เพื่อเป็นการยืนยัน ต้วนหลิงเทียนจึงถามวารีเทพชำระโลกาเพิ่มเติม
“เจ้ามีความรู้สึกว่าสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งจริงๆรึ?”
วารีเทพชำระโลกาเองก็รีบถาม
“ใช่”
เมื่อต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ วารีเทพชำระโลกาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าลองควบคุมมิติรอบกายให้ข้าดูหน่อย…หากเจ้าสามารถแตะถึงธรณีประตูวิถีควบคุมจริงๆล่ะก็ ต่อให้เป็นในบรรดาเหล่าเทพเจ้าก็ยังเป็นสุดยอดอัจฉริยะไร้คู่เปรียบ”
เสียงกล่าวของวารีเทพชำระโลกาตอนนี้ คล้ายรีบร้อนไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็หลับตาสงบจิตทันที จากนั้นร่างเขาก็ปรากฏพลังพุ่งพล่านขึ้นมาจากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็ผสานรวมกับธาตุมิติ ก่อเกิดพายุใต้ฝุ่นคมมีดมิติขนาดเล็กหมุนวนรอบกายอย่างน่ากลัว
และทันใดนั้นเองสองตาต้วนหลิงเทียนก็เปิดขึ้น
พริบตาต่อมา
ซัววว!!
ซัววว!!
พุคมมีดมิติขนาดย่อมพลันสลายหายไปทันที
จากนั้นพอต้วนหลิงเทียนชกหมัดออกไปเบาๆ ห้วงมิติเบื้องหน้าก็กระเพื่อมบิดเบือนราวกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
เวิงง!!
จากนั้นพอต้วนหลิงเทียนแบฝ่ามือออกมาแล้วโบกสะบัดเบาๆ ห้วงมิติที่ผันผวนบบิดเบือนอย่างรุนแรก็สงบลงในพริบตา ประหนึ่งห้วงทะเลคลั่งแปรเปลี่ยนเป็นผิวทะเลสาบอันเงียยบสงบ ราวกับไม่เคยเกิดความผันผวนใดๆ
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็กางมือทั้ง 2 ข้างออก ราวกับต้าเผิงสยายปีก
ทันใดนั้นเอง ห้วงมิติรอบกายก็เริ่มพับซ้อน จนฉากเรื่องราวเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด สรรพสิ่งกลับทิศวุ่นวายไปหมด ประหนึ่งคลื่นสมุทรม้วนวน ห้ววงมิติพับไปพับมาไม่ก็บิดหมุนเป็นเกลียว พลังมิติที่กำจายออกมาในบรรยากาศ กลายเป็นลี้ลับยากหยั่งถึง
“ตอนนี้ข้าสามารถเข้าไปซ่อนในห้วงมิติผันผวนได้ด้วย”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวกับวารีเทพชำระโลกาจบคำ ห้วงมิติแปรปรวนด้านหลังก็คล้ายกำแพงคลื่นโถมกลืนเขาทันที ต่อมาก็กลับกลายเป็นนิ่งสงบไร้ละลอกใดๆ และบัดนี้ร่างต้วนหลิงเทียนก็หายไปแล้ว ราวกับไร้ซึ่งสิ่งใดเคยดำรงอยู่ตรงนี้มาก่อน
หลังจากนั้นที่ห้วงมิติสงบลงสักพัก มันก็เริ่มสั่นไหวราวผิวน้ำจากนั้นก็กระจายยออกข้าง เผยร่างต้วนหลิงเทียนให้เห็นอีกครั้ง
“เป็นเช่นไรบ้างพี่สาวสุ่ย”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามวารีเทพชำระโลกา ถึงแม้การกกระทำของเขาตอนนี้จะมีการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ อย่างไรก็ตามเขากลับอาศัยความรู้สึกอันยอดเยี่ยมในการควบคุมห้วงมิติแทน
เมื่อครู่ เขารู้สึกราวกับตัวเองได้หลอมผสานเข้ากับความว่างเปล่า เป็นดั่งจ้าวของห้วงมิติโดยยรอบ และจะใช้พลังซับซ้อนเพียงใดเขาก็อาศัยเพียงห้วงคิดเดียวเท่านั้น
ในขณะที่กล่าวถามต้วนหลิงเทียน ห้วงมิติเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนก็ประหนึ่งดินน้ำมันก้อนใหญ่ที่ถูกบิฉีก จากนั้นก็ก่อร่างเป็นเสือน้อย ก่อนจะกระโจนลงมาจากความว่างด้านบนปานพยัคฆ์ลงถูมาอยู่ในฝ่ามือต้วนหลิงเทียนที่ยกขึ้นกางออก
และพอต้วนหลิงเทียนหุบฝ่ามือพยัคฆ์น้อยดังกล่าวก้อันตรธานหายไปทันที
“เป็นวิถีควบคุมจริงๆ!”
