ตอนที่ 3475 ศิษย์พี่หญิงของเจ้าเป็นใครหรือ

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ปงงงงง!!
  หลังจากค้อนอันเขื่องฟาดทุบอากาศจนแตกระเบิดดังสนั่นลั่นหล้า ทันใดนั้นห้วงอากาศ ณ จุดปะทะก็ระเบิดแสงสว่างออกมาเจิดจ้าปานตะวันดวงที่ 2 สาดแสงสว่างจ้าส่องหล้า ปานจะขับไล่ความมืดมิดแลชำระสรรพชีวิตทั้งมวล!
  ภูตแห่งความมืดตัวเขื่องที่ผสานวิญญาณโลหิตอันน่าเกรงขาม พอถูกแสงสว่างดังกล่าวอาบไล้ร่างกาย ก็หวีดร้องเสียงหวนออกมาอย่างทรมานปานหมื่นวิญญาณคร่ำครวญ!
  จากนั้นก็ปรากฏแสงสีเลือดหนึ่ง พุ่งออกจากร่างภูตแห่งความมืดตัวเขื่องฉับไว เป็นวิญญาณโลหิต เสวี่ยหมิงจื่อ ที่เห็นท่าไม่ดีก็เลือกจะละทิ้งร่างภูตแห่งความมืดออกมาดื้อๆ เร่งรุดดิ่งลงฟ้ากลับเข้าไปหลบในพลองอมตะระดับจักรพรรดิที่เมิ่งฝานกุ้ยถือไว้เร็วไว!
  และในขณะที่เมิ่งฝานกุ้ยยังเอื่อยเฉื่อยตะลึงงันอยู่ เสียงวิญญาณโลหิตก็ดังก้องขึ้นในหู “ไอเด็กเวรนี่! เจ้ามัวยืนทึ่มหาสวรรค์วิมานอันใด ยังไม่รีบทุบป้ายหยกหนีออกไปอีก! หาไม่แล้ววันนี้ต่อให้เจ้าไม่ตายก็ต้องนอนเปลไปเป็นปี!!”
  พร้อมๆกันนั้นเองก็มีเสียงเปี่ยมอำนาจ ไม่อนุญาตให้คลางแคลงสงสัยดังขึ้นในหูเมิ่งฝานกุ้ยตามติด “ทำลายป้ายหยกเสีย”
  หากกล่าวว่าหลังจากได้ยินเสียงของวิญญาณโลหิตบอกให้ถอย เมิ่งฝานกุ้ยก็ไม่คิดข้องใจลังเล เช่นนั้นพอได้ยินสุรเสียงอันเปี่ยมอำนาจนี้อีกเสียง เมิ่งฝานกุ้ย ก็เรียกว่าเร่งรุดทุบทำลายป้ายหยกแทบไม่ทัน!
  และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เมิ่งฝานกุ้ยทุบทำลายป้ายหยกจนหายออกไปจากสังเวียนแสง แสงพลังสว่างโรจน์จากค้อนอันเขื่องนั่น ก็สาดส่องลงมาถล่มจุดที่เมิ่งฝานกุ้ยยืนอยู่ประหนึ่งพายุโถมกระหน่ำ พาลให้ความว่างสะท้านสะเทือน ราวพร้อมจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ!
  ตูมมมม!!
  ครืนนนน!!!
  …
  หลังแสงพลังปานทัพนับหมื่นโถมถันดังกระหึ่มขึ้น ม่านแสงกั้นเขตเวทีประลอง ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างงรุนแรง!
  และในขณะที่ม่านแสงกั้นเขตเวทีดังกล่าวสั่นสะเทือน ก็ปรากฏรอยปริแตกแยกร้าวลุกลามมากขึ้นทุกขณะ ราวกับว่าม่านแสงดังกล่าวกำลังจะพังทลายลงอยู่รอมร่อ!
  เห็นฉากพลังอันน่ากลัวถล่มทลายดังกล่าว เมิ่งฝานกุ้ยที่ทุบทำลายป้ายหยกหลบหนีออกมา ก็หวาดกลัวจนขี้หดตดหาย สีหน้ายังเปลี่ยนไปใหญ่หลวง “เป็นพลังที่ร้ายกาจอะไรเยี่ยงนี้! หากโดนเข้าไปเต็มๆข้าเจ็บหนักแน่!!”
  “ไอ้หนูโง่งมนี่ หากเจ้ารับไหวข้ายังจะบอกให้เจ้ารีบทุบป้ายหยกทำเพื่อ!”
