ระหว่างเดินทางกลับที่พัก พอนึกย้อนถึงเรื่องที่ฟงชิงหยางบอก ต้วนหลิงเทียนที่ได้รับทราบความชั่วร้ายของวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว ก็ยากจะระงับอารมณ์ที่กระสับกระส่ายลงได้
ย้อนกลับไปก่อนหน้า ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักนั่น ได้กล่าวคำซื่อๆว่าไม่คิดบีบคั้น!
จุดประสงค์ของอีกฝ่ายที่แท้ก็คิดล่อลวงให้เขาถ่ายทอดมรรคากระบี่มิติ ที่ได้แนวทางจากมรรคากระบี่ทำลายล้างของอาจารย์ ไม่ใช่ต้องการมรรคากระบี่ทำลายล้างของอาจารย์จริงๆ!
หากเขาหลงกลพวกมันล่ะก็ รอให้มีคนของวิหารเฟิงฮ่าวใช้มรรคากระบี่ที่มีแนวทางจากมรรคากระบี่ทำลายล้างของงฟงชิงหยางออกมาจริงๆ เกรงว่าอาจารย์เขาก็คงไม่อาจพูดอะไรออกมาได้
ถึงแม้เขาจะไม่ยอมบอกออกไป วิหารเฟิงฮ่าวไม่พ้นต้องหาวิธีกักขัง และบีบคั้นทรมานเขาแน่!
ที่สำคัญวิหารเฟิงฮ่าวก็เป็นถึงขุมกำลังที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเท่าระนาบเทวโลก ไม่พ้นต้องมีวิธีการมากมายเป็นแน่
ถึงตอนนั้นต่อให้อาจารย์เขาฟงชิงหยาง คิดตามหาตัวเขาเพื่อช่วยเหลือก็คงคว้าน้ำเหลว
ถึงแม้อาจารย์จะสงสัยว่าวิหารเฟิงฮ่าวลงมือกับเขา ต่อให้บุกไปหาความจริง วิหารเฟิงฮ่าวก็คงตีหน้าเซ่อบอกปัดนู่นนี่นั่น จนทำให้อาจารย์เขาไม่อาจทำอะไรได้ หากไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ในวิหารเฟิงฮ่าวรึเปล่า
‘วิหารเฟิงฮ่าว…เว้นเสียแต่ข้าจะมีกำลังพอ หรือไปกับอาจารย์…หาไม่แล้วเกรงว่าไม่อาจไปได้จริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
เดือนถัดมา ต้วนหลิงเทียนไม่คิดพักอยู่ในบ้าน แต่ติดต่อไปหาเว่ยฉีศิษย์ของจักรพรรดิสวรรค์หวนสื่อเทียน เพื่อขอสถานที่เงียบสงบไร้ผู้ใดรบกวน เพื่อขัดเกลามรรคากระบี่มิติ
“ศิษย์น้องต้วน ที่นี่ไม่มีผู้ใดมารบกวนเจ้าได้แน่”
หลังจากพาต้วนหลิงเทียนมาส่ง เว่ยฉีก็ยิ้มกล่าวรับประกัน “ข้าไปก่อนแล้ว…หลังจากนี้ หากเจามีอะไรหรือต้องการอันใด ก็ไม่ต้องเกรงใจ ให้ติดต่อมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณศิษย์พี่เว่ยฉีมาก”
ต้วนหลิงเทียนเร่งกล่าวขอบคุณทันที
ในเมื่อต้วนหลิงเทียนเลือกจะมาฝึกปรือที่นี่ เขาก็แจ้งไปหาฟงชิงหยางเช่นกัน เพราะถึงแม้ในร่างเขาจะมีจิตเทพของฟงชิงงหยางประทับเอาไว้ แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวมีวิธีปิดกั้นรอยประทับจิตเทพหรือไม่?
อย่างไรก็ตามฟงชิงหยางหัวเราะกล่าวว่า “เจ้าระแวงเกินไปแล้ว …รอยประทับจิตเทพของข้า ก็คือการใช้พลังวิญญาณของข้าประทับไว้ที่เจ้า ต่อให้เป็นเพียงลมพัดหญ้าไหว ข้าก็ล่วงรู้ได้ทันที”
“เรื่องนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ไม่อาจทำอะไรเจ้าโดที่ข้าไม่รู้ตัวได้”
“เป็นธรรมดาว่า หากเป็นแค่การส่งข้อความ…ค่ายกลโบราณบางค่ายกล หรือค่ายกลเทพ ที่จัดตั้งโดยตัวตนขอบเขตเทพ ก็สามารถปิดกั้นข้อความของยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณได้…อย่างไรก็ตามพวกมันไม่มีทางปิดกั้นการส่งข้อมูลระหว่างหินเทพแม่ลูกได้”
ก่อนที่จะปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนไปฝึก ฟงชิงหยางก็ได้มอบหินสีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือให้ต้วนหลิงเทียน มันเป็นหินที่มีลวดลายอักขระซับซ้อนนัก
และฟงชิงหยางก็ได้บอกเขาว่า นี่คือหินสื่อสารที่ไม่ต้องอาศัยรอยประทับวิญญาณในลูกแก้ววิญญาณเพื่อใช้งาน แต่มันเป็นหินเทพสื่อสารแม่ลูก!