เสียงของววารีเทพชำระโลกาบัดนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังได้ยินการสั่นไหวในน้ำเสียงของนางชัดเจน “พี่สาวสุ่ยท่านดูเหมือน…ตื่นเต้นงั้นหรือ?”
“จะไม่ให้ข้าไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรไหว”
พอววารีเทพชำระโลกากล่าวคำออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงของนางก็หวนคืนสู่ความสงบแล้ว “เจ้าไม่เพียงเห็นธรณีววประตูของวิถีควบคุม กระทั่งเจ้ายังก้าวเข้ามาแล้ว”
“แม้แต่ ความสำเร็จในมรรคากระบี่มิติของเจ้า ก็เกรงว่าจะถูกความสำเร็จในวิถีควบคุมแซงไปแล้ว”
“หากว่ามรรคากระบี่มิติของเจ้ายังไม่ได้พัฒนาไปกว่าครั้งก่อนที่ข้าเห็นมากนัก”
ก่อนที่จะเดินทางมาพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน มรรคากระบ่มิติของต้วนหลิงเทียนก็ก้าวเข้าสู่ขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว ถึงแม้ตลอดเดือนที่ผ่านมามันจะมีความก้าวหน้าครั้งใหญ่ แต่ความก้าวหน้าก็ยังไม่ใหญ่โตพอ
ทว่าต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อได้ยินคำของวารีเทพชำระโลกาจริงๆ
เพราะไม่ทันรู้ตัว ความสำเร็จในวิถีควบคุม กลับไม่ด้อยไปกว่ามรรคากระบี่มิติ?
ต้องทราบด้วยว่าความสำเร็จในมรรคากระบี่มิติของเขาตอนนี้ มันเกิดจากการฝึกปรือขัดเกลาเป็นระยะเวลาร้อยปี ยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่เขาเคยวางรากฐานอันมั่งคงเอาไว้ ตั้งแต่สมัยอยู่ในระนาบโลกียะด้วยซ้ำ…
แต่วันนี้ ววารีเทพชำระโลกากลับเอ่ยออกมาดื้อๆ ว่าความสำเร็จในวิถีควบคุมของเขาเหนือกว่ามรรคากระบี่มิติแล้ว?
ต้วนหลิงเทียนไม่อาจไม่ตกตะลึงได้จริงๆ!
“อันที่จริงแล้ว ไมว่าจะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในกฏสูงสุดทั้ง 4 จนถึงขีดสุด หรือผู้ที่ครอบครองหนึ่งในเทพเบจธาตุทั้ง 5 ที่บรรลุถึงขั้นสุดท้าย จนสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด…ที่ไฉนพวกมันถึงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้นั้นปกติแล้วก็เพราะพวกมันเข้าถึงเต๋า”
“กฏสูงสุดทั้ง 4 ที่กล่าวกันว่าเป็นกฏอันสูงสุดนั้น หลังจากทำความเข้าใจมันได้สุดขั้ว สามารถผสานรวมความลึกซึ้งทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว ก็จะบังเกิดความเข้าใจวิถีอื่นนอกจากวิถีศาสตราไปเอง”
“ไม่ว่าจะเป็นวิถีกลืนกิน วิถีไร้สิ้นสุด หรือวิถีควบคุม”
“และเทพเบญจธาตุทั้ง 5 หลังจากแปลงร่างถึงขั้นสุดท้าย ก็จะสามารถส่งพลังดังกล่าวมาหนุนเสริมร่างต้นของพวกมัน…ขณะเดียวกันยยังช่วยให้ร่างต้นตระหนักรู้ถึงเต๋า ในที่สุดก็กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด”
“หากเจ้าอยากเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ปกติแล้วต้องเข้าถึงธรณีประตูจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นพะอถึงเวลา สวรรค์และโลกจะส่งหายผู้แข็งงแกร่งที่สุดลงมา เมื่อผ่านนหายนะดังกล่าว ก็จะถูกยกระดับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดทันที”
คำพูดของวารีเทพชำระโลกา ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจหนทางสู่การเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเพิ่มขึ้น
ในอดีตเขาเพียงรู้แค่ว่า หากคิดจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด หนึ่งเลยก็คือต้องเข้าใจ 1 ใน 4 กฏสูงสุด หรืออีกทางก็คือครอบครองเทพเบญจธาตุๆใดธาตุหนึ่ง…ต่อมาพอได้พบเจอกับฟงชิงหยางเขาจึงรู้ว่า ยังมีอีกหนทางในการบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด…เข้าถึงเต๋า พบเจอมรรคาของตัว!
