจอชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งกำลังถลึงตามองจ้องเขาอย่างดุร้ายเอาเรื่อง
เป็นถงถู
ศิษย์ที่แท้จริงลำดับที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน
และที่ยืนอยู่ข้างๆถงถู ก็คืออวี๋ตงฟางที่สีหน้าท่าทีแลดูสงบอ่อนโยน พอสังเกตเห็นว่าต้วนหลิงเทียนมองมา มันก็พยักหน้าทักทายพลางส่งยิ้มให้เขา