ในรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น จาก 300 คนที่สามารถผ่านเข้ารอบมาได้ จะทำการสู้ตัดสินเพื่อหา 100 คนที่แข็งแกร่งที่สุด
  จึงกล่าวได้ว่ารอบนี้เป็นดั่งรอบโหมโรงของการต่อสู้อันยอดเยี่ยมของศึกอัจฉริยะสวรรค์ เพราะในรอบนี้ทั้ง 300 คนที่ต้องต่อสู้ไม่มีชนชั้นอ่อนด้อยสืบไป
  เพราะอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 1 ดารา
  ตัวตนดังกล่าว สำหรับขุมกำลังระดับบสวรรค์ทั่วไปในระนาบเทวโลกแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นมือดีคนหนึ่ง และยยังอาจเป็นได้ถึงเสาหลักของขุมกำลังระดับสวรรค์อีกด้วย
  ตัวอย่างเช่นวังเทียนฉือที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่ ในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 9 นั้น จักรพรรดิอมตะสมญานามที่อ่อนแอที่สุด ก็เป็นเทพสงคราม 1 ดารา ที่สำคัญล้วนแล้วแต่อายุมากกันทั้งสิ้น
  ทว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น แค่ข้อกำหนดจะเข้าร่วมก็ต้องมีอายุไม่ถึงพันปี ทั้งหมดคือเหล่าผู้โดดเด่นที่เฟ้นหามาแล้วจากทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก โดยเฉลี่ยแล้วก็เหลือเพียงระนาบละ 4 คนเท่านั้น
  นอกจากนี้คำว่าคนที่เอ่ยถึงก็ไม่ได้จำกัดไว้แค่มนุษย์ แต่ยังมีเหล่าสัตว์อมตะ สัตว์เทพ แม้แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆที่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้
  ก็อย่างเช่นพวกบุปผาอมตะ ต้นไม้อมตะ สิ่งมีชีวิตที่อุบัติจากแร่ธาตุ หิน ฯลฯ…
  เรียกว่าเป็นเพียงรุ่นเยาว์อายุไม่ถึงพัน 4 คนที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละระนาบเทวโลก
  แน่นอนว่าย่อมไม่มีชนชั้นต่ำทราม
  “ในบรรดา 300 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ เฉลี่ยแล้วแต่ละระนาบก็มีด้วยกัน 4 คน…แต่วันนี้จะเฟ้นหาคนที่แข็งแกร่งที่สุด 100 คน กล่าวได้ว่าเฉลี่ยแล้วแต่ละระนาบบเทวโ,กจาก 81 ระนาบ อาจมีผู้ผ่านเข้ารอบที่ 5 แค่ 1 คนเท่านั้น”
  หลังต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่มาถึงสามประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ไม่ทันไร ก็ได้ยินบางคนเอ่ยถึงเรื่องนี้
  ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก็พบว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ
  “ซูหลี่ รอบนี้เจ้ามั่นใจหรือไม่?”
  ต้วนหลิงเทียนหันไปมองซูหลี่ พลางยักคิ้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “รอบที่ 4 จะคัดจนเหลือ 100 คนที่แกร่งที่สุด หากข้าเดาไม่ผิดคนที่อ่อนแอที่สุดใน 100 คนที่จะเข้ารอบ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเทพสงคราม 2 ดารา และส่วนมากต้องเป็นเทพสงคราม 3 ดาราขึ้นไปแน่นอน…”
  “100 อันดับแรกไม่น่าจะใช่ปัญหาสำหรับข้า…แต่ 30 อันดับแรกข้าไม่มั่นใจเลย”
  ซูหลี่ส่ายหัวไปมาพลางกล่าววตอบคำ จากนั้นก็คลี่ยิ้มแหยๆ “ตอนนี้ข้าอดคิดไปไม่ได้…หากศึกอัจฉริยะสวรรค์นี่มันจัดขึ้นหลังจากนี้อีกซัก 200-300 ปีจะดีขนาดไหน”
  “ถึงตอนนั้นไม่ต้องพูดถึง 30 อันดับแรก ต่อให้เป็น 10 อันดับแรก กระทั่ง 3 อันดับแรกข้าก็มีความมั่นใจว่าไหว!”
  “และถ้าเจ้าไม่เข้าร่วม ข้าเชื่อว่ากระทั่งอันดับแรกก็มีหวังอยู่!”
  ซูหลี่กล่าว
  “พูดเป็นเล่นไป ต่อให้ข้าเข้าร่วม เจ้าก็ยังหวังอันดับแรกได้อยู่ไม่ใช่รึไง?”
  ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
  “พอเถอะ…”
  ซูหลี่ส่ายหัว “เจ้ามันตัวประหลาดผิดมนุษย์มนา ตั้งแต่ในระนาบโลกียะแล้ว เจ้าก็เป็นแบบนี้มาตลอด…ไม่งั้นไหนเจ้าพูดมา มีครั้งไหนบ้างที่เจ้าไม่สะกดข้า?”
  “ตั้งแต่ค่ายอัจฉริยะกองกำลังโลหิตเหล็ก ไปจนถึงการประลอง 10 ราชวงศ์ ยังมีแดนลับอัจฉริยะในแดนทักษินยุทธ์อีก…มีรอบไหนบ้างที่เจ้าไม่บดขยี้ข้าหา?”
  “ตอนนี้เรื่องข้าไม่เหลือความคิดจะแข่งกับเจ้าแล้ว”
  กล่าวถึงประโยคท้าย มุมปากซูหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขื่นขม
  อันที่จริงมันคิดมาตลอดว่าชะตาชีวิตของมันไม่ว่าจะโชควาสนาหรืออะไร ก็ถือว่าค่อนข้างดีไม่น้อย เรียกว่าในอดีตครั้งยังอยู่ที่ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก มัน ซูหลี่ ก็โดดเด่นไม่ต่างอะไรจากต้วนหลิงเทียนมากนัก
  อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น แม้จะมีแยกย้ายห่างกันไป แต่พอพบกันอีกครั้งต้วนหลิงเทียนก็ยังอยู่เหนือมันเสมอ สุดท้ายก็ถึงวันที่มันกับต้วนหลิงเทียนออกจากระนาบโลกียะ และหลังขึ้นระนาบเทวโลกมา ก็คิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
  จนเมื่อได้พบเจอต้วนหลิงเทียนอีกครั้งที่แดนลับอัจฉริยะในแดนทักษินยุทธ์ และพบว่าต้วนหลิงเทียนก็ยังคงประสบความสำเร็จเหนือมันอยู่ดี ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกเดิมๆอย่างในระนาบโลกียะ…ไม่ว่าก้าวหน้าขึ้นอย่างมหัศจรรย์แค่ไหน และสมควรไล่ตามต้วนหลิงเทียนได้ทัน กระทั่งก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนไปแล้ว…
  อนิจจาทุกครั้งที่มั่นใจในเรื่องนี้ สุดท้ายพอต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้น ก็บดขยี้ความมั่นใจของมันทิ้งจนไม่มีชิ้นดี
  ตอนนี้มันก็เลยเลิกคิดจะแข่งขันกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป
  เพราะมันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นผู้คน แต่เป็นสัตว์ประหลาด ยังเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจแข่งขันด้วยได้!
  คงมีแต่ตัวซูหลี่เองเท่านั้น ที่รับทราบดีว่าเรื่องนี้ทำให้มันละเหี่ยใจขนาดไหน…
  ได้ยินคำพูดของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอยู่บ้าง แต่หลังจากลองคิดดู เขาก็พบว่าเรื่องราวมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
  หรือจะให้เขาบอกกับซูหลี่ว่า…
  โทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ?
  แต่นั่นเขาตั้งใจจริงๆ!
  ครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ก็เลือกนั่งที่เดิม และพบว่าพวกหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ถังซานเป่า ไม่เว้นพวกจางเทียนโย่วก็ได้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เพียงเว้นที่นั่งของต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ว่างไว้
  “โล่งไปที ในที่สุดพวกท่านก็มากันแล้ว”
  พอเห็นต้วนหลิงเทียน สองตาถังซานเป่าก็ลุกวาวจ้า เร่งกล่าวออกมา “พี่น้องต้วน พี่น้องซูหลี่ พวกท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่พวกท่านไม่อยู่ พวกเรา 4 รู้สึกอึดอัดกับพี่น้องก้อนน้ำแข็งมาดขรึมผู้นี้เพียงใด…”
  ก้อนน้ำแข็งมาดขรึมที่ถังซานเป่าพูด แน่นอนว่าย่อมเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
  “พวกเจ้ามากันเร็วดีจริง”
  ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยยังถังซานเป่าก่อน ค่อยหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและมันก็พยักหน้ากล่าวคำว่า ‘อืม’ ในลำคอ
  “พี่น้องต้วนหลิงเทียน…ท่านคงไม่มีได้มีเรื่องที่พูดไม่ได้กับพี่น้องท่านนี้ใช่ไหม?”
  ถังซานเป่าโพล่งออกมา “พี่น้องท่านนี้ กับผู้ใดก็ชักสีหน้าเย็นชาใส่ มีเพียงกับพี่น้องต้วนท่านถึงพอได้เปลี่ยนสีหน้าบ้าง…ชายหนุ่มหน้าตาดีเช่นพี่น้องต้วน คงไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆกระมัง?”
