ตอนที่ 3474 การปะทะกันระหว่างแสงสว่างกับความมืด

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

วู้ม!
  …
  แสงขาวชวนสยองปะทุออกมาจากร่างเพรียวของจงกุ้ยอี่ ก่อนจะแผ่ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ
  และเมื่อแสงขาวแผ่ขยายออกมา ลำแสงแห่งความมืดที่เมิ่งฝานกุ้ยยิงมาก่อนหน้าก็ค่อยๆสลายหายไป กว่าจะเฉียดเข้าใกล้จงกุ้ยอวี่ก็อ่อนจางลงแทบไม่มีเหลือแล้ว สุดท้ายก็เลยถูกกระบี่ที่ควบแน่นจากแสงสว่างฟันทิ้งจนสลายหายไปดื้อๆ
  “กระบวนท่าที่ 1”
  เสียงจงกุ้ยอวี่ดังขึ้นเบาๆ ขณะเดียวกันแสงสว่างสีขาวยิ่งมาก็ยิ่งเจิดจ้า
  “ให้ตายเถอะ นั่นกฏแห่งแสง!”
  “การลงมือเมื่อครู่นั่น อย่างน้อยๆก็มีความลึกซึ้งอย่างน้อยๆ 2 ประการที่หลอมรวมกัน! นอกจากนั้นยังไม่ใช่แค่ชุดเดียว!!”
  …
  ในบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ก็มีผู้ที่สายตาแหลมคมมากพอสมควร เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพลังฝีมือของจงกุ้ยอวี่ไม่ธรรมดา อาศัยแค่การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งแสงที่ใช้ออกเมื่อครู่ที่ไม่ใช่แค่ชุดเดียวไหนเลยยังธรรมดาได้!
  “ดินแดนแห่งความมืด!”
  ท่ามกลางสายตาของผู้คน เมื่อเงาร่างของเมิ่งฝานกุ้ยค่อยๆปรากฏตัวออกมาภายใต้แสงสว่างอันเจิดจ้า มันก็คำรามออกมาเสียงดัง จากนั้นความมืดมิดราวน้ำหมึกก็กำจายออกมาจากร่างมัน
  บัดนี้หนึ่งแสงหนึ่งดำราวกำลังประชันกันราวกับจะแบ่งโลกหล้าออกเป็น 2 ส่วน
  “กระบวนท่าที่ 2”
  จงกุ้ยอวี่ไม่นำพาความมืดที่ระเบิดออกจากร่างเมิ่งฝานกุ้ย เพียงย่ำเท้าก้าวออกมาหนึ่งก้าว จากนั้นทั่วร่างก็ส่องแสงจ้ากว่าครั้งใด จากนั้นก็ปรากฏปีกแห่งแสงหลายคู่อุบัติขึ้นที่แผ่นหลัง มองไปราวกับเทวดาในตำนานตะวันตกของโลกที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่
  ปีก 3 คู่ดังกล่าว พอกระพือคราหนึ่ง ก็ส่งร่างจงกุ้ยอวี่ให้พุ่งทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะหยุดลอยกลางหาว
  บัดนี้จงกุ้ยอวี่เหลือบมองเมิ่งฝานกุ้ยด้วยสายตาเฉยเมย มันยกมือขวาขึ้นก่อนจะสะบังดฟาดลง จากนั้นอุบัติแสงดาบลักษณ์จันทร์ครึ่งเสี้ยวผุดจากความว่าง เข่นฆ่าลงมายังร่างเมิ่งฝานกุ้ย
  เห็นการลงมือของอีกฝ่าย เมิ่งฝานกุ้ย ก็หาได้หวั่นหวาดใดไม่ มันควบรวมพลังสร้างกงจักรพลังสีดำหนึ่งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมหึมากว่า 10 หมี่ จากนั้นก็สะบัดมือซัดกงจักรพลังดังกล่าวสวนเข้าใส่แสงดาบลักษณ์จันทร์เสี้ยวทันที
  พริบตา 2 พลัง ก็ปะทะกันกลางอากาศ!
  ตูมมมมม!!
  ครืนนนน!!!