และหินเทพสื่อสารแม่ลูก ก็หาได้ง่ายดายเหมือนยันต์อมตะแม่ลูกไม่
“ท่านอาจารย์ หินเทพสื่อสารแม่ลูกนี่…คงไม่ใช่ของธรรมดาใช่ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม ขณะพลิกหินชมดู..
“มันเป็นสิ่งที่ข้าได้นำออกมาจากนรกอสุรา…และมันเป็นสมบัติของยอดฝีมือขอบเขตเทพที่ตกตายอยู่ด้านใน…ในแหวนพื้นที่มันนอกจากมีหินเทพสื่อสารแม่ลูกทั่งไม่ได้ใช้คู่นี้เก็บไว้ นอกจากนั้นก็มีหินเทพแม่ลูกอีกหลายชิ้นที่เหลือแต่ประเภทแม่หรือลูกอีกด้วย”
ฟงชิงหยางกล่าว
“หินเทพสื่อสารหนึ่งแม่หลายลูก?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้า “หมายความว่า…หากท่านใช้หินเทพสื่อสารแม่ หรือลูกนั่น ก็สามารถติดต่อกับญาติพี่น้องหรือสหายของอดฝีมือขอบเขตเทพที่ตกตายผู้นั้นได้?”
“เป็นเช่นนั้น”
ฟงชิงหยางกล่าว “หินเทพสื่อสารแม่ลูก ก็มีลักษณะการใช้งานเหมือนยันต์อมตะสื่อสารทุกประการ และจำต้องอยู่ในระนาบเดียวกันเท่านั้นถึงจะติดต่อสื่อสารกันได้…หากครอบครัวหรือญาติที่พกหินเทพแม่หรือลูกที่เข้าคู่ไว้ บังเอิญอยู่ระนาบเดียวกัน ก็สามารถติดต่อกันได้ทันที”
“อย่างไรเสีย ข้าไม่คิดจะติดต่อญาติพี่น้องหรือสหายมัน”
“ถึงนี่อาจจะเป็นหนทางสานไมตรีกับตัวตนขอบเขตเทพได้ทางหนึ่ง และอาจสร้างผลประโยชน์ได้ใหญ่หลวง แต่มันก็อาจชักนำเภทภัยมาสู่ตัวได้เช่นกัน…เพียงก้าวเดินไปทีละก้าวอย่างมั่นคง ไม่ต้องคิดหวังเรื่องหนึ่งก้าวถึงฟ้าย่อมประเสริฐกว่า เพราะไม่แน่สุดท้ายอาจทำให้พบเจอหายนะได้”
ฟงชิงหยางกล่าว
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นชอบ เขาเองก็เข้าใจความจริงข้อนี้ดี
ที่ไฉนเขาถามไป ก็เพราะอยากรู้ล้วนๆ
ถึงแม้เขาจะบังเอิได้รับหินเทพสื่อสารแม่ลูกจากแหวนพื้นที่ยอดฝีมือขอบเขตเทพมา เขาก็ไม่คิดใช้หินเทพสื่อสารแม่ลูกติดต่อไปหาผู้ที่มีหินเทพสื่อสารแม่ลูกที่สอดคล้องกันเด็ดขาด เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใครนิสัใจคอเช่นไร หากคุยง่ายก็ดีไป แต่เกิดเป็นพวกหัวรุนแรงขึ้นมา ไม่แน่อาจมีโมโหที่สหายหรือญาติตายตก และมาระบายอารมณ์กับเขาก็เป็นได้
“ขอบคุณอาจารย์”
หลังได้ยินคำแนะนำเรื่องหินเทพสื่อสารแม่ลูกจากฟงชิงหยาง และพบว่าตอนนี้ฟงชิงหยางก็เหลือหินเทพแม่ลูกที่ยังไม่ใช้แค่ชุดเดียว และก็เป็นก้อนที่อยู่ในมือเขา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งใจขึ้นมา
“เอาล่ะ เจ้าฝึกปรือและทำความเข้าใจมรรคากระบี่มิติเจ้าเถอะ…ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้สมควรมีพยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อนไม่น้อย แต่ข้าก็หวังจะได้เห็นความก้าวหน้าและชัยชนะของเจ้า”
หลังฟงชิงหยางกล่าวจบคำ ก็เหินร่างจากไปทันที
หลังฟงชิงหยางจากไป สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนทำก็คือเข้าฌาณสมาธิ จากนั้นก็เริ่มทำความเข้าใจมรรคากระบี่มิติของตัวเอง ต่อมาร่างก็ค่อยๆลึกขึ้นเคลื่อนไหว มือสะบัดวาดกระบี่วูวาบ ร่างคนเดี๋ยวอยู่เดี๋ยวหายไม่หยุด และหลังจากวากกระบี่วุ่นวายพักใหญ่ ก็ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นหญ้าขจี เพื่อหลับไหลและจมจ่อมสู่ภวังค์หยั่งรู้ของผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด เพื่อยกระดับความเข้าใจกฏมิติต่อ
และตอนนี้ กระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่ความก้าวหน้าในแต่ละวันของเขา กับมากมายยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนมาก
‘หรือจะเป็นเพราะ…วิหารเฟิงฮ่าวทำให้ข้ารู้สึกกดดัน?’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่คิดไปทำนองดังกล่าว
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใดก็ล้วนเป็นเรื่องดี!
