“300 คน แบ่งกันจับคู่ประลองทั้งสิ้น 150 คู่…คู่ประลองนี่ วิหารเฟิงฮ่าวเป็นคนจัดรึ?”
หลังได้ยินคำพูดของฉีคงไห่ แม้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหลายจะเตรียมใจมาแล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอยู่บ้าง
เพราะนี่ไม่ใช่ว่าสามารถลอบเล่นตุกติกอะไรได้หรือไร?
เป็นธรรมดาว่าถึงแม้พวกมันจะรู้ดีว่าวิหารเฟิงฮ่าวอาจเล่นตุกติก แต่อย่างดีพวกมัน็ทำได้แค่จับคู่ประลองให้อัจฉริยะของพวกมันพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนด้อยกว่าแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น
สุดท้ายแล้วพอถึงตอนท้าประลอง หากอัจฉริยะของวิหารเฟิงฮ่าวไม่มีพลังฝีมือเข้มแข็งจริงๆ สุดท้ายก็ต้องถูกท้าจนแพ้พ่ายอยู่ดี
อย่างไรเสียศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็เป็นวิหารเฟิงฮ่าวริเริ่มขัดขึ้น แถมก็เป็นพวกมันที่ออกของรางวัลให้…แม้ว่าผู้คนของวิหารเฟิงฮ่าวจะได้เปรียบนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจอะไร
ในเมื่อผู้อื่นทุ่มทุนสร้างแล้ว จะไม่ให้มีอภิสิทธิ์เลยได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นอภิสิทธิ์ดังกล่าว ก็ไม่ใช่ว่าจะกระทบต่อความเป็นธรรมอะไร
ที่จะไม่พอใจอยู่บ้าง ก็มีแค่ผู้มีพลังฝีมือปานกลางในบรรดา 300 อัจฉริยะที่สามารถเบียดเข้ารอบมาได้ สำหรับยอดฝีมือนั้นไม่ได้แยแสอะไร
วิหารเฟิงฮ่าวคิดช่วยคนของตัวเองช่วงแรกแล้วไง?
พอพบเจอข้าเมื่อไหร่ ข้าก็จะทุบตีให้ตาย!
นี่คือความมั่นใจของอัจฉริยะที่แข็งแกร่งจริงๆ
“ด้วยมีจำนวนคนมาก…เช่นนั้นในศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 4 จะทำการจับคู่ประลองครั้งละ 5 คู่ เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะครั้งละ 5 คน”
พอฉีคงไห่กล่าวจบคำ มันก็โบกมือเบาๆคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็ปรากฏ ม่านแสงโปร่งใสหนึ่งแบ่งกั้น พื้นที่ใจกลางออกเป็น 5 ส่วน ราวสังเวียนแสง 5 สังเวียน “การประลองจะจัดขึ้นภายในพื้นที่ๆพวกเจ้าเห็น”
“หากผู้ใดถูกบีบให้ออกจากม่านแสง ถือว่าแพ้พ่าย”
“และหากเจ้ารู้สึกว่าพลังสู้ผู้อื่นไม่ได้ ก็เร่งบดขยี้ป้ายหยกเสีย แล้วเจ้าจะถูกส่งตัวออกไป”
“หมัดเท้า ดาบกระบี่ไร้นัยน์ตา…หากพวกเจ้าล่าช้าจนตายตก ผู้ที่สังหารเจ้าก็ไม่ต้องรับผิดชอบอันใด”
กล่าวจบ ฉีคงไห่ก็กวาดตามองไปยังอัฒจันทร์รอบๆ “อัจฉริยะทั้ง 300 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ก้าวออกมาเสีย ข้าจักแจกป้ายหยกช่วยชีวิตสำหรับรอบที่ 4 ให้พวกเจ้า”
ต่อมาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆรวม 300 คนก็ลอยขึ้นไปบนอากาศทีละคนๆ จากนั้นก็รับแจกป้ายหยกจากฉีคงไห่
เป็นธรรมดาว่าในสังเวียนแสงทั้ง 5 สังเวียนนั้นมีค่ายกลเคื่อนย้ายกำกับไว้ ขอเพียงบดขยี้ทำลายป้ายหยก ก็จะถูกอาคมสง่ตัวออกมาทันที
‘หากข้าคิดฆ่าใครสักคน ไม่ทราบว่าวิธีการควบคุมมิติของข้าจะสามารถกักขังมันไว้ไม่ให้ใช้การทำลายป้ายหยกเพื่อหลบหนีได้หรือไม่?’
หลังต้วนหลิงเทียนรับแจกป้ายหยกและกลับมานั่ง ในใจก็ผุดความคิดดังกล่าวขึ้นมากะทันหัน สองตายังทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
ดูเหมือนจะลองดูได้?