มาวันนี้เขาจึงได้ตระหนักว่า ที่แท้ไม่ว่าจะเป็นการอาศัย 1 ใน 4 กฏสูงสุดหรือ 1 ใน 5เทพเบญจธาตุเพื่อให้บรรลุถึงงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังแยกจากคำว่า ‘เต๋า’ ไม่ออก
“อยู่ดีๆเจ้าไฉนเข้าใจวิถีควบคุมเช่นนี้ได้?”
วารีเทพชำระโลกากล่าวถามด้วยความสงสัย “ถึงแม้เจ้าจะมีผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดในครอบครอง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะช่วยให้เจ้าเข้าถึงวิถีควบคุมเช่นนี้…รวมถึงไม่อาจทำให้เจ้าเข้าถึงวิถีกลืนกินหรือวิถีไร้สิ้นสุดได้”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร…แต่ที่แน่ๆคือ ความรู้สึกถึงห้วงเวลาลึกลับครั้งแรก หรือสามารถเข้าสู่ธรณีประตูของวิถีควบคุมได้…สมควรมาจากผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด”..
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะงุนงงเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เขาเชื่อว่ามันเป็นเพราะผลึกสำนึกของงผู้แข็งแกร่งที่สุดนำมาให้เขาเป็นแน่
“โดยปกติแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย…”
วารีเทพชำระโลกากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “เท่าที่ข้ารู้มา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าถึง เต๋า 2 วิถี…อย่างน้อยๆผลึกสำนึกของมันก็เพียงช่วยให้ผู้อื่นเข้าถึง 1 วิถีหลังบรรลุถึงขอบเขตเทพเท่านั้น และหลังจากผสานรวมความลึกซึ้งของกฏได้หมดแล้ว มันถึงจะช่วยให้เข้าใจอีกวิถีที่เหลือ…”
“แต่เจ้ายังไม่ทันได้บรรลุถึงขอบเขตเทพ ทว่ากลับสัมผัสถึงวิถีควบคุมแล้ว”
“เว้นเสียแต่…”
กล่าวถึงจุดนี้วารีเทพชำระโลกาก็เงียบไปไม่พูดต่อราวกับลังเลอะไรบางอย่าง แต่ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวต่อคำนางออกมา “เว้นเสียแต่ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่ข้ามี จะเป็นผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าถึง 3 วิถี?”
“ไม่ผิด!”
ทันใดนั้นน้ำเสียงของวารีเทพชำระโลกาก็เปลี่ยยนเป็นเคร่งขรึม ประโยคต่อมาเสียงยังสูงขึ้นกว่าเดิม “แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”
“เท่าที่ข้าทราบ ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าถึง 2 วิถีได้ ก็เป็นตัวตนที่อยู่เหนือผู้ใดในใต้หล้าชั้นฟ้าแล้ว มีพลังเปิดระนาบเทพของตัวเองได้…และผู้แข็งแกร่งที่เข้าถึง 3 วิถี ในสวรรค์และโลกนี้กล่าวได้ว่า พวกมันสามารถลบระนาบเทพผู้อื่น และเปิดระนาบเทพของตัวได้ทันที”
สิ่งที่วารีเทพชำระโลกากล่าว ต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้ว่าในการเปิดระนาบเทพนั้น มันมีจำนวนจำกัดและหากคิดจะเปิดระนาบเทพของตัวเอง ก็จำต้องเข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดคนอื่นและทำลายระนาบเทพของอีกฝ่ายเสียก่อน
ยกตัวอย่างเช่น ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่เขาไปพบเจอครั้งก่อน นั่นก็คือระนาบเทพที่ถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดทำลาย
“แล้วเจ้าคิดว่าตัวตนเช่นนั้นจะพินาศ กระทั่งสร้างผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดทิ้งไว้เช่นนี้รึ?”
