“ครึ่งเดียว”
  ต้วนหลิงเทียนตอบหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
  และคำตอบเขาก็ทำให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมึนงงอยู่บ้าง “ครึ่งเดียว?”
  “มรรคากระบี่มิติของข้า มีพื้นฐานมาจากมรรคากระบี่ทำลายล้างที่ท่านอาจารย์สอน…หากไม่มีมรรคากระบี่ทำลายล้างของที่อาจารย์ชี้แนะ ข้าก็คงไม่อาจเข้าใจมรรคากระบี่มิติของข้าได้”
  สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต้วนหลิงเทียนไม่คิดปิดบังอะไร จึงกล่าวออกมาตามตรง
  “อาจารย์เจ้า…ยอดมาก”
  หลังหลิงเจวี๋อวิ๋นระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเฮือกหนึ่ง มันก็หันไปมองฟงชิงหยางที่นั่งข้างๆจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ด้วยสาตาแฝงความชื่นชม “คนอย่างอาจารย์เจ้า หาได้ยากนัก”
  “กระทั่งในระนาบเทพเอง แต่คนเช่นอาจารย์เจ้า ก็มีน้อยนัก”
  “เพราะคนเช่นนี้หากไม่ตกตายไปกลางคัน ปลายทางก็อาจบบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด”
  “กล่าวไปผู้แข็งแกร่งที่สุดกว่าครึ่ง ก็เป็นเช่นเดียวกับอาจารย์เจ้า”
  สำหรับเรื่องระนาบเทพ รวมถึงเรื่องผู้แข็งแกร่งที่สุด ในที่นี้คงมีน้อยยคนนักที่เข้าใจละเอียดเท่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เพราะอย่างไรหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เป็นผู้ที่เกิดในระนาบเทพ!
  เหตุผลที่ไฉนมาอยู่ที่ระนาบเทวโลก ก็เพื่อหลบภัยเท่านั้น
  “อาจารย์เจ้า หากสามารถเดินไปถึงปลายทางได้ อนาคตก็ไร้ขอบเขต”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
  “ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน”
  หลังได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองฟงชิงหยางอาจารย์ของเขา ตั้งแต่ตอนที่ได้รับมรดกของฟงชิงหยางอย่างยอดใจกระบี่ ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจไม่น้อย เพราะพลังอำนาจของมันร้ายกาจเหลือเกิน
  ยอดใจกระบี่ เรียกว่าได้ก้าวข้ามขอบเขตของระนาบโลกียะไปแล้ว กล่าวไปในระดับหนึ่งมันทัดเทียมกับเวทย์พลังบนสวรรค์ด้วยซ้ำ
  และเพราะมียอดใจกระบี่ ทำให้ตอนเขาอยู่ในระนาบเทวโลก ในด่านพลังเดียวกันหรือเหนือกว่าไม่มากก็ไม่มีใครสู้เขาได้เลย
  เว้นเสียแต่จะพบเจอผู้ที่มีพลังเหนือกว่าเขามากจริงๆ นอกนั้นเขารับมือได้หมด
  เรียกว่าตอนอยู่บนระนาโลกียะ ตั้งแต่มียอดใจกระบี่ คำไร้พ่ายในด่านพลังเดียวกันนั้นแทบไร้ความหมาย เพราะเขาไร้พ่ายแม้จะมีด่านพลังต่ำกว่าอีกฝ่ายเป็นขั้นๆด้วยซ้ำ สิ่งนี้เพราะพลังของยอดใจกระบี่มันน่ากลัวเกินไป!
  มาบัดนี้ที่เขาสามารถเข้าใจมรรคากระบี่มิติ การทำความเข้าใจรอยกระบี่ 100 ปีที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นส่วนเล็กๆเท่านั้น
  เหตุผลส่วนใหญ่มันเป็นเพราะ ยอดใจกระบี่ ที่เขาเคยเชี่ยวชาญในอดีต
  ยอดใจกระบี่นี้ จะอย่างไรก็ถูกสร้างขึ้นโดยฟงชิงหยางอาจารย์ของเขา กล่าวได้ว่ามรรคากระบี่ทำลายล้างของฟงชิงหยางเองก็มาจากยอดใจกระบี่…ด้วยเหตุนี้หลังจากอาศัยยอดใจกระบี่เป็นรากฐาน ถึงแม้จะทิ้งร้างไม่แตะมันนาน แต่สำหรับการทำความเข้าใจมรรคากระบี่มิติแล้ว มันประหนึ่งความช่วยเหลือจากฟ้าทีเดียว!