‘พรุ่งนี้ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 ก็จะเริ่มแล้ว…กลับก่อนดีกว่า’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดินทางกลับมายังบ้านพักที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หวนสื่อทเยียนจัดให้เหล่าอัจฉริยะทันที บ้านไม้เล็กๆหลังเดิมที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้า และพอกลับมาถึงเขาก็ไม่คิดทำความเข้าใจมรรคากระบี่มิติหรือความลึกซึ้งสืบไป เพียงนำจานค่ายกลที่ฟงชิงหยางงให้ออกมาจัดตั้งเพื่อปกปิดกลิ่นอาย จากนั้นก็เปิดโลกใบเล็กภายในกาย เพื่อสื่อสารกับ วารีเทพชำระโลกา 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุทันที
“อาวุโสสุ่ย…นอกจากจะผสานวิถีกระบี่เข้ากับกฏแล้ว ยังใช้กฏเพื่อเข้าถึงเต๋าหรือมรรคาอื่นๆได้หรือไม่?”
เมื่อเดือนก่อนต้วนหลิงเทียนเข้าใจมรรคากระบี่มิติของตัวเองเพิ่มขึ้นไม่น้อย อีกทั้งความเข้าใจในกฏมิติเองก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าการผสานรวมความลึกซึ้งจะยังไม่ได้ก้าวหน้าเพิ่ม แต่เขากลับรู้สึกถึงความประหลาดบางอย่าง
ความรู้สึกดังกล่าว เสมือนห้วงมิติโดยรอบมันอยู่ในกำมือ!
เรียกว่าพอเข้าถึงห้วงความรู้สึกดังกล่าว ราวกับเขาสามารถควบคุมห้วงมิติโดยรอบได้ตามแต่ใจ แม้จะไม่ได้ใช้พลังแห่งกฏหรือมรรคากระบี่มิติ!
อีกทั้ง เสมือนเขากลายเป็นจ้าวผู้ควบคุมห้วงมิติดังกล่าวโดยสมบูรณ์
“ย่อมได้”
เหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียนเลือกถามวารีเทพชำระโลกานั้น เพราะวารีเทพชำระโลกาเป็นผู้ที่รอบรู้เรื่องราวมากที่สุดในบรรดาเทพเบญจธาตุของเขา ท้ายที่สุดแล้วร่างต้นคนก่อนของวารีเทพชำระโลกา ก็คือเจ้าของพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่หากไม่ตายเสีก่อน ก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่อาศัยพฤกษาเทพกำเนิดชีพในการบรรลุคนแรกของสวรรค์แลกโลก
“เต๋ามีมากมายหลากหลายนัก และมิได้จำกัดแค่เต๋าของศาสตรา หรือที่เจ้าเรียกกันติดปากว่า มรรคากระบี่ มรรคาดาบหรือมรรคาหอก…ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลก หรือแม้แต่ระนาบเทพ เต๋าก็มีมากมาย วิถีศาสตราทั้งหลาย จัดเป็นแขนงหนึ่งเท่านั้น”
“นอกจากวิถีศาสตราแล้ว ยังมี วิถีควบคุม วิถีไร้สิ้นสุด และวิถีกลืนกิน”
วารีเทพชำระโลกากล่าวว่า “4 วิถีดังกล่าว เรียกว่าจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก”
“จตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวูบ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินเรื่องราวดังกล่าว จากนั้นก็ถามออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “อาวุโสสุ่ย วิถีกลืนกินหมายความว่าอะไรหรือ?”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงปฐมเวทย์กลืนกิน เวทย์พลังที่เขาเชี่ยวชาญในอดีต รวมถึงมหาเวทย์กลืนกินที่จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ติงฟู่ เชี่ยวชาญ ตามที่อาจารย์เขาบอกไว้ มหาเวทย์กลืนกินของติงฟู่ ไม่เพียงแค่กลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินได้เท่านั้น แต่ยังกลืนกินพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกระทั่งพลังแห่งกฏของคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย!