หลังอัจฉริยะทั้ง 300 คนได้รับแจกป้ายหยก ฉีคงไห่ก็โบกมืออีกครั้ง จากนั้นก็ปรากฏคู่ประลอง 5 คู่ขึ้นกลางอากาศ “ขอให้ทั้ง 10 คนเข้าไปยังสังเวียนแสงตามชื่อ”
พอฉีคงไห่กล่าวจบ ชื่อคู่ประลอง 5 คู่ที่ลอยล่องกลางหาว ก็แยกย้ายกันไปหยุดลอยเหนือสังเวียนแสงแต่ละแห่ง
10 คนที่กำลังจะประลองกัน ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักใครเลย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้จัก ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะไม่รู้จัก
ไม่นานนัก ความสนใจของผู้คนก็ไปหยุดอยู่ที่ชื่อหนึ่งบนสันเวียนแสง “เมิ่งฝานกุ้ย? ใช่อัจฉริยะจากนิกายเมิ่งซวนแห่งซวนหวนเทียนหรือไม่!”
ตอนแรกหลายคนยังสงสัยว่าเป็นคนที่ชื่อเหมือนกันหรือไม่
อย่างไรก็ตามหลังจากลองคิดทบทวนดู ก็พบบว่าในรายชื่ออัจฉริยะทั้ง 300 คนไม่มีเมิ่งฝานกุ้คนที่ 2 ทุกคนก็ตระหนักได้ “ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ไม่มีเมิ่งฝานกุ้ยคนที่ 2 ต้องเป็นมันไม่ผิดแน่!”
นาม เมิ่งฝานกุ้ย ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
“เมิ่งฝานกุ้ย? มันเป็นคนดังรึ?”
ถังซานเป่าเอ่ยถามออกมาลอยๆ
“มิผิด เจ้านั่นมีชื่อเสียงไม่น้อย!”
จางเทียนโย่วที่นั่งข้างๆพอได้ยินก็กล่าวตอบออกมาราวผู้รู้ “เมิ่งฝานกุ้ยนั่น มันเป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกายเมิ่งซวนขุมกำลังระดับสวรรค์ของซวนหยวนเทียน และมันเชี่ยวชาญการใช้ทักษะมายาเป็นพิเศษ…และอย่าได้ดูถูกทักษะมายาของมันเชียว เพราะกฏที่มันเข้าใจคือกฏแห่งความมืด และกฏแห่งความมืดก็ขึ้นชื่อในเรื่องความลึกลับ ผสานกับทักษะมายาที่มันเชี่ยวชาญ แทบไม่มีผู้ใดในซวนหยวนเทียนที่อายุต่ำกว่า 2,000 ปีสามารถรับมือมันได้!”
“ครั้งหนึ่งมันเคยฆ่าได้กระทั่งเทพสงคราม 3 ดารา หลายคนจึงลือกันว่าพลังฝีมือของมันสมควรเทีบได้กับเทพสงคราม 4 ดาราแล้วเป็นแน่”
จางเทียนโย่วกล่าวจบ ก็ชักสีหน้ายำเกรง
“เทพสงคราม 4 ดารา?”
ถึงซานเป่ารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “คิดไม่ถึงว่าคนกลุ่มแรกที่ออกมาประลองกันโดยวิหารเฟิงฮ่าว จะมีเทพสงงคราม 4 ดาราคนหนึ่ง…ไม่ทราบว่าคู่ประลองงที่วิหารเฟิงฮ่าวจัดให้ เมิ่งฝานกุ้ย ผู้นี้จะเป็นใคร”
“ชื่อคู่ประลองของมันข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…ไม่ทราบจะเป็นศิษย์ของยอดฝีมือเร้นกายหรือไม่?”
หลังจากเทียนโย่วมองชื่อคู่ประลองของเมิ่งฝานกุ้ย มันก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “อย่างไรก็ตาม 8 ใน 10 เจ้านั่นไม่ใช่คู่มือของเมิ่งฝานกุ้ยแน่”
เมิ่งฝานกุ้ยมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม มาในชุดสีดำสนิท รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าหล่อเหลา หากทว่าด้วยความเย็นชาของมันกลับก่อให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งประการหนึ่ง ทว่าก็เป็นความขัดแย้งอันลงตัว มีเสน่ห์ไม่น้อย
ทันทีที่มันปรากฏตัว ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที
“เมิ่งฝานกุ้ยจะอย่างไรก็สมควรเป็นเทพสงคราม 4 ดาราแล้วไม่ผิดแน่ แต่วิหารเฟิงฮ่าวกลับให้มันลงประลองชุดแรก…ข้าว่าพวกเราไว้อาลัยให้คู่ต่อสู้ของมันเลยเถอะ”
“เหอะๆ คู่ต่อสู้ของมัน ข้าเกรงว่าถ้าเคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน คงกลัวจนไม่กล้าสู้ด้วยซ้ำ”
“ต่อให้มันไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เสียงคุยของพวกเรามันอย่างไรก็ต้องได้ยินบ้างล่ะ…ในความคิดของข้า จงกุ้ยอวี่ ผู้นั้นไม่น่าจะกล้าลงสนามด้วยซ้ำ”

คู่ประลองของเมิ่งฝานกุ้ย ก็คือจงกุ้ยอวี่
หลังจากที่เมิ่งฝานกุ้ยปรากฏตัวบนสังเวียนประลองได้สักพัก อีก 9 คนรวมถึงคู่ต่อสู้ของเมิ่งฝานกุ้ยก็ปรากฏตัวบนสังเวียนเช่นกัน
“เจ้านั่นน่ะรึ จงงกุ้ยอวี่?”….