  ควบคู่ไปกับผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในมือ เขาไม่เคยเกิดปัญหาในการทำความเข้าใจกฏมิติเลย ทุกอย่างเสมือนราบรื่นไปหมด ทำให้เขาเปิดประตูสู่มรรคากระบี่มิติได้ในที่สุด
  และตอนนี้เขาก็สามารถรวมความลึกซึ้งหลายประการของกฏมิติเข้ากับวิถีกระบี่ของเขาได้ ซึ่งพลังอานุภาพของมันเหนือกว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองมาก!
  “ข้าหลงคิดว่าพลังของเจ้าตอนนี้น่าจะด้อยกว่าข้า…แต่ดูจากตอนนี้ ทำให้ข้าตั้งหน้าตั้งตารอจริงๆ”
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตากระหายการต่อสู้ ไม่ได้แลดูหวาดกลัวแม้แต่น้อยถึงจะพบว่าต้วนหลิงเทียนค้นพบมรรคากระบี่ของตัว จนอาจมีความสำเร็จเหนือมันแล้วก็ตามที
  “ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าเองก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยทีเดียว…”
  เมื่อสัมผัสได้ถึงความมั่นใจของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมาเช่นกัน “ดูเหมือนในรอบหลังๆ ข้าคงได้สู้กับเจ้าถึงใจแน่”
  “ตามนั้น”
  ใบหน้ามาดขรึมเย็นชาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น บัดนี้คลี่กางรอยยิ้มสดใสอันหาดูได้ยากออกมา
  ถังซานเป่าที่ปกติแล้วมักจ้อคำสนุกปาก บัดนี้ก็นิ่งเงียบไปอย่างผิดวิสัย มันมองจ้องแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตางุนงง และครู่ต่อมาในแววตาก็ฉายชัดถึงจิตต่อสู้อันฮึกเหิม
  ปฏิกิริยาดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการลงมืออันน่าทึ่งของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่
  “ต้วนหลิงเทียน”
  ทันใดนั้นเอง เสียงผ่านพลังของ ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก และยังเป็นผู้ดำเนินศึกอัจฉริยะครั้งนี้พลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน
  “เจ้าคิดจะแบ่งปันมรรคากระบี่ทำลายล้างที่ฟงชิงหยางชี้แนะเจ้าให้กับวิหารเฟิงฮ่าวหรือไม่…หากเจ้ายินดีแบ่งปัน วิหารเฟิงฮ่าวเราจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม และช่วยให้เจ้าประสบความก้าวหน้าอย่างดีที่สุด”
  ฉีคงไห่กล่าวกับต้วนหลิงเทียนต่อว่า “นอกจากนี้ข้ารับประกันให้เจ้าได้เลย…ว่าเวลาที่วิหารเฟิงฮ่าวเราจะเปิดให้เจ้าเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏ จะมากดุจเดียวกับตัวตนระดับรองเจ้าวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักขึ้นไป”
  เสียงผ่านพลังของฉีคงไห่ทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจอยู่บ้าง
  อย่างไรก็ตามฟังคำพูดมันแล้ว ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะไม่ถูกล่อลวง กระทั่งสีห้ายังเปลี่ยนเป็นอึมครึม ต่อมาก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “รองจ้าววิหารฉี ขอท่านอย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก”
  “ต่อให้ข้าต้วนหลิงเทียนต้องตาย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขายมรรคากระบี่ทำลายล้างของท่านอาจารย์”
  มรรคากระบี่ทำลายล้างของอาจารย์เขา มันเกิดจากการหล่อหลอมฝึกปรือกระบี่มานับพันๆปี ผ่านการลองผิดลองถูกมาก็มากมาย นับเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดและเป็นดั่งมรดกชั่วชีวิตของอาจารย์เขา ถึงแม้ต่อให้ได้เคล็ดกระบี่ทำลายล้างไปก็ไม่อาจฝึกปรือได้เพราะไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้เลย แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีวันเอามันมาขายเด็ดขาด
  “ช่างเป็นศิษย์ประเสริฐนัก”
  ฉีคงไห่ยังคงส่งเสียงผ่านพลังมาสืบต่อ เสียงกล่าวยังแฝงความทอดถอนใจทั้งเสียดายอยู่บ้าง “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ วิหารเฟิงฮ่าวเราก็ไม่คิดฝืนใจเจ้าเป็นธรรมดา”
  หลังจากนั้นฉีคงไห่ก็เลิกสนใจต้วนหลิงเทียน และหันมาจดจ่อกับการประลองต่อ
  หลังผ่านไปราวๆ 2 เค่อ ในที่สุดจางเทียนโย่วที่นั่งอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนก็ถูกคนอื่นท้าทายเช่นกัน และผู้ที่ท้าก็เป็นเทพสงคราม 1 ดารา พลังฝีมือถือว่าค่อนข้างดี ทว่าสุดท้ายก็ทำได้แค่เสมอกับจางเทียนโย่ว
  อย่างไรก็ตาม เมื่อผลออกมาเสมอก็ถือว่าไม่แพ้ ทำให้จางเทียนโย่วยังไม่ถูกคัดออก
  แต่กระนั้นการประลองครั้งนี้ก็เปิดเผยพลังฝีมือของจางเทียนโย่วหมดไส้หมดพุง เช่นนั้นหลังผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีคนท้าทายจางเทียนโย่วอีกรอบ และคราวนี้จางเทียนโย่วก็พ่ายแพ้ ถูกผู้ท้าชิงแทนที่ไปอย่างช่วยไม่ได้
  กล่าวได้ว่าตั้งแต่วินาทีที่พ่ายแพ้ จางเทียนโย่วก็หลุดโผ 300 รายชื่อที่จะได้เข้าสู่รอบที่ 4 ทันที
  เป็นธรรมดาว่ามันยังมีโอกาสกลับมาได้ อนิจจาแต่ดูทรงแล้วเรื่องนั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน
  และหลังจากที่จางเทียนโย่วถูกคัดออก ไม่นานนักก็ถึงตาซูหลี่ถูกคนท้าประลองบ้าง และคนที่ท้าดังกล่าวก็เป็นเทพสงคราม 2 ดารา…ซึ่งไม่แปลกอะไร เพราะเริ่มปรากฏตัวตนระดับเทพสงคราม 1-2 ดาราออกมาท้าผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ
  ทว่าเทพสงคราม 2 ดาราที่เผชิญหน้ากับซูหลี ก็ถูกซูหลี่อาศัยหนึ่งกระบี่สยบสิ้น!
  เป็นธรรมดาว่าเพลงกระบี่ของซูลี่ก็แฝงความลึกซึ้งของกฏทำลายล้างเอาไว้
  “ซูหลี่ผู้นั้น…อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเทพสงคราม 3 ดารา!”
  ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้ของซูหลี่จะเป็นแค่เทพสงคราม 2 ดาราธรรมดาๆ แต่หลายคนก็คาดเดากันว่า ซูหลี่ที่สามารถเอาชนะอีกฝ่าได้อย่างง่ายดายนั้น…ต่อให้เป็นชนชั้นยอดฝีมือของเทพสงคราม 2 ดาราก็คงไม่อาจกระทำได้!
  “ฮ่าๆๆ…ซูหลี่ เจ้าร้ายกาจมาก!”
  หลังจากซูหลี่กลับมานั่ง ถังซานเป่าก็หัวเราะกล่าวพลางยกนิ้วให้
  จากนั้นมันก็พูดด้วยความผิดหวังว่า “ไฉนไม่มีคนท้าประลองข้าบ้างเลยเล่า…บางงทีข้าอาจเป็นพลับสุกนุ่มนิ่มก็ได้”
  พอถังซานเป่าพูดมาแบบนี้ ซูหลี่ก็อดยิ้มไม่ได้ “ในพวกเราไม่ใช่แค่เจ้าแต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ยังไม่ถูกใครท้า…สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไม่มีใครท้านั้นเป็นเพราะพลังฝีมืออันแข็งแกร่งที่ทุกคนสมควรเห็นกันชัดเจน ถึงขั้นเข้าสู่รอบที่ 4 ได้อย่างง่ายดาย”
  “ต่อให้มั่นใจว่าจะสู้ได้ แต่ถึงคิดจะสู้ ก็เกรงว่าคงเลือกจะสู้กันในรอบหลังๆมากกว่า”
  “เช่นนั้นจึงเป็นปกติที่จะไม่มีใครท้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋น”
  “ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มั่นใจว่าจะสู้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ พูดกันตามตรง ก่อนหน้านี้มันไม่มีทางตกรอบแน่นอน”
  “ต่อให้เป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในรอบที่แล้ว ข้าก็เชื่อว่าคงไม่มีใครที่เป็นถึงเทพสงคราม 3 ดารา อย่างมากก็เป็นแค่เทพสงคราม 2 ดาราทั่วๆไปเท่านั้น”