  ขณะกล่าววสองตาถังซานเป่าก็เบิกกว้าง มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับมองตัวประหลาด
  “ซานเป่าถ้าเจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก”….
  ต้วนหลิงเทียนหันไปมองงถังซานเป่าตาขวางด้วยรำคาญ เจ้านี่ผีเจาะปากมาพูดรึไร?
  เขาล่ะอยากรู้จริงๆว่าอย่างเจ้านี่มันจะมีลูกมีเมียได้ไหม?
  ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่กับถังซานเป่านานนัก แต่ก็พอบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเฮฮาสบายๆ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเสมือนว่าพึ่งออกมาจากป่าเขา เห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปหมดจริงๆ
  “ถังซานเป่า นี่เจ้าไม่รู้เหรอ ว่าเจ้าต้วนมันมีลูกมีเมียแล้วน่ะ?”
  ซูหลี่กล่าวพลางหัวเราะ
  “หา!?”
  ถังซานเป่าตกใจ “ข้า…ข้าไม่รู้เลย!”
  จากนั้นมันก็เปลี่ยนไปมองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแทน ถึงแม้ปากจะไม่กล่าวคำใดออกมา แต่สายตาก็มากพอจะอธิบายทุกอย่าง…เห็นได้ชัดว่ามันกำลังสงสัยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นใช่มีรสนิยมพิเศษหรือไม่ ถึงได้ดีแต่กับต้วนหลิงเทียนคนเดียว
  “หากยังมองอีก ข้าจะควักลูกตาเจ้า”
  ทันใดนั้นเอง เสียงเย็นชาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลันดังขึ้น ราวคนมีดวงตางอกเงยอยู่ด้านหลังและเห็นการจ้อมมองของถังซานเป่า ทำให้ถังซานเป่าสะดุ้งทั้งรีบเบนสายตาไปทางอื่นทันที เพราะหากเลือกได้มันก็ไม่อยากยั่วยุตัวกระหายเลือดผู้นี้
  ตัวกระหายเลือดที่ว่า ไม่ใช่แค่ทัศนะของถังซานเป่าที่มีต่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่ก็คิดไปทำนองเดียวกัน
  “หึ! รอให้ผู้อื่นมีโอกาสสอนบทเรียนเจ้าก่อนเถอะ!”
  หลังเบนสายตาออกไปแล้ว ถังซานเป่าก็พ่นลมขึ้นจมูกกล่าวพึมพำงึมงำออกมา
  ถึงแม้เสียงพึมพำมันจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นก็ได้ยินชัดถนัดหู และคนอื่นๆก็คิดว่าถังซานเป่าก็แค่พูดไปเรื่อย มีก็แต่ต้วนหลิงเทียนที่บังเกิดความคิดอุกอาจประการหนึ่ง
  ถังซานเป่าคนนี้ คงไม่ใช่ว่ามีพลังฝีมือพอจะต่อกรกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้จริงๆหรอกนะ?
  เพราะจนถึงตอนนี้ข้อมูลของถังซานเป่ายังคงคลุมเครือแลดูลึกลับไม่น้อย ไม่มีใครรู้เลยว่ามันมาจากไหนกันแน่ และไม่มีใครล่วงรู้พลังฝีมือที่แท้จริงของมัน
  ทั้งหมดที่รู้ก็คือมันน่าจะเป็นเทพสงคราม 2 ดาราขึ้นไป
  ‘แต่อย่างไร…รอบที่ 4 นี่มันก็คงต้องเปิดเผยฝีมือออกมาไม่น้อย’
  ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ขณะกวาดตามองไปอัฒจันทร์รอบๆ ‘และไม่ใช่แค่มัน แต่คนอื่นๆที่ปกปิดพลังฝีมือเอาไว้ใน 3 รอบก่อนหน้า ในรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์นี่ พวกมันก็คงไม่อาจปกปิดพลังฝีมือได้มากเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป’
  ก่อนจะถึงรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ อาจารย์เขาก็ได้บอกมาแล้วว่านอกจากเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็มีอีกไม่กี่คนเท่านั้น ที่เผยพลังฝีมือเหนือระดับเทพสงคราม 3 ดาราออกมา
  คนอื่นๆไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เต็มที่ก็เผยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 2 ดาราออกมาเท่านั้น
  “เมื่อจักรพรรดิสวรรค์กับคนของวิหารเฟิงฮ่าวมากันใกล้ครบแล้ว…เช่นนั้นศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 ก็กำลังจักเริ่มต้นขึ้น!”
  ในเวลาเดียวกัน หลายคนก็พบว่าจักรพรรดิสวรรค์รวมถึงคนของวิหารเฟิงฮ่าว ก็ได้เดินทางมาถึงเกือบครบหมดทุกคนแล้ว
  “หืม?”
  ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาของจักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ที่กำลังจับจ้องมาที่เขาเขม็ง และในแววตาของมันก็ทำราวกับนักล่าพบพานเหยื่ออันโอชะ
  และก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ปรากฏตัว อีกฝ่ายก็เอาแต่มองเขาด้วยสายตาดังกล่าวตลอด
  ยูไลนั่น คงไม่มีรสนิยมแปลกๆหรอกนะ?
  ต้วนหลิงเทียนที่ได้รับอิทธิพลจากวาจาเหลวไหลก่อนหน้าของถังซานเป่า อดไม่ได้ที่จะคิดไปในทำนองดังกล่าว
  ไม่นานนักจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางกับจักรพรรดิสวรรค์ติงฟู่ก็เดินทางมาถึง ทั้งคู่เดินทางมาด้วยกันและสนทนากันอย่างสนิทสนม
  เมื่อจักรพรรดิสวรรค์จากทั้ง 81 ระนาบเทวโลก รวมถึงคนของวิหารเฟิงฮ่าวเดินทางมาถึงไม่ทันไร ผู้รับผิดชอบในการดำเนินการศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้อย่าง ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ปรากฏตัวออกมาอย่างประจวบเหมาะ
  สิ่งนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
  ฉีคงไห่นั่น ใช่มาถึงแต่แรกทว่าแอบอยู่รึเปล่า หาไม่แล้วไฉนถึงปรากฏตัวออกมาหลังจักรพรรดิสวรรค์และคนของวิหารเฟิงฮ่าวมากันครบหมดพอดีทุกครั้ง?
  “รอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ กฏการประลองพวกเจ้าหลายคนก็คงทราบกันดีอยู่แล้ว ข้าก็ไม่คิดจะพูดอะไรมากความ…แต่ครั้งนี้ข้าอยากจะเตือนพวกเจ้าทุกคน ว่าอย่าได้ประมาท เพราะไม่ง่ายเลยที่จะกลายเป็น 100 คนผู้เข้ารอบจากบรรดาอัจฉริยะทั้ง 300”
  พอฉีคงไห่กล่าวถึงจุดนี้ มันก็กวาดตามองไปยังเหล่าอัจฉริยะด้วสาตาลึกซึ้ง
  กฏการประลองในรอบที่ 4 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ ทางวิหารเฟิงฮ่าววก็ยังคงสร้างตารางราชื่อ 300 อันดับไว้บนฟ้าสูงเหมือนเดิม และการประลองในรอบนี้จะเริ่มขึ้นจากการจับคู่ประลอง และผู้ที่ชนะทั้ง 150 คนจะผ่านเข้ารอบชั่วคราว
  ส่วนผู้แพ้จะถูกคัดออกชั่วคราว
  จากนั้นบรรดาผู้ชนะทั้ง 150 คนจะทำการจับคู้ประลองอีกครั้ง จนได้ผู้ชนะ 75 คนผ่านเข้ารอบเป็นการชั่วคราว
  หลังจากนั้น 225 คนที่ถูกคัดออกชั่วคราว ก็จะถูกสุ่มจับคู่ประลองแบบขั้นบันได จนได้ผู้ชนะอีก 25 คนที่จะผ่านเข้ารอบเป็นการชั่วคราว
  และถึงตอนนี้ ก็จะมีผู้ที่ผ่านเข้ารอบชั่วคราวทั้งสิ้น 100 คนแล้ว
  ต่อมา 225 คนที่ถูกคัดออกเป็นการชั่วคราว ก็จะได้รับโอกาสท้าท้าย 10 ครั้ง สามารถท้าทายผู้ใดก็ได้ในบรรดาผู้ผ่านเข้ารอบชั่วคราวทั้ง 100 คน
  เรื่องราวจะดำเนินไปจนกว่าทุกคนจะหมดโอกาสท้าทาย หรือไม่มีผู้ใดคิดท้าทายอีกต่อไป
  แน่นอนว่าผู้ที่ถูกท้าทายแล้วแพ้พ่าย ก็มีโอกาสท้าทาย 10 ครั้งเช่นกัน
  กล่าวได้ว่ากฏการประลองของงรอบที่ 4 ก็ไม่แตกต่างจากรอบที่ 3 มากนัก เพียงแค่ครั้งก่อนทุกคนมีโอกาสท้าทายแค่ 3 ครั้งเท่านั้น…
  ทว่าในรอบที่ 4 นี้ ผู้ใดก็ถามที่ถูกคัดออกชั่วคราว ล้วนจะมีโอกาสท้าทาย 10 ครั้ง! พอไม่มีการท้าทายใดๆแล้วก็ถึงกาลยุติ!