หลายคนเริ่มหันไปสนใจจงกุ้ยอวี่บนสังเวียน จึงพบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมธรรมดาไร้ลวดลาย ใบหน้าแลดูขาวซีด อย่างไรก็ตามดวงตาคู่นั้นของมันกลับทอประกายสดใสนัก
“จงกุ้ยอวี่คนนี้เป็นใครกัน? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อนเลย…”
“จากข้อมูลของวิหารเฟิงฮ่าว ลงไว้ว่ามันมีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 2 ดาราขึ้นไป…”
“เมื่อมันกล้าลงประลองแบบนี้ ไม่ใช่ว่ามันต้องงมั่นใจในพลังฝีมือตัวเองถึงงระดับหนึ่งรึไร?”
“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…คนเราบางครั้งหากไม่รู้จักคู่ต่อสู้มาก่อน แม้หลายๆคนจะบอกว่าร้ายกาจ…มันก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แถมสุดท้ายไม่ใช่ว่าแพ้แล้วก็ต้องตาย อย่างไรเสียพอเห็นท่าไม่ดีแค่ทำลายป้ายยหยกก็เอาตัวรอดได้อยู่”
“ในความเห็นข้า มันก็แค่ลงไปสู้พอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะยอมแพ้โดยไม่สู้กับสู้แล้วแพ้พ่ายเป็นสองเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง…อย่างแรกคือตัวขี้ขลาด อย่างหลังคือผู้กล้า!”

ท่ามกลางบทสนทนากันอย่างออกรสของอัจฉริยะบนอัฒจันทร์ เมิ่งกุ้ยฝาน กับจงกุ้ยอวี่ก็มองหน้าสบตากัน
เมิ่งฝานกุ้ยยกยิ้มบางๆ แฝงไว้ด้วยความดูแคลนประการหนึ่ง “เจ้าคิดว่าจะสามารถต้านทานรับมือข้าได้กี่ท่าเล่า?”
ได้ยินคำพูดทำนองเสียดสีดูหมิ่นของเมิ่งฝานกุ้ย สีหน้าของจงกุ้ยอวี่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว เพียงเอ่ยคำสวนไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หากข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ใน 3 กระบวนท่า ข้าจะลงสังเวียนเอง”
ถึงแม้เสียงคุยกันของทั้งคู่จะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แถมผู้ชมอีก 8 คนที่ประจัญหน้ากันก็มีกล่าวคำถากถาง แต่ผู้ชมกว่า 9 ส่วนล้วนได้ยินกันชัด เพราะความสนใจของพวกมันอยู่ที่ทั้งคู่
“3 กระบวนท่า?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็จำต้องหันไปมองจงกุ้ยอวี่ใหม่อีกรอบ
จงกุ้ยอวี่ มาในชุดคลุมสีเทาเข้มแลดูเรียบง่าย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหากแต่ซีดขาว ทว่าสองตาทอประกายแหลมคม คิ้วเข้ม ให้ความรู้สึกถึงความหยิ่งยโสและมั่นใจในตัวเองไม่น้อย
“อัยยะ! ลองเจ้านั่นพูดมาแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจในตัวเองสูง ก็เป็นแค่ตัวหยิ่งผยอง”
ถังซานเป่าที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตบเข่าดังฉาดพลางกล่าวด้วยความสนุกสนาน
และก็เป็นอย่างที่ถังซานเป่าว่า ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าจงกุ้ยอวี่แค่หยิ่งผยอง “เหอๆ จงกุ้ยอวี่ผู้นี้ มันคงไม่รู้ถึงความน่ากลัวของเมิ่งกุ้ยฝานกระมัง?”
“ยังไม่ชัดอีกหรือไร หากมันรู้แต่แรกว่าเมิ่งกุ้ยฝานเป็นเทพสงคราม 4 ดารา มันจะกล้าพ่นคำลำพองเช่นนั้นรึ?”