  “ส่วนเจ้าอย่างไรก็เป็นคนที่วิหารเฟิงฮ่าวประเมินว่าสมควรเป็นเทพสงคราม 2 ดาราขึ้นไป เช่นนั้นเว้นเสียแต่ไม่มีทางเลือกแล้วหรือคิดหยั่งตื้นลึกหนาบางเจ้า ปกติก็ไม่มีใครคิดจะท้าเจ้าหรอก”
  ซูหลี่ยิ้ม
  ถึงแม้ความเป็นมาของถังซานเป่าจะลึกลับ แต่ข้อมูลที่ทางวิหารเฟิงฮ่าวเปิดเผยออกมา มันก็คือผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นเทพสงคราม 2 ดาราขึ้นไป
  “เฮ่อ งั้นพวกมันก็สมควรมาทดสอบข้าบ้างไม่ใช่หรือไง…ให้นั่งเฉยๆอยู่แบบนี้ข้าก็เบื่อเป็นนะ”
  ถังซานเป่ายักไหล่ “ทีพวกเจ้ายังมีคนมาทดสอบเลย ไฉนไม่มีใครมาทดสอบข้าบ้างนะ…”
  สุดท้ายจวบจนจบรอบที่ 3 ถังซานเป่าก็ได้แต่ผิดหวัง
  รอบที่ 3 ของศึกอัจฉริยะกินเวลานานกว่า 10 วัน ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา มีหลายคนที่แพ้พ่ายถูกคัดออกแต่สามารถท้าทายเอาชนะและผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ได้สำเร็จ
  และมีบางคนที่แพ้พ่ายแล้วแต่ท้าทายเอาชนะได้ ทว่ายังโดนผู้อื่นท้าจนแพ้ไปอีก สุดท้ายจึงหมดโอกาสผ่านเข้าสู่รอบที่ 4
  ด้านต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ หลังจากที่โดนท้าไปวันแรกแล้ว ต่อมาก็ไม่มีใครคิดจะท้าทั้งคู่อีกเลย
  หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เหมือนกัน
  ถังซานเป่าก็ไม่มีใครท้า
  ที่ต้องกล่าวก็คือจางเทียนโย่วนั้น สามารถท้าทายเอาชนะผู้อื่นและกลับเข้าสู่ 300 อันดับได้อีกครั้ง อนิจจามันไม่ทันได้ดีใจนานนัก ก็ถูกผู้อื่นจัดการจนสิ้นวาสนากับรอบที่ 4…ว่างถิงเองก็ถูกเขี่ยตกรอบเช่นกัน
  รอบที่ 3 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ จำต้องพึ่งพากำลังตัวเองถ่ายเดียว ไร้โชคและความบังเอิญอันใด
  300 คนที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ได้ ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นผู้มีความสามารถทั้งสิ้น
  เมื่อผลลัพธ์ออกมา จำนวนเทพสงคราม 1 ดาราที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ได้ ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย…นี่จึงเป็นเหตุผลว่าไฉนต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ถึงไม่โดนท้าอีกเลย
  ตอนแรกคนที่ท้าพวกเขา อาจจะแค่ทดสอบเท่านั้น
  แต่พอเผยพลังฝีมือออกมาแล้ว ก็ไม่มีใครโง่พอจะเสียสิทธิ์ท้าท้ายอันมีค่าไปกับการท้าประลองทั้ง 2 แน่นอน
  “พวกเราทุกคนล้วนตกรอบหมดแล้ว…หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้วล่ะ”
  ว่างถิงถอนหายใจพลางกล่าว
  และคำพูดของนางก็พูดกับต้วนหลิงเทียน ซูหลี่ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นและถังซานเป่า
  หลังจากที่ได้นั่งด้วยกันและคุยกันหลานวัน ทุกคนก็รู้จักกันในระดับหนึ่ง
  “เจ้าศิษย์คนที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนนั่น ไม่แม้แต่จะผ่านเข้าสู่รอบที่ 4 ได้ด้วยซ้ำ!”
  จางเทียนโย่วเหลือบมองชาหนุ่มร่างกำยำที่พึ่งแพ้พ่ายกลับที่นั่งไปด้วยท่าทีซึมเซาด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ทราบจริงๆ ว่าในกาลก่อนมันไปเอาความกล้ามาแต่ที่ใด ถึงได้ห้าวคิดท้าทายต้วนหลิงเทียน…”
  ชายหนุ่งร่างกำยำที่กลับไปนั่งที่อย่างเหงาๆ ก็คือศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน ถงถู
  ตอนนี้จางเทียนโย่วหัวเราะกับความโชคร้ายของถงถูอย่างสนุกสนาน และราวกับมันลืมเลือนไปหมดแล้ว…ว่าก่อนที่จะเดินทางมาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน เดิมทีมันก็ประเมินต้วนหลิงเทียนต่ำไป ยังกล่าวกับว่างถิงว่าจะประลองกับต้วนหลิงเทียนสักครา…