  …
  พลังแห่งแสงกับความมืดทั้ง 2 ไม่มีใครยอมใคร ย้อมชโลมสังเวียนประลองของทั้งคู่ให้กลับกลายเป็นโลกที่ประหนึ่งมีแค่สีดำกับสีขาว 2 สีสัน ช่วนให้ผู้คนชมดูเรื่องราวจนละลานตาอยู่บ้าง จากนั้นท่ามกลางแสงสว่าง 2 สีสัน ร่างของทั้งคู่ก็พร่ามัวดั่งเงาเลือน จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่กันอย่างดุร้าย คลื่นพลังมหาศาลกำจายออกมาจากร่างทั้ง 2 อย่างรุนแรง
  “เตรียมรับกระบวนท่าที่ 3 ของข้า จากนั้นทุกอย่างก็จะจบ”
  จงกุ้ยอวี่เอ่ยออกอีกครั้ง จากนั้นร่างที่พุ่งลงจากฟากฟ้าก็เริ่มงอตัว ปีกเทวดา 3 คู่กลางแผ่นหลังเริ่มหุบเข้ามาห่อตัวไว้ จนคนคล้ายกลับกลายเป็นลูกบอลที่ห่อหุ้มไว้ด้วยปีกเทวดา!
  อย่างไรก็ตามพื้นผิวของบอลลูกนี้ยิ่งมายิ่งเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ชวนให้เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ดูชมโดยรอบสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวชวนสยองประการหนึ่ง
  “พล่ามมากนักนะ!”
  สีหน้าเมิ่งฝานกุ้ยเปลี่ยนไป จากนั้นทั่วร่างก็สั่นไหวอย่างแรง พลังแห่งความมดระเบิดออกมาขุ่นขลั่กจนเส้นผมเริ่มปลิวสยายราวงูเกงกอง
  จากนั้นในฝ่ามือของเมิ่งฝานกุ้ยก็ปรากฏไม้เท้าหนึ่งขึ้น
  กล่าวตรงๆมันไม่ใช่ไม้เท้า แต่เป็นพลองประหลาดที่แลคล้ายไม้เท้า!
  มันคือพลองคู่กายของเมิ่งฝานกุ้ย ยังเป็นศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิอีกด้วย!
  [ด้วยนามแห่งข้า…ขอบัญชา! มิตรสหายแห่งโลกมืดจงสดับฟัง ออกมาเข่นฆ่าอริราชเพื่อข้า!!]
  ทันใดนั้นเมิ่งฝานกุ้ยก็พึมพำประโยคด้วยภาษาโบราณบางอย่างออกมา หลายคนฟังแล้วก็ไม่เข้าใจว่ามันพูดอะไร
  อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่ฟัคำพูดของมันแล้วเข้าใจ
  และคนเหล่านี้ ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ ล้วนเก่งกฏแห่งความมืดทั้งสิ้น
  ปงงง!!
  เปรียะ!!
  …
  ทันใดนั้นความว่างเปล่าเหนือศีรษะของเมิ่งฝานกุ้ยก็อุบัติเสียงสนั่นปานฟ้าคำรน ก่อนจะแว่วเสียงปริฉีกบางอย่างดังขึ้นปานฟ้าผ่า
  จากนั้นไม่ว่าจะเหนือศีรษะ หรือรอบกายมัน ก็ปรากฏรอยแยกมิติหนึ่งขึ้นอย่างอัศจรรย์ แม้รอยแยกมิตินี้ดูแล้วจะคล้ายมายาไม่มีจริง แต่ไม่นานจากมายาก็คล้ายมีสภาพ แถมยังเริ่มแปรเปลี่ยนไปคล้ายประตูโบราณเก่าแก่ สุดท้ายก็ปรากฏร่าง 3 ร่างก้าวออกมาจากประตูโบราณนั่น!
  ร่างเหล่านี้มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือร่างของพวกมันราวกับถูกสร้างขึ้นมาจากความมืด สองตายังแดงฉานปานก้อนเลือด
  “นี่มัน เสียงเพรียกแห่งความมืด!”
  “ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่าผู้ที่เชี่ยวชาญกฏแห่งความมืด สามารถใช้ถ้อยคำโบราณเพื่ออัญเชิญสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดอันทรงพลังออกมาได้…เช่นนั้นวาจาประหลาดที่เมิ่งฝานกุ้ยกล่าวก่อนหน้า ก็คือคำอัญเชิญภาษาโบราณสินะ?”