  เสียง เสวี่ยหมิงจื่อ วิญญาณโลหิตที่อยู่ในพลองอมตะดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของมันเองก็แฝงความหวาดเสียวไม่น้อย
  “เจ้าหนูที่เข้าใจกฏแห่งแสงผู้นั้น ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับเทพสงคราม 5 ดาราแน่นอน!”
  ฟังจากเสียงกล่าวของเสวี่ยหมิงจื่อ เห็นได้ชัดว่ามันมั่นใจมาก
  “มารดามันเถอะ หากไม่ใช่เพราะพลังของข้าถดถอยลงมาเพราะต้องเป็นวิญญาณศาสตราของเจ้า…อย่างข้ามีหรือต้องกลัวเจ้าหนูนั่นด้วย!”
  เสวี่ยหมิงจื่อนั้น เป็นคนของเผ่าวิญญาณโลหิตในโลกแห่งความตาย 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก พลังดั้งเดิมของมันถือว่าสูงพอตัว และอยู่ระดับเทพสงคราม 6 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ
  หากไม่ใช่เพราะมันไปตอแยจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน กงซุนซวนหยวน จนโดนอีกฝ่ายจับตัวมาจากโลกแห่งความตาย และสุดท้ายต้องถูกจับทำวิญญาณศาสตราแบบนี้ กับอีแค่จงกุ้ยอวี่ก็ไม่ถือว่าคณนามือมันเลย!
  “เทพสงคราม 5 ดารา!”
  เมิ่งฝานกุ้ยก็เชื่อคำพูดของเสวี่ยหมิงจื่อเช่นกัน เพราะมันรู้ดีว่าในอดีตเสวี่ยหมิงจื่อเคยเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 6 ดารา และเพราะถูกจับมาทำเป็นวิญญาณศาสตราอมตะของพลองวิญญาณโลหิต พลังของอีกฝ่ายก็เลยถดถอยลง
  ฟังจากที่ปู่ทวดมันพูด หากไม่ระงับพลังของเสวี่ยหมิงจื่อเอาไว้ อาศัยพลังของตัวมันย่อมไม่อาจควบคุมพลองวิญญาณโลหิต ที่มีเสวี่ยหมิงจื่อเป็นวิญญานศาสตราได้เลย และไม่พ้นต้องเป็นฝ่ายถูกวิญญาณโลหิตตนนี้กลืนกินเองแน่!
  ด้วยเหตุนี้ ปู่ทวดของมันจึงขอให้จักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน กงซุนซวนหยวน ผนึกพลังของเสวี่ยหมิงจื่อให้เหลือแค่เทพสงคราม 3 ดาราเท่านั้น
  “เจ้านั่น…พลังของมันอยู่ในเทพสงคราม 5 ดาราไม่ผิดแน่!”
  หลังเห็นว่ากระทั่งม่านแสงกั้นเขตสังเวียนยังแทบจะพังแหล่มิพังแหล่เพราะพลังกระบวนท่าของจงกุ้ยอวี่ เหล่าอัจฉริยะหลายคนก็พากันสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ สีหน้าแววตาของพวกมันฉายชัดถึงความตกใจครั้งใหญ่
  “มารดามันเถอะ! วิหารเฟิงฮ่าวคิดอ่านอะไรอยู่กันแน่? ไฉน 10 คนแรกที่ออกมาประลองกัน ไม่เพียงแต่จะมีเทพสงคราม 4 ดาราเท่านั้น แต่ยังมีกระทั่งเทพสงคราม 5 ดาราเช่นนี้!?”
  “เหอะๆ ใช่วิหารเฟิงฮ่าวคิดโหมโรงด้วยการขู่ขวัญผู้คนหรือไม่…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ศึกเทพสงคราม 4 ดาราปะทะเทพสงคราม 5 ดารากลายเป็นคู่ประลองเปิดงาน?”
  “แม่เอ้ย! แค่การประลองชุดแรกของรอบที่ 4 พวกล่อจัดให้เทพสงคราม 4 ดารากับ 5 ดาราฉะกันแล้ว? วิหารเฟิงฮ่าวตั้งใจตัดกำลังอัจฉริยะยอดฝีมือหรือไม่?