“วิถีกลืนกินนั้น คือการเปลี่ยนสรรพสิ่งให้เป็นกำลังของตัว กระทั่งกลืนกินพลังที่เหนือล้ำกว่าตัว และชักนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหนือชั้นยิ่งกว่ายืมหอกคืนสนองผู้ใช้”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “ผู้ที่เข้าถึงวิถีกลืนกินนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนอันทรงพลังยากต่อกรทั้งงสิ้น ยามประมือกับตัวตนที่ใช้วิถีกลืนกิน เจ้าต้องมั่นใจว่าการลงมือต้องรวบรัดหมดจด หากพลังกระบวนท่าของเจ้าถูกอีกฝ่ายกลืนกินชักนำไปเป็นพลังของมันได้ เจ้าจะไม่อาจต้านทานรับมือมันได้เลย”
“การลงมือดังกล่าวเรียกว่าทรงพลังเหนือชั้นสุดต้านทาน อย่างไรก็ตามวิถีกืนกินเป็นอะไรที่ยากจะเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง”
พอได้ยินคำพูดของวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่ามหาเวทย์กลืนกินของจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ติงฟู่ เข้าข่ายวิถีกลืนกินหรือไม่?
“แล้ววิถีไร้สิ้นสุดล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกรอบ
“วิถีไร้สิ้นสุดคือวิถีแห่งการใช้พลังอนันต์…ยามเผชิญหน้ากับศัตรู ไม่เพียงแต่พลังเซียนอมตะ กระทั่งพลังวิญญาณ ก็จะถาโถมกระหน่ำใส่ศัตรูราวคลื่นสมุทร ไม่รู้เหนื่อย…”
“วิถีไร้สิ้นสุดนั้น เป็นดั่งการเพาะสร้างสภาวะตัวเองทำให้ดูเหมือนมีพลังอันไร้สิ้นสุด สามารถปลดปล่อยพลังสูงสุดติดต่อกันได้ไม่รู้จบราวกับพลังไร้ขาดห้วง…กดดันให้คู่ต่อสู้รู้สึกตกเป็นรองและสิ้นไร้เรี่ยวแรงต้านทาน จนสภาวะพลังถดถอยนำไปสู่ความแพ้พ่ายไปในที่สุด”
“แต่เป็นธรรมดาว่า การเพาะสร้างสภาวะดังกล่าว ก็คือการสร้างภาพลวงตาให้คู่ต่อสู้รู้สึกว่าตนมีพลังไร้จำกัดจริงๆ”
“อย่างไรก็ตาม แม้มันจะเป็นแค่ภาพลวงตา ทว่ายามต่อสู่ศัตรูก็ยังได้รับผลกระทบ…เพราะสภาวะพลังดังกล่าวน่ากลัวยิ่งกว่าภาพลวงตาใดๆมาก หาไม่แล้วก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นวิถีไร้สิ้นสุด หนึ่งในจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก”
วารีเทพชำระโลกากล่าวออกเสียงขรึม
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ด้วยคำอธิบายของวารีเทพชำระโลกา เขาก็พอเข้าใจได้ว่าวิถีไร้สิ้นสุดคืออะไร กล่าวง่ายๆว่าเป็นการเพาะสร้างสภาวะลวงตาศัตรู แต่ถึงแม้ศัตรูจะรู้ว่าเป็นมายา สุดท้ายก็จำต้องได้รับผลกระทบไปอย่างช่วยไม่ได้
“แล้ววิถีควบคุมล่ะ”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเรื่องนี้ ใจเขาก็สั่นไหวไม่น้อย เพราะเขารู้สึกว่าสถานะยามเข้าสู่ห้วงลึกลับที่เขารู้สึกน่าจะเป็นวิถีควบคุม เพราะในห้วงเวลาดังกล่าวเขารู้เสมือนตัวเองเป็นจ้าวที่สามารถควบคุมห้วงมิติได้จริงๆ
ความรู้สึกดังกล่าวมันยอดเยี่ยมมาก ราวกับทุกสิ่งในห้วงมิติโดยรอบอยู่ในกำมือ เขาจะทำอะไรก็ได้!
“วิถีควบคุมนั้น คือการครอบงำทั้งหมด และเกี่ยวข้องกับกฏอย่างแยกไม่ออก”
ทันทีที่วารีเทพชำระโลกาเกริ่นมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้รางๆว่าเขาน่าจะสัมผัสกับวิถีควบคุมเข้าให้แล้วจริงๆ…