  “สมควรเป็นเช่นนั้น”
  …
  ในขณะที่หลายคนกำลังกระซิบกระซาบกันด้วยความอยากรู้ พลองในมือของเมิ่งฝานกุ้ยก็เริ่มสั่นไหว และพริบตาต่อมา ก็ปรากฏร่างสีโลหิตหนึ่งพุ่งออกมาจากพลอง ร่างดังกล่าวยังส่งเสียงหัวเราะแปลกๆออกมาชวนสยอง!
  “ให้ตายเถอะ นั่นมันวิญญาณโลหิต! เป็นวิญญาณโลหิตจากโลกแห่งความตายที่ผสานรวมเข้ากับพลองของเมิ่งฝานกุ้ย เสวี่ยหมิงจื่อ!!”
  พอร่างสีเลือดปรากฏตัวออกมา อัจฉริยะรุ่นเยาว์ไม่น้อยก็โพล่งออกมาด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้จักอาวุธอมตะในมือของเมิ่งฝานกุ้ยดี
  ขณะเดียวกัน จางเทียนโย่วที่นั่งอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนก็เริ่มกล่าวออกมาเสียงขรึม “อาวุธอมตะระดับจักรพรรดิของเมิ่งฝานกุ้ยนั่น มีวิญญาณโลหิตที่จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนจับได้ในโลกแห่งความตาย 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกผสานไว้ และวิญญาณร้ายนั่นมันมีชื่อว่าเสวี่ยหมิงจื่อ”
  “ต่อมา บรรพบุรุษของนิกายเมิ่งซวน ก็ได้จ่ายเงินก้อนโตเพื่อสร้างศาสตราอมตะนั่นให้เมิ่งฝานกุ้ย!”
  “เมิ่งฝานกุ้ยผู้นี้เป็นเหลนของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายเมิ่งซวนผู้นั้น และมันก็ได้รับความเอ็นดูโปรดปรานจากบรรพบุรุษของนิกายเมิ่งซวนอย่างมาก”
  คำกล่าวของจางเทียนโย่วทำให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเข้าใจพลองอมตะในมือของเมิ่งฝานกุ้ยทันที มันเป็นพลองอมตะที่มีวิญญาณโลหิตอันเป็นวิญญาณร้ายจากโลกแห่งความตายหลอมรวมอยู่!
  ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่นั่นคือวิญญาณร้ายที่จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเลือกจะจับตัวมา เห็นได้ชัดว่าต้องไม่ใช่วิญญาณร้ายธรรมดาๆแน่!
  “หากศาสตราเทพไม่มา ข้าเกรงว่าคงมีศาสตราอมตะน้อยนักที่สามารถต่อกรกับพลองนั่นได้”
  จางเทียนโย่วกล่าวเสียงเข้ม “แน่นอนว่าศาสตราอมตะเทพที่ข้าพูดถึง อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นศาสตราเทพขั้นต่ำที่มีวิญญาณศาสตราเช่นกัน หากไม่มีก็คงสู้พลองอมตะนั่นของเมิ่งฝานกุ้ยไม่ได้”
  ขณะกล่าวประโยคท้าย สองตาของจางเทียนโย่วที่มองพลองอมตะในมือเมิ่งฝานกุ้ยไม่วางตา ก็ฉายชัดถึงความปรารถนาออกมาล้นปรี่!….
  อันที่จริงตั้งแต่วินาทีแรกที่เมิ่งฝานกุ้ยนำพลองอมตะออกมา ก็มีอัจฉริยะหลายคนที่รู้ว่าพลองอมตะของเมิ่งฝานกุ้ยไม่ธรรมดาอย่างไร ก็เอาแต่มองจ้องด้วยสายตาเร่าร้อนนานแล้ว
  เมื่อเห็นว่าเมิ่งฝานกุ้ยถึงกับใช้พลองอมตะและเรียกวิญญาณโลหิตออกมา แถมยังอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากโลกมืด…ใจของทุกคนที่ชมดูอยู่ก็เริ่มเต้นไปไม่เป็นจังหวะ
  “เมิ่งฝานกุ้ยมันคิดจะทำอะไรกันแน่”
  ตราบใดที่เป็นคนปกติ ตอนนี้ย่อมเห็นชัดว่าการลงมือของเมิ่งฝานกุ้ยไม่ธรรมดาแน่ กระทั่งอาจเป็นไม้ตายก้นหีบของมันแล้วด้วยซ้ำ!