  …
  ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายพากันจ้อถึงเรื่องนี้จนเสียงดังระงม เหล่าจักรพรรดิสวรรค์เองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน สำหรับด้านคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่เกี่ยวข้องกับการจับคู่ประลองนั้น ตอนนี้พวกมันได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆออกมาอย่างช่วยไม่ได้
  พวกมันเพียงรู้ก็แต่พลังฝีมือของเมิ่งฝานกุ้ยนั้นไม่เลว และสงสัยว่าจะเป็นเทพสงคราม 4 ดาราเท่านั้น…
  ทว่าพลังฝีมือของจงกุ้ยอวี่นั้นสูงแค่ไหนพวกมันไม่ได้รู้เลย หาไม่แล้วพวกมันไม่มีทางจัดให้ตัวตนระดับนี้มาพบเจอกันแต่แรกแน่นอน
  เพราะปกติแล้วกว่าตัวตนระดับนี้จะมาปะทะกันเอง อย่างน้อยๆก็ต้องจบรอบเฟ้นหาอัจฉริยะ 100 คนเสียก่อน และสมควรเป็นการประลองที่จะเกิดขึ้นในรอบ 30 คนสุดท้าย!
  และนั่นก็คือรอบที่ 5!
  ทว่าตอนนี้ยังพึ่งเป็นรอบที่ 4 เท่านั้น กระทั่งยังเป็นคู่เปิดการประลองของรอบที่ 4 อีกด้วย แต่บัดนี้ได้เกิดศึกเทพสงคราม 4 ดาราปะทะเทพสงคราม 5 ดาราไปแล้วซะงั้น!
  “บ้าจริง พวกเรารู้ก็แต่จงกุ้ยอวี่นั่นมีพลังฝีมือราวๆเทพสงคราม 2 ดาราเท่านั้น…ผู้ใดจะไปรู้กันว่าพลังฝีมือที่แท้จริงของมันจะร้ายกาจขนาดนี้ได้เล่า?”
  “แล้วจงกุ้ยอวี่ผู้นี้มันมีพื้นเพความเป็นมาอย่างไร?”
  “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด…ข้ารู้แค่มันมาจากอู๋หยาเทียน แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร”
  “ตอนแรกที่พวกเราจัดคู่ประลอง พวกเรารู้แค่ว่าจงกุ้ยอวี่เก่งกฏแห่งแสง เช่นนันก็เลยจัดให้มันพบเจอกับเมิ่งฝานกุ้ย…ไม่มีผู้ใดคิดว่ามันจะสู้เมิ่งฝานกุ้ยได้ด้วยซ้ำ แค่อยากให้มันออกไปเปล่งแสงวูบๆวาบๆก่อนจะถูกเมิ่งฝานกุ้ยตบตีก้าวข้ามดั่งหินรองเท้าเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ได้เล่า…ว่ามารดามันที่แท้เป็นถึงเทพสงคราม 5 ดารา! แถมยังเอาชนะเมิ่งฝานกุ้ยได้ใน 3 กระบวนท่าอีก!!”
  …
  ตอนนี้เหล่าระดับสูงของวิหารเฟิงฮ่าวที่เกี่ยวข้องก็รู้สึกพูดไม่ออกเช่นกัน ขณะที่ส่งเสียงผ่านพลังคุยกัน น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจทั้งหงุดหงิดเพราะทำผิดพลาดอยู่บ้าง
  การจับคู่ประลองในรอบที่ 4 ของงศึกอัจฉริยะสวรรค์ ดำเนินการโดยระดับสูงของวิหารเฟิงฮ่าว
  การจัดให้จงกุ้ยอวี่พบเจอกับเมิ่งฝานกุ้ยนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า…จงกุ้ยอวี่ไม่น่าจะสู้เมิ่งฝานกุ้ยได้เลย!
  แต่ตอนนี้ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมา ทำให้พวกมันจำต้องอ้าปากจนกรามแทบค้างแล้ว!
  ด้านฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักที่ควบคุมกำกับการประลอง พอเห็นจงกุ้ยอวี่บีบบังคับให้เมิ่งฝานกุ้ยจำต้องหลบหนีออกมา มันก็อึ้งไปไม่น้อย ด้วยไม่คิดไม่คาดกับผลลัพธ์ดังกล่าวเช่นกัน
  จนเมื่อพลังกระบวนท่าของจงกุ้ยอวี่เริ่มส่อแววจะทำลายม่านพลังแสงกั้นเขตสังเวียน มันค่อยดึงสติให้กลับมาอยูกับเนื้อกับตัวได้อีกครั้ง
  ซัว!
  ฉีคงไห่ยกมือขึ้นก่อนจะรวมรั้งพลังจนฝ่ามือเปล่งแสงเรืองรองวาบหนึ่ง พอตบฟาดลงมาเบาๆ ก็ปรากฏฝ่ามือพลังโปร่งแสงพุ่งลงจากฟ้าฉับไว ราวกับตบยุงตัวน้อยตัวหนึ่ง สลายพลังกระบวนท่าของจงกุ้ยอวี่ลงได้อย่างง่ายดาย
  และบัดนี้ก็ถือว่าจงกุ้ยอวี่สามารถเอาชนะการประลองได้เป็นคนแรกของรอบที่ 4! ยังเป็นชัยชนะที่ได้มาจากการเอาชนะเมิ่งฝานกุ้ย เทพสงคราม 4 ดาราอีกด้วย!!