“ไม่ใช่พวกเราคุยกันก็ชัดเจนแล้วรึไง…มันหูตึงรึ?”
“หากมันหูตึง มันจะได้ยินคำพูดของเมิ่งฝานกุ้ยไหมละ?”

อัจฉริยะส่วนใหญ่พากันคิดว่า จงกุ้ยอวี่ ก็แค่คนจองหองคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามมีอัจฉริยะบางส่วนที่เริ่มมองสำรวจจงกุ้ยอวี่อย่างจริงจัง
อัจฉริยะที่เข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์จวบจนมาถึงรอบนี้ ไหนเลยมีชนชั้นต่ำทราม?
เหล่าจักรพรรดิสวรรค์เองที่เดิมไม่ได้สนใจการประลองมากมายอะไร ตอนนี้ก็พากันหันไปมองจงงกุ้ยอวี่โดยไม่รู้ตัว “เจ้าหนุนั่นน่าสนใจดีนี่…”
ด้านผู้ที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งฝานกุ้ย พอได้ยินคำพูดของจงกุ้ยอวี่ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สีหน้าเริ้มเปลี่ยนเป็นจริงจัง
แน่นอนว่าถึงแม้จะแลดูจริงจังขึ้นมา แต่ก็ยังฉายชัดถึงความรังเกียจให้เห็น
สุดท้ายอีกฝ่ายก็พูดทำนองว่าจะจัดการเมิ่งฝานกุ้ยได้ใน 3 กระบวนท่า!
กระทั่งยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 4 ดารา ยังไม่กล้าพูดคำโตแบบนี้ด้วยซ้ำ!
เว้นเสียแต่จะเป็นเทพสงคราม 5 ดาราขึ้นไป
แต่เป็นไปได้หรือที่จงกุ้ยอวี่คนนี้จะเป็นเทพสงคราม 5 ดารา?
เผชิญหน้ากับความมั่นใจอันล้นปรี่ของอีกฝ่าย ในใจเมิ่งฝานกุ้ยก็พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา หากแต่สีหน้ายังไม่แปรเปลี่ยน “ในเมื่อเจ้ามั่นใจถึงขนาดนั้น ข้าเองก็อยากชมดูสักครา…ว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ใน 3 กระบวนท่าอย่างไร?”
สิ้นคำกล่าว พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างเมิ่งฝานกุ้ยก็พลุ่งพล่าน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีดำปกคลุมไปทั่วร่าง
พริบตาต่อมา ในสายตาของทุกคนก็เห็นว่า แสงพลังสีดำดังกล่าวได้ควบแน่นเป็นมวลพลังก้อนหนึ่ง ก่อนจะปรากฏแสงพลังสีดำพุ่งยิงออกไปเป็นลำแสงสีดำตัดแสงตะวันเข่นฆ่าเข้าใส่จงกุ้ยยอวี่ด้วยอำมหิต
จากนั้นร่างเมิ่งฝานกุ้ยเองก็อันตรธานหายไปจากสาตาทุกคน
“เมิ่งฝานกุ้ใช้ทักษามายาของมันแล้ว!”
หากผู้คนใช้สำนึกเทวะตรวจสอบ ก็คงไม่ยากที่จะบอกว่าเมิ่งฝานกุ้ยหายไปอยู่ที่ไหน แต่ถ้ามองด้วตาเปล่า ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์เองก็มองไม่ออก
มีก็แต่ตัวตนระดับเทพไม่กี่คน ที่สายตาเหนือกว่าเหล่าเซียนอมตะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ว่าร่างเมิ่งฝานกุ้ยบัดนี้ได้เปลีย่นเป็นเงาเลือนราง กำลังพุ่งแหวกอากาศอ้อมเข้าใส่จงกุ้ยอวี่จากอีกทาง เห็นได้ชัดว่าคิดลอบโจมตีจงกุ้ยยอวี่ที่ต้องเสียสมาธิรับมือลำแสงพลังของมัน
อย่างไรก็ตาม ทุกคนพบว่าจงกุ้ยอวี่ไม่ได้ดูกลัวเกรงการลงงมือของเมิ่งฝานกุ้ยเลย คนยืนนิ่งที่เดิมคล้ายไม่เห็นลำแสงพลังสีมืดอยู่ในสายตา
สุดท้าย จงกุ้ยอวี่ก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบว่า “ความมืดมิด สุดท้ายก็ไม่วายถูกแสงสว่างขับไล่…”
พอกล่าวจบคำ ทั่วร่างจงกุ้ยอวี่ก็ปรากฏแสงพลังสีขาวส่องสว่างออกมาเจิดจ้า พาลให้เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ขณะเดียวกันหลาคนก็รู้สึกแสบตาไม่น้อย!