  และท่ามกลางสายตาของทุกคน หลังจากที่วิญญาณโลหิตในพลองอมตะของเมิ่งฝานกุ้ยบินออกมา ร่างมันก็สลายกลายเป็นกระแสแสงสีเลือด 3 สาย แยกย้ายกันพุ่งเข้าสู่ร่างของสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดที่เมิ่งฝานกุ้ยอัญเชิญออกมาทันที
  พริบตาต่อมา ทั่วร่างสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดทั้ง 3 ก็ปรากฏชันแสงสีเลือดไม่ธรรมดาปกคลุม แผ่กลิ่นอายกระหายเลือดออกมาขุ่นคลั่ก!
  “กรรรร–!!”
  “เคี๊ยกๆ~”
  สิ่งมีชิวิตแห่งความมืดทั้ง 3 บ้างก็คำรามออกมาอย่างดุร้าย บ้างก็หัวเราะด้วยเสียงประหลาด จากนั้นพวกมันทั้ง 3 ก็โจนร่างขึ้นฟ้า สวนเข้าใส่จงกุ้ยอวี่ที่บัดนี้ห่อตัวด้วยปีกแห่งแสงจนกลมเป็นลูกบอลเร็วไว!
  “ภูตแห่งความมืดที่เมิ่งฝานกุ้ยอัญเชิญออกมา พอมีวิญญาณโลหิตผสานเข้าไปแบบนี้ ยามทั้ง 3 ลงมือพร้อมกันกระทั่งเทพสงคราม 4 ดารายังยากต้านทาน…แต่ถ้าหากจงกุ้ยอวี่รับมือได้จริงๆ เช่นนั้นอย่างน้อยๆมันก็ต้องเป็นยอดฝีมือของเทพสงคราม 4 ดารา!”
  ถังซานเป่ากล่าวออกมา น้ำเสียงไม่ขาดความคึกคัก
  และตอนนี้อัฒจันทร์ทั้ง 4 ก็เงียบลงโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนเอาแต่มองจ้องเรื่องราวตรงหน้าไม่วางตา
  ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
  …
  เหล่าภูตแห่งความมืดที่ถูกเมิ่งฝานกุ้ยอัญเชิญมา เคลื่อนร่างด้วยความเร็วสูงล้ำนัก พริบตาก็บรรลุถึงร่างจงกุ้ยอวี่ที่ขดตัวกลมเป็นลูกบอลแล้ว
  เปรี๊ยง! ปง! ปง!
  …
  การลงมือของภูตแห่งความมืดที่ถูกเมิ่งฝานกุ้ยอัญเชิญมา ส่งเสียงระเบิดดังหนักหน่วง อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้พวกมันจะได้รับพลังจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งความมืด แต่ก็ไม่อาจทำอะไรปีกเทวดาที่ห่อตัวคนเบื้องหน้าได้เลย!
  “เจ้ากำลังจั๊กจี้ข้าอยู่รึ?”
  หลังจากถูกทุบตีเงียบๆพักหนึ่ง เสียงเฉยเมยไม่แยแสของจงกุ้ยอวี่ก็ดังขึ้น
  ได้ยินวาจาด้วยน้ำเสียงดังกล่าว สีหน้าเมิ่งฝานกุ้ยก็เปลี่ยนไปทันที เร่งคำรามเสียงเหี้ยม “เสวี่ยหมิงจื่อ รวมเป็นหนึ่ง!”
  แทบจะพร้อมกันกับที่เสียงของเมิ่งฝานกุ้ยลั่นดังออกมาจบคำ เหล่าภูตแห่งความมืดที่ถูกอัญเชิญออกมาก็พร้อมใจกันหยุดมือ จากนั้นร่างสีดำอันมีชั้นแสงสีโลหิตของพวกมันก็พุ่งเข้าหากัน ด้วยมีชั้นแสงโลหิตเชื่อมประสานพริบตา พวกมันก็หลอมรวมกันจนกลายเป็นอสูรกายแห่งความมืดตัวเขื่องปานขุนเขาย่อมๆ!