  “ให้ตายเถอะ หลังจากวันนี้ข้าเชื่อว่าในระนาบเทวโลกทั้งมวล ต้องมีน้อยคนที่ไม่รู้จักจงกุ้ยอวี่!”
  “ว่าแต่จงกุ้ยอวี่ผู้นี้ที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
  “ข้าเองก็ไม่รู้ เห็นว่ามาจากอู๋หยาเทียน ไม่ทราบจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนรู้จักมันหรือไม่?”
  …
  ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์กระซิบกระซาบกันอย่างตกตะลึง สายตาของพวกมันหลายคนก็เริ่มหันไปตกยังร่างจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน
  กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์บางส่วนเองก็หันไปมองรอฟังคำตอบของจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนเช่นกัน
  จักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน มีศักดิ์เป็นตาของจ้าววังเทียนฉือ ที่ต้วนหลิงเทียนเคยเข้าร่วมสมัยอยู่ในอู๋หยาเทียน
  แม้แต่ต้วนหลิงเทียนเองก็เคยพบเจอจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน กระทั่งอีกฝ่ายยังคิดเล่นงานเขาแล้วด้วยซ้ำ จนเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง จึงรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพไม่กล้ายั่วยุเขา
  “ข้า…ข้าไม่รู้จักมัน…”
  พอได้ยินสหายจักรพรรดิสวรรค์คนหนึ่งกล่าวถาม จักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบคำกลับไป “มันไม่ได้มากับข้า แต่มากับคนของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาอู๋หยาเทียน”
  จักรพรรดิสวรรค์ที่เป็นสหายคนดังกล่าวพอได้ฟังก็พยักหน้ารับทราบ “ในเมื่อแม้แต่เจ้าก็ไม่รู้ เช่นนั้นมันสมควรเป็นศิษย์ของยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ในอู๋หยาเทียน”
  “สมควรเป็นเช่นนั้น”
  จักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนเองก็คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นดั่งสหายว่า เพราะถ้าอีกฝ่ายมาจากขุมกำลังใดในอู๋หยาเทียนจริง ก็คงต้องกล่าวเลยว่าขุมกำลังนั้นช่างซุกซ่อนคนได้มิดชิดยิ่งนัก!
  เพราะตัวตนเช่นนี้ หากมันล่วงรู้ล่ะก็ มันยังอยากรับเป็นศิษย์ส่วนตัวด้วยซ้ำ!
  สำหรับอัจฉริยะอย่างจงกุ้ยอวี่ ขอเพียงอีกฝ่ายเปิดเผยตัวตนในอู๋หยาเทียนแต่แรก มันยังจะรีบไปรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์ด้วยตัวเองทันที!
  แม้กระทั่งตอนนี้ จักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนก็อดไม่ไหว และเริ่มดำเนินการทันที เร่งส่งข้อความไปหาจงกุ้ยอวี่ผ่านพลังว่า “จงกุ้ยอวี่ ข้าคือจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน และข้าตั้งใจจะรับเจ้าเป็นศิษย์…ไม่ทราบเจ้าเต็มใจหรือไม่?”
  จากนั้นจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนก็เร่งกล่าวออกมาอีกคำ โดยไม่รอให้จงกุ้ยอวี่ตอบสนองใดๆ “ข้ารับปากเจ้าได้ตรงนี้เลย ว่าหากเจ้าเป็นศิษย์ของข้า เจ้าสามารถเดินกร่างในอู๋หยาเทียนได้โดยไม่ต้องไว้หน้าผู้ใด! และไม่มีผู้ใดที่กล้าไม่ไว้หน้าเจ้า!!”
  ในสายตาของจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน มัน ผู้ที่มีอำนาจบารมีล้นพ้นคนหนึ่งของระนาบเทวโลก วันนี้เพื่อรับศิษย์คนหนึ่ง ถึงกับให้หน้ายกยออีกฝ่ายไม่น้อย
  อย่างไรก็ตามสิ่งที่มันไม่คิดไม่ฝันก็คือ หลังได้ยินคำชวนผ่านพลังของมันแล้ว จงกุ้ยอวี่ กลับทำแค่เหลือบมองมันผ่านๆ กล่าวผ่านพลังกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ข้าจงกุ้ยอวี่มีอาจารย์อยู่แล้ว…ต่อให้ไม่มี อาศัยเจ้าจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียน ยังไม่คู่ควรเป็นอาจารย์ของข้า!”