วารีเทพำระโลกากล่าวถามต้วนหลิงเทียน
“ก็คงไม่”
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจแล้วว่าไฉนวารีเทพชำระโลกาถึงลังเล ที่แท้ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าถึง 3 วิถีก็มีน้อยคนนักในสวรรค์และโลก
ตัวตนดังกล่าวเป็นตัวตนที่อยู่ยงคงกระพันในสวรรค์และโลก ผู้ที่สามารถต่อกรด้วยได้น่ากลัวจะมีเพียงหยิบมือเดียว
“แต่ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้า สามารถอธิบายได้ในลักษณะนี้เท่านั้น”
คิดถึงจุดนี้วารีเทพชำระโลกาก็แลดูสับสนไม่เข้าใจอยู่บ้าง
ไม่ต้องกล่าวถึงนาง ต่อให้ไปถามเหล่ายอดฝีมือของสวรรค์และโลกทั้งหลาย ก็เกรงว่าจะไม่มีใครเข้าใจ ว่าตัวตนที่เข้าถึง 3 วิถีนั้นจะร่วงหล่นได้อย่างไร
“แล้วในสวรรค์และโลกนี้ มีผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญทั้ง 4 วิถีดำรงอยู่หรือไม่? เพราะถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญจตุรวิถี ก็สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญ 3 วิถีได้ไม่ใช่หรือไร?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“เชี่ยวชาญจตุรวิถี?”
วารีเทพชำระโลกาอึ้งไปครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวเสียงหนัก “เท่าที่ข้าทราบ ในสวรรค์และโลกแห่งนี้มิเคยอุบัติตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญจตุรวิถีมาก่อน”
“แต่เป็นธรรมดาว่าการเชี่ยวชาญจตุรวิถี ก็เป็นฝันอันสูงสุดของเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญ 3 วิถีเช่นกัน”
“ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยดิ้นว่ามีผู้ใดสามารถทำเชนนั้นได้”
“กระทั่ง…เคยมีสุดยอดฝีมือขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเชี่ยวชาญจตุรวิถีได้ จะกลายเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งมวลได้อย่างแท้จริง แม้กระทั่งอยู่เหนือสวรรค์และโลกแห่งนี้”
“อย่างไรก็ตามตัวตนระดับนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลย”
วารีเทพชำระโลกาเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงมั่นใจเป็นที่สุด “นอกจากนั้ยังมีตำนานเล่าขานกันในระนาบเทพทั้งหลายอีกว่า…หากอุบัติตัวตนผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญจตุรวิถีได้ขึ้นมาในสวรรค์และโลกแห่งนี้ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นตัวตนที่อยู่เหนือสวรรค์และโลกถึงขั้นแหกกฏเกณฑ์ของสวรรค์และโลก สามารถเปิดสร้างระนาบเทพได้ไร้จำกัด ไม่ถูกกำหนดว่าต้องมีแค่ 18 ระนาบเทพอีกต่อไป และจะเปิดสร้างเพิ่มสักสิบสักร้อยระนาบเทพก็ทำได้ และแม้แต่วันหนึ่งอาจรวมผสานระนาบเทพทั้งมวลเป็นหนึ่งเดียว ให้เหล่าเทพมาอยู่ร่วมกันได้…”
พอได้ฟังคำของวารีเทพชำระโลกาต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ระนาบเทพหลายสิบ?
ระนาบเทพหลายร้อย?
รวมระนาบเทพทั้งมวลเป็นหนึ่ง ให้เหล่าเทพอยู่ร่วมกัน?
พระเจ้า!
หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าสวรรค์และโลกแห่งนี้จะเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของเหล่าทวยเทพอย่างแท้จริง!
ถึงตอนนั้นเหล่าทวยเทพจะปรากฏให้เห็นทุกแห่งหน และมีตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะเกลื่อนกลาดดั่งสุนัข!
…
ต้วนหลิงเทียนก็สนทนาถามไถ่วารีเทพชำระโลกาตลอดทั้งวันทั้งคืน ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามเจาะลึกเรื่อง 4 วิถีในสวรรค์ด้วยความอยากรู้
หากไม่ใช่เพราะได้ข้อความของซูหลี่ที่ส่งมาบอกว่า ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 กำลังจะเริ่มแล้ว เกรงว่าต้วนหลิงเทียนคงกระหน่ำยิงคำถามมากมายเกี่ยวกับจตุรวิถีต่อวารีเทพชำระโลกาแน่…สุดท้ายเขาก็ปิดกั้นโลกใบเล็กโดยสมบูรณ์อีกครั้งด้วยความไม่เต็มใจอยู่บ้าง เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่เขาอยากถามวารีเทพชำระโลกาให้กระจ่าง…
“ไปกันเถอะ”
พอต้วนหลิงเทียนเดินออกมาจากบ้านไม้ ก็พบซูหลี่ยืนรออยู่หน้าบ้าน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าให้ซูหลี่ ก่อนที่ทั้ง 2 จะพากันเหินร่างไปยังสถานที่จัดการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์
ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!