  ยังเป็นอสูรกายแห่งความมืดที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์! และการรวมกันของภูตแห่งความมืดทั้ง 3 นั้น ทำให้กลิ่นอายพลังของมันพุ่งสูงขึ้นในฉับพลัน พลังอันชั่วร้ายที่กำจายออกมาทำให้เหล่าอัจฉริยะหลายคนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
  “การรวมร่างของภูตแห่งความมืดโดยใช้วิญญาณโลหิตของข้าเป็นสื่อ หากกล่าวในแง่พลังอำนาจแล้ว มันไม่ได้ด้อยไปกว่าการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการเลย!”
  เมิ่งฝานกุ้ยมองร่างกลมที่ถูกปีกแห่งแสงห่อหุ้มของจงกุ้ยอวี่ด้วยสีหน้าเฉยเมย กล่าวออกเสียงหนักว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่คิดโผล่หัวออกมาสู้กับภูตแห่งความมืดผสานวิญญาณโลหิตของข้าอีกรึ หรือคิดจะหดหัวซ่อนอยู่ใต้ปีกเช่นนั้น?”
  “นี่เจ้าคิดว่าข้ากำลังซ่อนตัวอยู่งั้นหรือ?”
  พอเสียงของจงกุ้ยอวี่ดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด ฟังแล้วมันแหบพร่าขึ้นหลายส่วน
  จากนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน ปีกเทวดา 3 คู่ที่ห่อร่างจงกุ้ยอวี่เอาไว้ก็ค่อยๆคลี่กางออกมา จากนั้นร่างจางกุ้ยอวี่ก็ปรากฏตัวสู่สายตาทุกคนอีกครั้ง ทว่าบนร่างของมันกลับมีชั้นแสงพลังสีขาวกับสีทองเรืองรองผสมผสานกัน ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ไม่ธรรมดา!
  “ต่อหน้าแสงสว่าง ไม่ว่าจักเป็นความมืดมิดอันใด สุดท้ายก็ได้แต่จางหายไป…”
  ขณะเดียวกับที่จงกุ้ยอวี้ปริปากกล่าวคำ ชั้นแสง 2 สีดังกล่าวก็เริ่มผสานหลอมรวมเป็นหนึ่ง จากนั้นก็ควบรวมก่อเกิดร่างสิ่งมีชีวิตตัวเขื่อง ในชุดเกราะสีทองแกมขาว แลดูสง่ามน่าเกรงขามนัก!
  ในมือของงสิ่งมีชีวิตดังกล่าว ยังถือค้อนอันเขื่องเอาไว้!
  และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ในมือของจงกุ้ยอวี่ก็มีค้อนลักษณะเดียวกันกับที่ร่างยักษ์ในชุดเกราะปรากฏขึ้น!
  “โอหังนัก!”
  สองตาเมิ่งฝานกุ้ยแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น หลังสบถคำเสียงเย็น มันก็คำรามสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงอำมหิต “เสวี่ยหมิงจื่อ ฉีกร่างมันให้แหลกเป็นชิ้นๆ!!”
  ทันใดนั้นอสูรกายตัวเขื่องที่เกิดจากการหลอมรวมของภูตแห่งความมือดทั้ง 3 โดยมีวิญญาณโลหิตเป็นสื่อ ก็โจนทะยานเข่นฆ่าเข้าใส่จงกุ้ยอวี้อย่างงอำมหิต ในมือของมันยังปรากฏหอกสีเลือดเปล่งแสงพลังสีโลหิตแกมดำออกมา แถมกลิ่นอายพลังที่กำจายออกจากหอกดังกล่าวยังกระหายเลือดทั้งทรงพลังอำนาจน่ากลัวนัก! ราวกับบรรจุไว้ด้วยขุมพลังอันไร้จำกัด!!
  “กระบวนท่าที่ 3”
  ในขณะที่อสูรกายแห่งความมืดพร้อมหอกอันน่ากลัวพุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้ามา เสียงเย็นชาไม่แยแสของจงกุ้ยอวี่พลันดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นร่างมหึมาในชุดเกราะสีทองแกมขาวแลดูศักดิ์สิทธิ์ ก็ฟาดหวดค้อนในมือทุบลง วินาทีนี้ห้วงอากาศโดยรอบคล้ายถูกผนึกแข็ง บังเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว!
  ปงงงง!!