  ด้านจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนถึงกับหน้าเหวอไปพักหนึ่ง ด้วยไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งจะมีคนตอกหน้ามันกลับมาว่าไร้คุณสมบัติเป็นอาจารย์!
  เรียกว่าจังหวะนี้จักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนถึงกับอึ้งจนลืมโกรธ อาการมันแลดูเฉื่อยชาปานตัวโง่งมอยู่บ้าง และหลังจากผ่านไปพักหนึ่งพอได้สติแล้ว มันก็ส่งเสียงเปี่ยมโทสะผ่านพลังส่งตรงถึงหูจงกุ้ยอวี่ว่า “เด็กน้อยสามหาวเจ้า ช่างกล่าววาจาคำโตอะไรเยี่ยงนี้!”
  “ที่แท้ผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้ากันแน่! หรือเจ้าคิดว่าข้าคนนี้ยังอ่อนด้อยกว่าอาจารย์เจ้า?”
  เผชิญหน้ากับจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนที่มีโมโห สีหน้าจงกุ้ยอวี่ยังคงสงบเฉยเมย “อะไร? หรือเจ้า จักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนคิดไปชี้แนะอาจารย์ข้า?”
  “หากมันกล้า ข้าก็ไม่รังเกียจ!”
  จักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนกล่าวคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
  “เจ้าแน่ใจรึ? หากเจ้าแน่ใจจริงๆ…เช่นนั้นหลังจบศึกอัจฉริยะสวรรค์ ข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ และให้ท่านอาจารย์ไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนเพื่อรับคำ ‘ชี้แนะ’ สักครา…”
  รอบนี้เสียงกล่าวตอบของจงกุ้ยอวี่ ยังแฝงความหยอกล้อไม่น้อย
  ด้านจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนเอง พอได้ยินน้ำเสียงหยอกล้อของจงกุ้ยอวี่ ก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรผิดท่า เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปถามต่อว่า “ที่แท้อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ใด”
  “ถึงข้าบอกเจ้าไป เจ้าก็ไม่รู้จักหรอก…อย่างไรก็ตามเจ้าเพียงรู้ไว้เรื่องหนึ่งก็พอ ด่านพลังฝึกปรือของท่านอาจารย์ข้า ได้ก้าวข้ามขอบเขตจักรพรรดิอมตะ จนบรรลุถึงขอบเขตเทพตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว…”
  พอจงกุ้ยอวี่กล่าวประโยคนี้ออกมา จักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าเสียไปทันที
  ขอบเขตเทพ!?
  อาจารย์ของจงกุ้ยอวี่ผู้นี้บรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว? จริงหรือหลอก? อู๋หยาเทียนของมันมีเทพที่เร้นกายอยู่ด้วยหรือ?
  สวรรค์!
  ที่แท้อู๋หยาเทียนของมันถึงกับมีตัวตนระดับเทพเร้นกายอยู่โดยที่มันไม่รู้ตัวจริงๆ!
  จงกุ้ยอวี่ไม่สนใจว่าตอนนี้ตัวเองได้สร้างความสะท้านสะเทือนใจให้กับจักรพรรดิสวรรค์อู๋หยาเทียนแค่ไหน มันค่อยๆเหินร่างกลับไปยังอัฒจันทร์ที่นั่งอย่างไม่รีบไม่ร้อน อย่างไรก็ตามระหว่างทาง สายตามันก็มองจ้องไปยังร่างของต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังถึงต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินศิษย์พี่หญิงพูดถึงเจ้ามานานแล้ว…แถมศิษย์พี่หญิงยังชื่นชมเจ้ามาก ข้าหวังว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้จะมีโอกาสได้ประลองงกับเจ้าสักครั้ง เจ้าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังกระมัง?”
  “หืม?”
  ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ถึงจริงๆว่าอยู่ๆจงกุ้ยอวี่จะส่งเสียงผ่านพลังทำนองดังกล่าวมาถึงเขา และที่สำคัญฟังจากคำพูดของมัน ดูเหมือนศิษย์พี่หญิงของมันจะรู้จักเขาดีซะด้วย “ศิษย์พี่หญิงของเจ้าเป็นใครหรือ?”
  “ฉือหย่าชี”
  และนี่คือคำที่จงกุ้ยอวี่กล่าวตอบต้วนหลิงเทียน